บทที่ 184 ข่าวประหลาดเผ่าสิงซากสมุทร

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 184 ข่าวประหลาดเผ่าสิงซากสมุทร

บนท้องฟ้า เรือศึกไม้ดำลำหนึ่งแล่นไปเบื้องหน้า แหวกเมฆหมอกอย่างรวดเร็ว กระพือเสียงแหวกอากาศดังก้องไปทั่วทิศด้วยพลังที่น่าตกตะลึง

ทิศเป้าหมายของมันคือเกาะเผ่าสิงซากสมุทรเบื้องหน้าที่ระยะทางห่างจากจุดนี้อีกสิบวัน

จากแผนที่ทะเลที่สงครามเจ็ดเนตรโลหิต สวี่ชิงรู้ว่าแม้ที่นั่นจะเป็นเกาะ แต่อันที่จริงอาณาบริเวณก็กว้างขวางกว่าเกาะเงือกอยู่มาก แทบจะเป็นหนึ่งส่วนของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเลยทีเดียว

และตอนนี้ในเรือศึกไม้ดำลำนี้ หลังจากสวี่ชิงกับนายกองผ่านการหารือหลายครั้ง ในที่สุดก็กำหนดแผนการกับวิธีการการเดินทางครั้งนี้แล้ว

“ยังเหลืออีกสิบวัน พวกเราก็จะไปถึงเผ่าสิงซากสมุทรแล้ว แต่ว่าสวี่ชิงแม้แผนของเจ้าจะใช้การได้ แต่ถ้าจะลงมือทำจริงๆ รออีกเสียหน่อยก็ไม่น่าจะเป็นไรนี่นา ยิ่งไปกว่านั้นทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าดูกระเหี้ยนกระหือรืออยากลองเสียเหลือเกิน”

ในเรือศึกไม้ดำ นายกองมองสวี่ชิง เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

สำหรับแผนการลอบเข้าไปในเผ่าสิงซากสมุทรครั้งนี้ ทั้งสองคนหารือกันไปวันหนึ่ง สาเหตุที่ยาวนานก็เพราะว่าอันที่จริงนายกองไม่มีแผนการอะไรเลย แผนของเขาก็คือหลังจากลอบเข้าไปแล้วก็คอยพลิกแพลงตามสถานการณ์เอา

สำหรับเรื่องนี้ สวี่ชิงไม่เห็นด้วย

ดังนั้นหลังจากเขาครุ่นคิดก็เสนอเป้าหมายในการกระทำขึ้นมาอย่างหนึ่ง ว่าจะเข้าไปในสถานที่ตั้งของเทวรูปบรรพชนศพองค์หนึ่งด้วยวิธีที่รวดเร็วที่สุดได้อย่างไร

หลังจากมีเป้าหมายนี้ขึ้น แผนการก็เปลี่ยนเป็นง่ายขึ้นมาก ถ้าคิดจะทำให้สำเร็จ วิธีการที่เร็วที่สุดก็คือพอไปถึงเผ่าสิงซากสมุทร ก็คือต้องถูกผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรพาไปส่งด้วยตนเองทันที

เช่นนี้ก็จะไม่สิ้นเปลืองเวลาแม้เพียงน้อย

ส่วนจุดนี้จะทำอย่างไร สวี่ชิงกับนายกองก็หารือกันไว้แล้ว นั่นก็คือต้องบาดเจ็บ!

องค์หญิงสามทางนี้บาดเจ็บหนัก ฝืนหนีกลับมา เช่นนั้นเวลานี้สิ่งแรกที่ทำก็คือส่งตัวไปรักษาอาการบาดเจ็บ และด้วยสถานะขององค์หญิงสาม จึงตัดสินว่านางจะต้องถูกส่งไปยังสถานที่ตั้งของเทวรูปบรรพชนศพแน่นอน

ถึงอย่างไรรายงานที่นายกองซื้อมา เทวรูปบรรพชนศพนอกจากจะสามารถเปลี่ยนศพให้กลายเป็นสมาชิกเผ่าแล้ว ยังมีประสิทธิภาพการรักษาที่น่าตกตะลึงอย่างมากอีกด้วย

ดังนั้น จึงเกิดคำพูดสงสัยของนายกองก่อนหน้านี้ขึ้นมา

“อาการบาดเจ็บถ้าเกิดขึ้นในวันเดียว คนนอกแค่มองดูก็รู้แล้ว เช่นนี้ไม่ดีแน่”

สวี่ชิงส่ายหัว หลังจากเหลือบมองนายกองผาดหนึ่ง จึงส่งคำพูดออกมาอีก

“เพิ่มขึ้นทีละนิดในทุกวัน หลังจากทับซ้อนกันไปสิบวัน เมื่อแผลใหม่แผลเก่าอยู่ด้วยกัน ถึงจะดูสมจริง!”

