ตอนที่ 111 ประชุมครอบครัว

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดสักพักจึงพูดว่า “ข้ามีสูตร ‘เมล็ดทานตะวันห้าเครื่องเทศอยู่’ แต่ไม่เคยลองทำมาก่อน…”

“สูตรของกู่เหนียงไม่มีวันผิดพลาดแน่นอน กู่เหนียงโปรดเขียนสูตรทิ้งไว้ แล้วข้าจะคิดราคาตามสูตรของขนมคือรับซื้อในราคา 200 ตำลึง ! ” หนิงตงเซิ่งกลัวต้องฝันหวานนานเกินไป นอกจากนี้ยังเหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบวันก็จะถึงวันไหว้พระจันทร์แล้ว ดังนั้นหากได้สูตรมาเร็วขึ้น เขาก็จะได้คืนทุนเร็ว ๆ เช่นกัน !

ในชาติก่อนหลินเว่ยเว่ยเคยทำงานในร้านขายธัญพืชและถั่วอบชนิดต่าง ๆ มาระยะหนึ่ง ดังนั้นกระบวนการทำเมล็ดทานตะวันห้าเครื่องเทศจึงยังเป็นความทรงจำที่ติดอยู่ในใจเสมอ หลินเว่ยเว่ยเป็นคนบอกและหนิงตงเซิ่งเป็นคนจดบันทึก ผ่านไปไม่นานเงินอีก 200 ตำลึงก็มาอยู่ในมือของนางแล้ว สูตรโกงในการทะลุมิติกลับมาก็มีเพียงประสบการณ์เท่านั้นที่มากกว่าผู้อื่น

นางรับเงิน 800 ตำลึงมาแล้วเก็บมันเข้ากระเป๋า ทว่าในความเป็นจริงมันถูกเก็บไว้ในมิติน้ำพุวิญญาณเพราะไม่มีที่ใดปลอดภัยเท่าในมิติน้ำพุวิญญาณของนางอีกแล้ว

หนิงตงเซิ่งเคยสืบประวัติของหลินเว่ยเว่ยมาก่อน เขารู้เพียงว่าเพราะภัยสงครามทำให้ครอบครัวของนางมาตั้งรกรากอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ภายใต้การปกครองของเขตเริ่นอัน ซึ่งวิธีทำผลไม้อบแห้ง เนื้อแผ่นและขนมชนิดต่าง ๆ หรือแม้แต่สูตรการทำเมล็ดทานตะวัน…บางทีก่อนเกิดสงครามขึ้นมา ครอบครัวของนางคงจะเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยตระกูลหนึ่งกระมัง ?

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดไม่เปิดกิจการขายขนมหรือผลไม้อบแห้งเป็นของตนเองก็คงอยากถือโอกาสออกจากวงการการค้าและคอยดูแลให้บุตรหลานในตระกูลเดินสู่เส้นทางของปัญญาชน ได้ยินว่าน้องชายคนโตของนางก็เป็นที่รักของเหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษา เขาศึกษาตำราได้อย่างยอดเยี่ยมแล้วจะหันมาทำการค้าเพื่อทำลายเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดได้อย่างไร ?

หนิงตงเซิ่งหาเหตุผลมาเติมเต็มความน่าสงสัยในตัวหลินเว่ยเว่ย

หลังสนทนาต่อได้อีกไม่กี่ประโยค หลินเว่ยเว่ยก็ได้ทราบข่าวหนึ่งจากปากของหนิงตงเซิ่งว่า…มีบ้านปล่อยขายบริเวณท่าเรือ บางทีการที่เขารีบเดินทางมาที่นี่ก็คงเพราะเป้าหมายตรงท่าเรือนั่นเอง

หืม ท่าเรือ ? บ้านหรือ ? หากพูดในฐานะคนมีเงินอยู่ในมือและเยาวชนที่เลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์แห่งศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดย่อมต้องมีความหลงใหลในอสังหาริมทรัพย์อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะเด็กที่ออกมาจากบ้านเด็กกำพร้าเช่นนางย่อมมีความใฝ่ฝันอยากมีบ้านเป็นของตนเองสักหลัง

ตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือต้องเป็นทำเลที่ไม่เลวอยู่แล้ว แม้ว่าเจ้าของจะไม่ได้พักอาศัยก็สามารถเอาไว้ทำการค้าหรือปล่อยเช่าได้ มองในมุมไหนก็ไม่เลวทั้งสิ้น นางจึงถามด้วยความตื่นเต้น “คุณชายหนิงคิดจะซื้อเก็บไว้หรือไม่ ? ”

