บทที่ 183 โฉมสคราญหยาดเยิ้ม

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 183 โฉมสคราญหยาดเยิ้ม

ปลดผนึกที่สอง!

ตัวตนของนายกองเป็นปริศนามาโดยตลอด สวี่ชิงคาดเดาเรื่องนี้หลายอย่าง กระทั่งว่าเขาเคยคิดว่าอีกฝ่ายเป็นองค์ชายใหญ่ของยอดเขาลำดับเจ็ดหรือเปล่าด้วยซ้ำ

เพียงแต่สำหรับสวี่ชิง การคาดเดาพวกนี้แค่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นบางครั้งเท่านั้น ไม่ได้สำคัญอะไรมาก เพราะไม่ว่าตัวตนของอีกฝ่ายจะเป็นใคร ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดระหว่างพวกเขา

ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ ในตอนที่เห็นนายกองปะทุพลัง ในดวงตาสวี่ชิงก็ฉายประกายโหดเหี้ยมออกมา เขาก็ไม่อยากแพ้เหมือนกัน กระทั่งว่าในใจมีความวาดหวังเรื่องที่นายกองแปลงโฉมเป็นองค์หญิงสามอย่างมาก

ดังนั้น แทบจะในพริบตาที่นายกองปะทุพลัง ตะเกียงแห่งชีวิตในร่างสวี่ชิงก็ลุกไหม้รุนแรงยิ่งขึ้น พริบตาต่อมาทั้งสองคนก็เข้าปะทะกันอีกรอบ

เสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้น นายกองที่ปลดผนึกทั่วร่างฉายประกายแสงสีทอง แสงนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนคุณสมบัติเทพ แต่ก็ไม่ค่อยเหมือนเท่าไร

คุณสมบัติเทพนั้นศักดิ์สิทธิ์ ส่วนของนายกองแฝงด้วยความทรงพลังก้าวร้าวรุนแรง เหมือนสามารถสะกดได้ทุกหมื่นวิชา สะกดได้ทุกสิ่ง

ในขณะที่แสงส่องกะพริบตอนนี้ จากการสะบัดมือของนายกองก็เกิดเป็นทะเลแสงสีทอง แปรเปลี่ยนเป็นมือมหึมาสะกดไปหาสวี่ชิง

“องค์หญิงสามเป็นเจ้านี่แหละ!” นายกองคำราม

เสี้ยวขณะต่อมา สวี่ชิงทั่วร่างสั่นสะท้านบ้าคลั่ง ร่างถอยไปข้างหลังไม่หยุด ภายใต้การปกคลุมจากแสงทะเล เขาสัมผัสได้ถึงความบ้าคลั่งจากบนนั้น และความทรงพลังสุดขีดแบบนั้น ทำให้เขาหายใจลำบาก การโคจรพลังบำเพ็ญก็ได้รับผลกระทบ ไฟชีวิตในร่างเต้นไหวระริกรุนแรง

มองไกลๆ ต่อหน้ามือใหญ่ที่แปลงมาจากแสงทอง เงาร่างของสวี่ชิงไม่ถึงหนึ่งในร้อยของมันเลย ตอนนี้ จากการกดทับลงมาของมือข้างนี้ ร่างของเขาถูกบดขยี้เป็นชั้นๆ ร่วงลงไปสู่มหาสมุทรไม่หยุด

ความแข็งแกร่งนี้ ในความรู้สึกสวี่ชิงอยู่เหนือไฟดวงที่สอง กระทั่งว่าความเร็วของเขาตามไม่ทันอยู่หน่อยๆ ทำได้ถึงขั้นนี้…มีเพียงพลังไฟดวงที่สามเท่านั้นถึงจะทำได้!

สวี่ชิงดวงตาหดเล็ก จิตต่อสู้ในดวงตาเต้นระริก หน้าผากมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา มือทั้งสองพลันสะบัด ทันใดนั้นข้างหลังเขาก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไฟ ไฟสีดำลุกโหมท่วมฟ้า วิหคทองที่อยู่ในนั้นบินฉวัดเฉวียนออกมา หลังจากบินวนรอบสวี่ชิงก็เงยหน้าคำราม แล้วทับซ้อนรวมกับสวี่ชิง

ร่างวิหคทองซ้อนทับกับร่างของสวี่ชิง คลุมทับด้วยชุดนักพรตสีม่วง ประดุจชุดจักรพรรดิที่ก่อตัวจากขนนก ชุดจักรพรรดิชุดนี้แม้จะค่อนข้างรางเลือน แต่ก็ยังคงแผ่กลิ่นอายความสูงส่งออกมา

ส่วนหัวของวิหคทองตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นมงกุฎจักรพรรดิ ลอยอยู่เหนือศีรษะของสวี่ชิง หลอมรวมเป็นกลิ่นอายสูงส่ง

แล้วยังมีหางหงส์ของวิหคทองกลายเป็นแถบผ้าสะบัดพริ้วบนร่างสวี่ชิง ในขณะเดียวกับที่ปลิวไสวไปทั่วทุกทิศ บนหางก็แผ่ทะเลเพลิงสีดำเป็นผ้าคลุมข้างหลังเขา

มองไกลๆ สวี่ชิงในเสี้ยวขณะนี้เมื่อรวมกับใบหน้าอันงดงามเลิศล้ำของเขาแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกทั้งตัวดูแล้วประดุจจักรพรรดิหนุ่มองค์หนึ่ง

กระทั่งว่ามีเค้าคล้ายกับบุคลิกท่าทางของจักรพรรดิโบราณวิหคทองที่ได้เห็นบนราชรถอยู่สามสี่ส่วนด้วยซ้ำ

ต่อให้เป็นนายกองก็ต้องอึ้งตะลึงกับภาพฉากนี้ไปเช่นกัน ในเสี้ยวขณะที่รูม่านตาหดเล็ก สวี่ชิงก็ใบหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาฉายความทรงอำนาจ มือขวากำเป็นหมัดชกไปที่ฝ่ามือยักษ์ข้างบนทันที!

หมัดนี้หลอมรวมตะเกียงแห่งชีวิตและไฟแห่งชีวิตของเขาเอาไว้ด้วย ใช้จิตต่อสู้และความเหี้ยมโหมของเขา ยิ่งผสมกายเนื้ออันแข็งแกร่งรุนแรงของวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณเอาไว้ เสี้ยวพริบตาที่ชกออกไปก็กลายเป็นการโจมตีขั้นสูงสุดของเขาในตอนนี้

ฟ้าดินสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงดังกึกก้องไปทั่วสารทิศ หมัดนี้ก่อเป็นเงามายา ขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายในตอนที่มีขนาดพอๆ กับฝ่ามือยักษ์ ข้างในหมัดก็แผ่ความทรงพลังออกมาเช่นกัน!

เพียงแต่ความทรงพลังของสวี่ชิงคือความหยิ่งทะนงของผู้ทรงอำนาจ ความทรงพลังของนายกองคือความบ้าคลั่งดิบเถื่อน

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายปะทะเข้าด้วยกันเพียงเสี้ยวพริบตา เสียงก็สะเทือนเลื่อนลั่น พลังโจมตีน่าครั่นคร้ามกลุ่มหนึ่งก็พลันระเบิดในบริเวณที่หมัดและฝ่ามือปะทะกัน

สวี่ชิงกระอักเลือด ร่างม้วนกระเด็นไปข้างหลัง กายจักรพรรดิที่ก่อขึ้นจากวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณไม่อาจดำรงได้ แตกสลายไป หมัดขวาของเขายิ่งรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัส กระดูกไหล่ขวาหลุดทันที

นายกองกระอักเลือดเช่นกัน ร่างสูญเสียการควบคุมกระเด็นไปข้างหลัง อักขระสี่เหลี่ยมรูปว่าวในดวงตากะพริบสองสามทีก็หมองหม่นดับไป มือขวาของเขาก็มีความรู้สึกเจ็บปวดแผ่ลามมาเช่นกัน ข้อมือส่งเสียงดังกร๊อบ คล้ายหักแล้ว

ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายจากการถอยครั้งนี้ต่างหายใจหอบถี่ ในขณะเดียวกับที่สวี่ชิงถอยหลังไป มือซ้ายยกขึ้นกดแขนขวา ก่อนจะดันขึ้นอย่างรุนแรง เสียงกร๊อบดังขึ้น ข้อต่อกลับคืนสู่ตำแหน่ง

ฝั่งนายกองมือซ้ายแค่สะบัดประกายแสงสีทองก็ส่องกะพริบ ส่วนที่แตกละเอียดประกายแสงสีทองก็ห่อหุ้มเอาไว้ หลังจากที่สมานตัวฟื้นฟูโดยเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็สะกดความเจ็บปวดไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย เอ่ยเสียงราบเรียบ