นายกองยังคงสงสัยไม่หาย มองๆ สวี่ชิง คิดจะหาร่องรอยอะไรจากบนหน้าเขา ในใจเองก็คาดเดาว่าอีกฝ่ายคิดจะใช้งานนี้มาระบายหนี้แค้นส่วนตัวหรือไม่

สวี่ชิงมองตานายกอง ไม่มีหลบหลีกหรือเลี่ยงเบี่ยงอะไรทั้งสิ้น

นายกองเห็นสายตาของสวี่ชิงก็ถอนหายใจออกมา เขาคิดขึ้นมาได้ว่าตนเองตอนนั้นสอนวิธีนี้เอาไว้ ผลลัพธ์คือเวลานี้ตนเองก็ไม่สามารถไปตัดสินได้เช่นกัน

แต่เขาเองก็เป็นคนเหี้ยมหาญ จู่ๆ ใช้มือขวายกดาบเล่มหนึ่งขึ้น แทงไปในท้องของตนเองอย่างรวดเร็ว กรีดไปอย่างแรง ทันใดนั้นเลือดสีน้ำเงินที่ปลอมไว้ก็ซึมผ่านเสื้อผ้าชุดคลุมออกมา

“เรื่องเล็กแค่นี้ไม่เท่าไรหรอก” นายกองเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ ยังกัดผิงกั่วไปอีกคำ

สวี่ชิงส่ายหัว

“นายกอง ลงมือเองกับคนอื่นลงมือ บาดแผลแค่มองก็ไม่เหมือนกันแล้ว เพื่อแผนที่ยิ่งใหญ่ของพวกเรา ท่านคงต้องกล้ำกลืนเสียหน่อยแล้ว”

ท่าทางกัดผิงกั่วของนายกองชะงักทันที จ้องที่สวี่ชิงเขม็ง

สวี่ชิงมองดวงตาของนายกองอย่างตั้งใจ หลังจากนายกองครุ่นคิดพักหนึ่ง จึงถอนหายใจออกมา โยนกริชในมือออกไป สองมือผายออก

“มาเถอะ”

สวี่ชิงยิ้มเล็กน้อย หลังจากหยิบกริชเดินเข้าไป แทงไปบนท้องของนายกองหนึ่งที จากนั้นก็ชักออก แทงลงไปอีกที ในใจเกิดความรู้สึกสบายอย่างพูดไม่ออก

นายกองหายใจหอบถี่ ตอนที่ฝืนทนสวี่ชิงก็ชักกริชออก แทงลงไปบนต้นขาของนายกอง ตอนที่เลือดสดซึมสวี่ชิงก็ยกมือขึ้น ตบลงไปที่หน้าอกนายกองด้วยพลังคัมภีร์แปรสมุทรที่แฝงไว้

เสียงตูมดังขึ้น นายกองกระอักเลือดสด ขณะที่หน้าขาวซีดกริชในมือสวี่ชิงก็กรีดผ่าน เพียงไม่นานนายกองก็เลือดโทรมกาย ดูซมซานอย่างยิ่ง อยู่ในสภาพอ่อนแอซีดเซียว

“เอาล่ะเอาล่ะ พอแล้วสวี่ชิง!!”