หนิงตงเซิ่งส่ายหน้า “ตอนแรกก็คิดอยู่หรอก ทว่าตอนนี้…ควรขยายร้านและขายขนมหลายอย่างก่อนดีกว่า ! ”

หลินเว่ยเว่ยเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายดี เดิมทีเขามีกำลังพอจะซื้อบ้านตรงท่าเรือได้ แต่หลังจากซื้อสูตรขนมของนางแล้วก็ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากจึงจำใจต้องยอมแพ้

หลังออกจากร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้แล้ว นางก็ตรงไปที่ท่าเรือ บ้านหลังที่ปล่อยขายเป็นห้องแถวจำนวน 8 ห้อง แม้เก่าไปหน่อยทว่าตัวบ้านก็มีขนาดใหญ่ แต่ละห้องก็กว้างขวางและอยู่ใกล้ท่าเรือ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดี เจ้าของห้องแถวจึงทำการค้าขาดทุนและคิดจะขายเพื่อย้ายกลับไปอยู่ทางใต้ซึ่งเป็นบ้านเกิด

อย่างไรก็ตามเจ้าของไม่ยอมแบ่งขาย ดังนั้นราคาของทั้งแปดห้องจึงอยู่ที่ 1,000 ตำลึง ผู้ที่มีกำลังซื้อก็ไม่ชอบสภาพห้องแถวอันทรุดโทรม บางส่วนที่คิดจะซื้อก็มีเงินไม่พอ ในช่วงเดือนกว่ามานี้จึงขายไม่ออกเสียที !

หลินเว่ยเว่ยลูบหน้าอกของตน ตอนนี้นางมีเงิน 800 ตำลึง การค้าเนื้อแผ่นในช่วงเดือนกว่านี้ก็ทำให้ที่บ้านมีเงินเก็บอยู่ประมาณห้าถึงหกร้อยตำลึง บัดนี้นางจึงคิดว่าควรจะพูดเช่นไรถึงจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้มารดายอมซื้อห้องแถวเหล่านี้ไว้

ในสายตาของหลินเว่ยเว่ยคือห้องแถวแปดห้องนี้ถือว่าเป็นร้านค้าที่ดี หากปรับปรุงใหม่แล้วจะปล่อยเช่าก็ต้องได้เงินกลับมาไม่น้อย! ต่อไปนางก็จะกลายเป็นเศรษฐีห้องเช่าแล้วไม่ใช่หรือ ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใด แค่นอนรอนับเงินเท่านั้น !

หลินเว่ยเว่ยเดินกลับบ้านอย่างมีความสุข เจียงโม่หานเห็นนางยิ้มหน้าบานจนตาแทบจะเป็นเส้นเดียวกันจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ “มีเรื่องดีอันใดจึงมีความสุขถึงเพียงนี้ ? ”

“เรื่องดี เรื่องดีมาก ๆ เลย ! บัณฑิตน้อย เร็วเข้า พูดสิ่งใดที่น่าฟังหน่อย พูดเอาใจข้าหน่อยเร็ว ทำให้พี่มีความสุขหน่อยสิน้อง แล้วพี่จะพาน้องไปหาเงินก้อนโต ! ” ฝ่ามือที่หลินเว่ยเว่ยลงน้ำหนักไปบนบ่าแทบทำให้เจียงโม่หานได้รับบาดเจ็บภายใน

เจียงโม่หานลูบบ่าอันปวดร้าวของตนแล้วกัดฟันกล่าวว่า “เจ้าไปโดนวิชามารมาหรือไร ? หรือสมองมีปัญหาไปแล้ว ? ”

“มา มา มา ! ประเดี๋ยวพี่จะเล่าให้น้องฟังอย่างละเอียด ! ” หลินเว่ยเว่ยดีใจจนลืมตัว นางจึงยื่นมือไปจับมือของบัณฑิตหนุ่ม

เจียงโม่หานทำตัวราวกับโดนน้ำร้อนลวก เขารีบสะบัดมือออกทันที จากนั้นก็เดินเข้าบ้านของตนด้วยความโมโห ส่วนหลินเว่ยเว่ยก็เห็นใบหูของเขาเป็นสีแดงก่ำจากทางด้านหลัง…อุ๊ย บัณฑิตน้อยเขินด้วยละ !

ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เดินตามเจียงโม่หานเข้าไปยังบ้านตระกูลเจียง ตอนนี้นางเฝิงและนางหวงกำลังทำผลไม้อบแห้งอยู่ ! ผลชิงและลูกท้อบนภูเขาโดนหลินเว่ยเว่ยเก็บมาได้พอสมควรแล้ว เพียงแต่พวกมันถูกเก็บไว้ในมิติน้ำพุวิญญาณ ในแต่ละวันหลังเดินวนรอบภูเขา นางก็แค่หยิบพวกมันออกมาใส่ตะกร้าเท่านั้น

ในฤดูกาลนี้ผลชิงล้วนสุกงอมจนหมดแล้ว ทว่าหลินเว่ยเว่ยอ้างถึงสภาพอากาศบนหุบเขาว่าจะทำให้ผลชิงสุกช้ากว่าปกติจึงไม่น่าสงสัยอันใด

“เสี่ยวเว่ยกลับมาแล้วหรือ ! วันนี้ราบรื่นเหมือนเดิมหรือไม่ ? ” เมื่อเห็นเจียงโม่หานเข้ามาพร้อมสีหน้าเย็นชา นางเฝิงก็แสร้งตำหนิบุตรชายว่า “หานเอ๋อร์ เจ้าทะเลาะกับเสี่ยวเว่ยอีกแล้วหรือ ? เจ้าเป็นบุรุษต้องใจกว้างหน่อย เจ้าต้องยอมให้เสี่ยวเว่ยบ้าง”

ทันใดนั้นสีหน้าของเจียงโม่หานก็เย็นชายิ่งกว่าเดิม เขาโมโหจนต้องกัดฟัน อย่างเขายังถือว่ายอมไม่พออีกหรือ ? เขาตามใจนางมากเกินไปต่างหาก นางกำเริบขึ้นทุกวัน วาจาไม่เอ่ยก็ลงไม้ลงมือแล้ว ! ไม่รู้ว่าเวลาไปทำการค้ากับคนในเมืองจะทำเช่นนี้หรือไม่ ?

เถ้าแก่น้อยร้านผลไม้อบนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นหนุ่มหน้าขาวด้วยนี่…ไม่ต้องบอกก็รู้ คำว่า ‘หนุ่มหน้าขาว’ นี้เจียงโม่หานต้องได้ยินมาจากหลินเว่ยเว่ยแน่นอน แต่เขาไม่รู้ความหมายแฝงหรอก แค่เข้าใจความหมายโดยผิวเผินเท่านั้น ทว่าตัวเขาและหนิงตงเซิ่งก็มีผิวที่ค่อนข้างขาวกว่าคนปกติ เจ้ากล้าว่าคนอื่นเป็นหนุ่มน้อยหน้าขาว ไม่อายบ้างหรือไร ?

พอคิดว่าเด็กตัวแสบอาจไปแตะตัวผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ ไฟโทสะของเจียงโม่หานก็ไม่อาจระงับได้อีกต่อไป ราวกับว่า…แมวที่ตนเลี้ยงไว้ถูกผู้อื่นหลอกล่อไปด้วยปลาย่างหนึ่งตัว แล้วมันก็ยังเข้าไปวนเวียนและร้องเรียกขออาหารอยู่อย่างนั้น ใช่ เป็นความรู้สึกเช่นนี้เอง !

หลินเว่ยเว่ยสังเกตเห็นไฟโทสะในใจของบัณฑิตหนุ่ม นางจึงรีบกล่าวว่า “น้าเฝิง ท่านเข้าใจบัณฑิตน้อยผิดแล้ว พวกเราไม่ได้ทะเลาะกันหรอก บัณฑิตน้อย เจ้ามานี่สิ ข้ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษากับทุกคน”

นางเฝิงและนางหวงหยุดงานในมือทันที พวกนางเดินมานั่งยังกลางลานบ้าน ส่วนเจียงโม่หานก็ดึงหน้าแล้วกลับมานั่งข้างหลินเว่ยเว่ย ทว่ายังหันหลังให้อยู่

ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เล่าสิ่งที่คิดให้ทุกคนรับฟัง

หลังฟังจบ เจียงโม่หานก็หันกลับมาพร้อมจ้องหลินเว่ยเว่ยอย่างมีนัย ในที่สุดหางจิ้งจอกก็โผล่ออกมาแล้ว ถ้าไม่ได้เพราะย้อนเวลากลับชาติมาเกิดใหม่เยี่ยงเขา เหตุใดจึงอยากซื้อห้องแถวตรงแถวท่าเรือ ยิ่งไปกว่านั้นห้องแถวเก่า ๆ ก็ไม่เห็นจะมีสิ่งใดน่ามอง !

เมื่อนางหวงได้ยินถ้อยคำของบุตรสาวแล้วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงลังเล “ซื้อห้องแถวตรงท่าเรืออย่างนั้นหรือ ? คนผ่านไปมาจะไม่วุ่นวายเกินไปสำหรับการใช้ชีวิตหรือไร อีกอย่างที่ดินของบ้านเราก็อยู่ตรงฉือหลี่โกว…”

ตอนต่อไป