“ไอ้น้องชายไม่เลวนี่ มีกำลังรบหนึ่งส่วนเทียบได้กับเจ้ากรมคนนี้แล้ว พยายามต่อไป นอกจากนี้…เจ้าแพ้แล้ว” พูดแล้วนายกองก็มองไปที่ทะเล

บนผิวน้ำตอนนี้ งูทะเลที่ทั้งสองคนพนันกันตัวนั้นถูกรยางค์ที่จู่ๆ ก็ยื่นออกมาจากความว่างเปล่าคว้าตัวลากออกมาจากทะเล

สีหน้าของนายกองแฝงด้วยความได้ใจ มองสวี่ชิงกำลังจะพูดอะไร แต่ในตอนนี้ในดวงตาของงูตัวนั้นก็ฉายประกายแปลกประหลาด จู่ๆ ก็อ้าปากแล้วกัดคอตัวเอง

ความแรงของแรงกัดไม่ใช่แค่ใช้กำลังทั้งหมด แต่ยิ่งใช้พลังแฝงทั้งหมดที่มีจนหมดสิ้น เสียงกร๊อบดังขึ้น หลังจากที่กัดคอตัวเองขาดแล้วงูตัวนั้นก็ยังไม่ตาย ความรู้สึกแปลกประหลาดในแววตายิ่งรุนแรง มันกัดตัวเองคำแล้วคำเล่า เริ่มกินท่อนล่างของตัวเอง

เลือดเนื้อจำนวนมหาศาลกลืนลงไปจากปากงูแล้วสาดกระจายออกไปจากร่างครึ่งท่อนของมัน ดูแล้วน่าสยดสยองขนลุกขนพองนัก

นายกองอึ้งตะลึง สวี่ชิงสีหน้าเรียบนิ่ง เอ่ยขึ้นช้าๆ

“นายกอง ข้าชนะแล้ว”

พูดจบ หัวงูก็สั่นสะท้าน เหมือนสูญเสียแรงประคับประคองร่วงลงสู่ทะเล ส่วนเงาของสวี่ชิงก็กลับมาอย่างเงียบเชียบ

ในขณะเดียวกันบรรพจารย์สำนักวัชระทางนั้นในที่สุดก็ทำลายผนึกได้แล้ว

ทันทีที่กลับมาเขาก็จับเป้าหมายนายกองอย่างโมโหอับอาย เขารู้สึกว่าตัวเองเมื่อครู่ขายหน้าแล้ว กังวลว่าเรื่องนี้จะทำให้จอมมารสวี่คิดว่าตัวเองไร้ประโยชน์

โดยเฉพาะครั้งเจ้าเงาสร้างคุณงามความชอบได้ นี่ทำให้วิกฤตอันตรายในใจของบรรพจารย์สำนักวัชระรุนแรงเป็นอย่างมาก

นายกองมองงูทะเลครึ่งท่อนที่ร่วงลงผิวน้ำ แล้วมองไปทางสวี่ชิง สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำ

“ศิษย์น้อง พวกเรามาคุยกันสักหน่อย…”

“ท่านแพ้แล้ว”

“เอ๋ ตั๋ววิญญาณของเจ้าเหมือนจะหล่นอีกแล้ว”

“ท่านแพ้แล้ว”

“ข้ารู้แล้วน่า แต่จู่ๆ ข้าก็มีความคิดที่ดีกว่า ข้าว่า…”

“ท่าน แพ้ แล้ว!” สวี่ชิงสีหน้าจริงจัง เอ่ยเน้นทีละคำ

พูดจบเขาก็ครุ่นคิด ทำสีหน้าแปลกประหลาดใจออกมา เหมือนว่าการไม่ให้ความร่วมมือของนายกองทำให้เขาผิดคาดเล็กน้อย ในเมื่อพนันกันแล้วก็ต้องยอมรับ นี่เป็นหลักเหตุผลที่ถูกต้องสมเหตุสมผลเหมือนกับยืมเงินแล้วก็ต้องใช้แบบนั้น

นายกองหายใจถี่กระชั้น ดวงตาแดงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็กัดฟัน

“ก็แค่ปลอมตัวเป็นองค์หญิงสามไม่ใช่หรือ จะมีอะไรกัน เจ้ารอดูเลย!” ในดวงตานายกองฉายแววมุ่งมั่น หมุนตัวไหววูบหายเข้าไปในห้องเรือ