สวี่ชิงรู้สึกเสียดาย แทงไปหลายทีก่อนหน้าทำให้เขารู้สึกดีอย่างมาก ตอนนี้เมื่อหยุดแล้ว เขามองไปที่ขาซ้ายของนายกอง ในใจก็ชั่งน้ำหนักว่าพรุ่งนี้จะไปเชือดตรงนั้น

พอเห็นสายตาสวี่ชิงจ้องมาที่ขาตนเอง นายกองก็หนังตากระตุก จากนั้นก็จ้องมองสวี่ชิง เอ่ยขึ้นมาทันควัน

“รองนายกองสวี่ เจ้าที่เป็นคนคุ้มกัน ปกป้ององค์หญิงที่บาดเจ็บหนักขนาดนี้ แต่เจ้ากลับไม่เป็นอะไรเลย มันไม่สมเหตุสมผล”

รอยยิ้มสวี่ชิงชะงักค้าง

“ดังนั้น เพื่อจะสำเร็จแผนการยิ่งใหญ่ของพวกเรา เจ้าเองก็ต้องกล้ำกลืนบ้างแล้ว ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าเอง” มุมปากนายกองมีรอยยิ้มเหมือนไม่ยิ้มเผยออกมา ในใจก็เฝ้ารอที่จะเอากริชจากสวี่ชิงกลับมา แล้วเชือดลงไปหนักๆ บนต้นขาสวี่ชิงบ้าง

สวี่ชิงเกิดความคิดจะเลี่ยงหนี แต่เขาก็จำใจต้องยอมรับว่าคำพูดของนายกองก็สมเหตุสมผลอยู่ ดังนั้นจึงสูดลมหายใจลึกอดกลั้น เงยหน้ามองไปทางนายกองผาดหนึ่ง ยอมให้กริชของนายกองแทงเฉือนมาบนต้นขาของตนเอง

สวี่ชิงกัดฟันกรอด

ครู่ต่อมา นายกองก็กระโจนขึ้นอย่างฮึกเหิม แทงเข้าไปที่ท้องของเขาอย่างรวดเร็วสามที ที่คอก็ถูกกรีดจนเป็นรอย บริเวณใกล้เคียงกับอวัยวะภายในที่สำคัญก็ล้วนมีรอยขึ้นทั้งหมด

เมื่อเห็นว่าเนื้อหนังเหวอะหวะ สวี่ชิงก็ถอยหนีฉับพลัน จ้องไปยังนายกองเขม็ง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง

“ขาขวาของเจ้าบาดแผลตั้งมากมาย แต่ขาซ้ายไม่มีเลย เช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล” พูดพลาง สวี่ชิงก็โบกมือเอากริชเล่มหนึ่งออกมา แทงไปบนขาซ้ายของนายกอง

นายกองขบฟัน จากนั้นก็แทงสวี่ชิงกลับไปอีกแผล เป็นเช่นนี้ทั้งสองคนแทงกันไปมา…จนผ่านไปพักหนึ่ง มือสองคู่ก็หยุดลง ตอนที่นอนหอบหายใจอยู่บนกระดานเรือ บาดแผลของพวกเขาก็ดูน่าสยดสยองมาก

“สวี่ชิง…ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องบาดเจ็บแบบนี้ทุกวันหรอก ในฐานะที่ข้าเป็นองค์หญิง และเจ้าที่เป็นคนคุ้มครอง พวกเราถูกไล่สังหารก็ต้องหนีถูกหรือไม่” นายกองเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรง

“ถูกต้อง พวกเราสามารถหนีไปได้เจ็ดแปดวันจึงถูกตามมาได้สักครั้งหนึ่ง” สวี่ชิงเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นพอคิดๆ ก็ถามขึ้นประโยคหนึ่ง

“แล้วหลังจากพวกเราเข้าไปในเผ่าสิงซากสมุทร ถ้าถูกเผ่าสิงซากสมุทรจับได้ เปิดโปงสถานะขึ้นมา ท่านมีวิธีอะไรตอนหนีตายหรือไม่”

นายกองพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็เลิกขึ้น หยิบผิงกั่วที่กินไปครึ่งหนึ่งก่อนหน้าออกมา กัดลงไปอีกคำใหญ่ ยิ้มขึ้นอย่างภาคภูมิใจ

“รองนายกองสวี่ ปัญหานี้น่ะนะ ข้ามีวิธีหลบหนีอยู่แล้ว แต่ว่าก็ไม่ต้องไปกังวลนักหรอก เล่นกับชีวิตนี่นะ ต้องตื่นเต้นเสียหน่อยจึงจะถึงใจ ดังนั้นเจ้าทางนี้ก็ต้องดูแลตัวเองด้วย

“แต่เห็นแก่ว่าเจ้าเป็นลูกน้องของข้า ข้าจะไม่บอกเจ้าก็ไม่ได้ แต่ว่านี่เป็นความลับใหญ่มาก อืม มูลค่าอยู่ที่หนึ่งล้านก้อนหินวิญญาณ!”

สวี่ชิงมองนายกองลึกซึ้งผาดหนึ่ง สายตาของอีกฝ่ายเผยนั้นความชั่วร้ายออกมา ทำให้สวี่ชิงเอาความคิดที่จะขายยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนให้อีกฝ่ายแต่เดิมลบทิ้งออกไปทันที

เขารู้สึกว่าไม่จำเป็น

พอเห็นว่าสวี่ชิงไม่ถามต่อ นายกองก็ประหลาดใจ กวาดตามองสวี่ชิง เขารู้สึกว่าสวี่ชิงน่าจะมีวิธีการเอาตัวรอดแล้ว แต่เขารู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นวิธีใด ก็ล้วนยอดเยี่ยมไม่เท่าของตนเอง

“ถึงตอนนั้นถ้าต้องการจริงๆ หนึ่งล้านหินวิญญาณจะต้องถึงมือ”

นายกองคิดถึงจุดนี้ ในใจก็โล่งสบายขึ้นมา

เวลาก็เคลื่อนผ่านไปเจ็ดวันอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เวลานี้ยังห่างจากเกาะที่ตั้งเผ่าสิงซากสมุทรอีกสามวัน

นอกจากการนั่งสมาธิบนเรือใหญ่ สวี่ชิงกับนายกองก็มีการพูดคุยขึ้นบางบ้างครั้ง เพื่อจะให้สวี่ชิงร่วมมือกับแผนการอย่างราบรื่น ดังนั้นนายกองจึงเล่าเรื่องบางอย่างของเผ่าสิงซากสมุทรออกมา

“เรื่องเผ่าสิงซากสมุทรก็ประมาณนี้ จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับองค์หญิงสามให้เจ้าฟังเสียหน่อย เด็กสาวคนนี้ก็เป็นคนที่น่าสงสาร อันที่จริงนางเกลียดเผ่าสิงซากสมุทรเสียยิ่งกว่าเจ็ดเนตรโลหิตเสียอีก ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าจึงบอกกับเจ้าว่านางจะช่วยพวกเรา”

นายกองมองถุงเก็บของของตนเอง ด้านในคือองค์หญิงสามเผ่าสิงซากสมุทร

“องค์หญิงสามคนนี้เกิดมาในเผ่านรชน บิดาของนางมีคุณสมบัติที่น่าตกตะลึง ครั้งนั้นถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานที่มีความหวังจะเดินบนวิถีเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณ

“แต่หลายปีต่อมากลับทรยศชนเผ่าแล้วปลีกตัวออกมา เข้าสวามิภักดิ์ต่อเผ่าสิงซากสมุทร หลังจากกลายเป็นเผ่าสิงซากสมุทรพลังบำเพ็ญก็โดดเด่นมาก บรรพจารย์เผ่าสิงซากสมุทรชื่นชม จนกลายเป็นราชาแห่งเผ่าสิงซากสมุทรในยุคนี้ไป

“ราชาเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ วิชาเผ่าสิงซากสมุทรรวมถึงความพิเศษของการฝึกบำเพ็ญ ถูกเรียกว่าวิชาสะบั้นสัมพันธ์แห่งพระบิดร และยังฝึกบำเพ็ญจนสูงส่ง ตระหนักระดับหนึ่งออกมา มีชื่อว่า…ลืมเลือนเศร้าอาดูร! ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแผนการและการเตรียมการไว้หมดแล้วอย่างชัดเจน เมื่อครั้งที่เขาทรยศชนเผ่าก็นำภรรยาและลูกสาวทั้งสี่คนออกมาด้วย ปิดผนึกพวกนางไว้ในเผ่าสิงซากสมุทร กลายเป็นดวงวิญญาณตัดวิถี