ความคาดหวังในใจสวี่ชิงสูงมาก กลับเข้าไปในห้องเรือเช่นกัน มองไปทางประตู ค่อยๆ รอ

เวลาผ่านไปทีละนิดๆ จวบจนหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ในตอนที่สวี่ชิงหมดความอดทนแล้วนิดๆ ประตูเรือก็ค่อยๆ เปิดออก เงาร่างงดงามหยาดเยิ้ม อรชรอ้อนแอ้นร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากข้างในอย่างรวดเร็ว

เป็นองค์หญิงสามนั่นเอง

องค์หญิงสามผู้นี้ตอนแรกฝีเท้าก็ยังสุขุมดี แต่หลังจากที่ปรากฏตัวออกมาจากข้างในโดยสมบูรณ์แล้ว ใบหน้าเล็กๆ ที่เนียนละเอียดงดงามหยาดเยิ้มก็ปรายตามองสวี่ชิงอย่างอาฆาตแวบหนึ่ง พบว่าสีหน้าสวี่ชิงแปลกประหลาดนิดๆ

ดังนั้นองค์หญิงสามจึงฝืนสะกดกลั้นความหงุดหงิด แค่นเสียงขึ้นจมูกก็มา ถลกกระโปรงเผยให้เห็นขาใหญ่ๆ หนาๆ สองข้าง หลังจากนั่งยองๆ ข้างๆ ก็หยิบผิงกั่วจากอกเสื้อออกมาแล้วกัดลงไปอย่างแรงคำหนึ่ง

“พอใจแล้วใช่หรือไม่!”

นายกองตอนนี้ปลอมตัวได้เหมือนมาก ยิ่งหน้าตาที่เป็นอาหารตาชั้นเลิศ ไม่ว่าสวี่ชิงจะมองอย่างไรก็มองร่องรอยอะไรไม่ออก มีเพียงขาของนายกองที่มีขนดกมากเท่านั้น

แต่ใบหน้าเล็กๆ ที่ดวงตากลมโตใสกระจ่าง ฟันขาวเรียงงดงาม อีกทั้งมือเรียวเนียนละเอียดดุจหยก ลำแขนกลมกลึงดุจรากบัวหยก งดงามหยาดเยิ้มนัก เกรงว่าลูกศิษย์หญิงในสำนักเหล่านั้นได้เห็นก็ยังต้องอิจฉา

นี่ทำให้สวี่ชิงอยากรู้นิดๆ ว่านายกองทำได้อย่างไร หลังจากประเมินอยู่ครู่หนึ่ง นายกองก็โมโหอับอายขึ้นมานิดๆ ยื่นมืออ่อนนุ่มงดงามไปหาสวี่ชิง

“เอาถุงเก็บของมาให้ข้า”

ก่อนหน้านี้สวี่ชิงเอาถุงเก็บของขององค์หญิงสามไป ตอนนี้เขาเอามันออกมาแล้วเทไปบนพื้น ทันใดนั้นของต่างๆ มากมายก็ร่วงลงมา กองเป็นภูเขาลูกน้อยๆ

สิ่งที่มีมากที่สุดคือเสื้อผ้า ส่วนหินวิญญาณในนั้นมีไม่มาก แต่กลับมีหินสีดำจำนวนหนึ่ง มันแผ่ไอพลังประหลาดเข้มข้นออกมา ขณะเดียวกันสวี่ชิงยังเห็นขวดผลึกแก้วขนาดเท่านิ้วมือมากมาย

ทุกขวดล้วนมีมุกสีดำเม็ดหนึ่งในนั้น ในมุกผนึกอักขระเอาไว้ เป็นของที่อีกฝ่ายโยนใส่เรือเวทของเขาเมื่อก่อนหน้านี้นี่เอง

“เยอะถึงเพียงนี้เชียวหรือ” สวี่ชิงหยิบออกมาเม็ดหนึ่งก็วางไว้บนมือสำรวจ จากนั้นก็เงยหน้ามองนายกอง

“ของสิ่งนี้มีชื่อว่าอัสนีโลกันต์ เป็นอาวุธเวทประเภทใช้ครั้งเดียวที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าสิงซากสมุทร พลานุภาพมหาศาล เพราะในเผ่าสิงซากสมุทรมีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถหลอมออกมาได้ ดังนั้นนอกเผ่าจึงหาพบได้ยาก ราคาเพิ่มขึ้นตามพลานุภาพที่แตกต่างกันไป” นายกองพูดพลางคุ้ยค้นหาของไปด้วย