“พูดง่ายๆ คือราชาเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้นทุกครั้งที่สะบั้นสัมพันธ์ ต้องพบกับจุดคอขวดการทะลวงขั้น ดังนั้นหลายปีก่อนหน้าเขาจึงสะบั้นสัมพันธ์ภรรยาของนาง สะบั้นลูกสาวคนโตและคนรอง และทำต่อหน้าต่อตาลูกสาวคนที่สาม และสาเหตุที่นางยังไม่ตาย ก็เพราะราชาคนนั้นปัจจุบันยังไม่ถึงจุดคอขวดนั่นเอง

“นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าต้องดึงนางมา เด็กสาวคนนี้ดูเหมือนจะซื่อๆ แต่เวลานี้นางก็เรียนรู้การป้องกันตนเองมาตั้งแต่เล็กจนโต อันที่จริงนางเกลียดบิดาของตนเองอย่างมาก มากยิ่งกว่าเจ็ดเนตรโลหิตอย่างพวกเราเสียอีก

“ดังนั้นที่นางชอบสร้างปัญหามาโดยตลอด ก็แค่เพราะอยากจะตายเพื่อหลุดพ้นไปชั่วคราวเท่านั้น ครั้งนี้ข้าก็เตือนนางแล้วว่าอย่าก่อเรื่อง แต่ก็ยังไม่เป็นผล จิตใจที่อยากจะตายของเด็กคนนี้ มันซึมลึกลงไปจนถึงวิญญาณแล้ว

“ในความเป็นจริง จากข้อมูลที่ข้าซื้อมา หลายปีมานี้นางตายไปเจ็ดถึงแปดครั้งแล้ว

“แต่น่าเสียดาย วิญญาณของนางถูกบิดาดึงออกมาครึ่งหนึ่งกักเก็บไว้ข้างกาย สามารถสร้างนางขึ้นมาอีกได้ตลอดเวลา ดังนั้นต่อให้นางตายไปภายนอกก็ไม่มีผลกระทบอะไรมาก”

นายกองพูดออกมาต่อเนื่อง เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็เกิดความรู้สึกขึ้นเช่นกัน

“ในข้อมูลที่ข้าซื้อมามีประโยคหนึ่ง คือสิ่งที่ราชาเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้เคยพูดไว้ เจ้าลองฟังดูสิ

“ธุลีแดงซึมเปื้อนม้วนภาพ น้ำหมึกมิอาจขีดฆ่ากาลเวลาที่ไหลผ่านเวียนไป เหลือไว้เพียงความเหงาเดียวดาย แล้วจะลืมเลือนความเศร้าอาดูรได้อย่างไร”

ประโยคนี้สะท้อนก้องบนเรือใหญ่ ความเศร้าโศกาที่เอื้อนเอ่ยมิได้แผ่ซ่านไปทั่วทิศจากตัวหนังสือไม่กี่ตัวนี้

สวี่ชิงนิ่งงัน

ในโลกเบื้องล่างเสี้ยวหน้าเทพเจ้า คนทุกคนล้วนมีเรื่องราวของตนเอง และส่วนใหญ่ก็ล้วนโศกเศร้าเวทนาเป็นหลัก

เรื่องวิถีสะบั้นสัมพันธ์เช่นนี้ดูแล้วเหมือนน่าเวทนา แต่ในเรื่องราวของสวี่ชิงตั้งแต่เล็กจนโต ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ทว่าเขาก็ยังล้วงเอายาลูกกลอนรักษาแผลเม็ดหนึ่งโยนไปทางนายกอง

นายกองพอรับไปก็มึนงง เอ่ยปากขึ้นอย่างยินดี

“นี่ส่งมาทำไม เห็นว่าข้าบาดเจ็บหนัก เลยจะให้ข้าไว้ใช้รักษาบาดแผลสินะ”

“ให้องค์หญิงสามในถุงเก็บของของท่านต่างหาก” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“เสี่ยวอาชิงเอ๋ย ที่แท้เจ้าก็มีช่วงที่อ่อนโยนเหมือนกันนี่” นายกองมองสวี่ชิงเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม ชั่งน้ำหนักยาลูกกลอนในมือ

“ทำไมหรือ ชอบองค์หญิงสามเข้าแล้วหรือไร นี่เตรียมจะเป็นสนมชายให้กับนางแล้วจริงๆ สินะ”

สวี่ชิงมองท่าทางต่ำช้าของนายกองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่พูดอะไร