“เผ่าสิงซากสมุทรแต่ละตนหลอมออกมาก็มีพลานุภาพต่างออกไป เคยมีอัสนีโลกันต์ที่บรรพจารย์ของเผ่าสิงซากสมุทรหลอมออกมามีพลังเทียบเท่าการโจมตีระดับปราณก่อนกำเนิด เมื่อหลายปีก่อนในงานประมูลที่ผืนอินทนิลมีคนประมูลไปด้วยราคาสูงลิบลิ่ว อัสนีนี้อัศจรรย์นัก หลังจากใช้เลือดหล่อเลี้ยงพลานุภาพจะเพิ่มขึ้นอีก อีกทั้งพลังทำลายล้างสังหารยังเพิ่มมากขึ้นต่อคนในเผ่าของผู้ครอบครองที่ใช้เลือดหล่อเลี้ยงด้วย”

นายกองพูดพลางหาป้ายบางอย่างมา ถือไว้ที่มือเอ่ยอย่างได้ใจ

“ครั้งนี้ข้าจ่ายเงินมหาศาลซื้อวิชาปลอมตัวอันน่าอัศจรรย์มาได้ ไม่ใช่แค่สร้างกลิ่นอายเผ่าพันธุ์ของอีกฝ่ายได้เท่านั้น กระทั่งว่าระลอกคลื่นของอีกฝ่ายก็สามารถลอกเลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์แบบ องค์หญิงสามผู้นี้ข้าจับตาดูมานานแล้ว รู้กระจ่างลึกซึ้งเป็นอย่างดี

“จากนี้พวกเราจะไปเผ่าสิงซากสมุทร ขอเพียงไม่ถูกรั้งอยู่ในนั้นนาน หรือเจอผู้แข็งแกร่งระดับแก่นลมปราณตั้งใจตรวจอย่างสุดกำลัง ไม่เช่นนั้นแล้ว หากแค่กวาดตามองไม่มีทางมองช่องโหว่อะไรออกแน่นอน”

พูดแล้วนายกองก็มองสวี่ชิงแวบหนึ่ง หยิบชุดคลุมยาวสีขาวตัวหนึ่งออกมาแล้วโยนไป ขณะเดียวกันก็ยื่นขวดใบเล็กให้เขาใบหนึ่ง

“ใส่เสีย เปิดขวดเล็กใบนี้ไปบนตัวจะมีพิษศพปล่อยออกมา ขณะเดียวกันก็จะอำพรางกลิ่นอายของเจ้า อีกทั้งยังเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกบางอย่างได้ด้วย”

สวี่ชิงได้ยินก็รับมา หลังจากสวมแล้วกลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ในขณะเดียวกับที่แผ่พิษศพออกมาจางๆ รูปลักษณ์ภายนอกก็แห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายและรูปลักษณ์ภายนอกดูแล้วไม่แตกต่างอะไรกับเผ่าสิงซากสมุทรเลย

ขวดใบน้อยที่สามารถเปลี่ยนแปลงโฉมได้ สวี่ชิงรู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญทั่วไปจะสามารถสร้างออกมาได้ นี่ทำให้เขารู้ลูกไม้ต่างๆ ของนายกองได้ในระดับหนึ่ง

“เช่นนั้นจากนี้ไป เจ้าก็เป็นผู้คุ้มครองของข้า อารักขาองค์หญิงกลับเผ่าสิงซากสมุทร นับจากนี้เป็นต้นไปพวกเราต้องสวมบทบาทแล้ว จะเปิดเผยช่องโหว่ไม่ได้เด็ดขาด เจ้าเห็นด้วยหรือไม่” นายกองเอ่ยอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

สวี่ชิงพยักหน้า เขารู้สึกว่านายกองพูดมีเหตุผล

เห็นสวี่ชิงพยักหน้า นายกองกระแอมออกมา บิดขี้เกียจ ทิ้งสะโพกอรชรอ้อนแอ้น จากนั้นก็นั่งข้างๆ อย่างสง่างาม ก่อนจะยื่นขาที่ขนดกยาวข้างหนึ่งออกมา กินผิงกั่วไปด้วยกระดิกขาไปด้วย เอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า

“มาเถิด อาชิงน้อย มานวดขาให้ข้าองค์หญิงผู้นี้”

สวี่ชิงมองนายกองแวบหนึ่ง หยิบผงพิษออกมาจากถุงเก็บของกำหนึ่ง เตรียมทาที่มือ

นายกองหดขาเก็บกลับไปทันที มองสวี่ชิงด้วยสีหน้าจริงจัง

“ข้าพลันนึกขึ้นได้ พวกเราควรหารือแผนการกันเสียหน่อย”