ตอนที่ 250 โจรขโมยลูกศิษย์ตายเสียเดี๋ยวนี้
ฉินหลิวซีเอ่ยจบ คิ้วของหวังเจิ้งพลันขมวดขึ้น อะไรจะกลายเป็นเรื่องร้าย
เจ้าอาวาสชิงหลานไม่คิดว่าฉินหลิวซีจะเอ่ยวาจาทื่อตรงไม่อ้อมค้อมเช่นนี้ออกมา หลังจากครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยว่า “ช่วงนี้นายน้อยสี่กำลังมีรักหรือ”
“ไม่มีขอรับ” หวังเจิ้งส่ายศีรษะพลางเอ่ย “ท่านปู่เคยบอกว่าเอาไว้รอข้าสวมกวนก่อนค่อยเอ่ยเรื่องคู่ครอง ดังนั้นจึงไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย อีกทั้งปีหน้าข้าต้องลงสนาม ปกติก็จะคบหาสมาคมกับสหายในสำนักศึกษาเดียวกัน สำหรับสตรี ข้าไม่เคยข้องแวะ ไม่ข้องเกี่ยว ยิ่งไม่เคยมีสัมพันธ์ส่วนตัว”
ไม่ข้องเกี่ยวและไม่มีสัมพันธ์ส่วนตัว และจะมีดวงเรื่องรักมาจากที่ใด ยังกลายเป็นคราวซวยด้วย
เจ้าอาวาสชิงหลานเห็นเช่นนั้นหันไปหาฉินหลิวซี “เจ้ามองว่าอย่างไร”
ฉินหลิวซียิ้มบาง “อาจารย์ลุงเจ้าอาวาสดูออก ข้าก็ดูออก คุณชายหวังกลับบอกว่าไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวอะไร เช่นนี้ เป็นเราที่ดูผิดหรือ”
หนึ่งคนดูผิดคือดูผิด สองคนดูผิด ก็เป็นดูผิดหรือ
หวังเจิ้งย่นคิ้ว ปลายนิ้วที่วางอยู่ระหว่างเอวงอเข้า
เขาเกิดในครอบครัวเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง ทั้งท่านปู่ยังให้ความสำคัญสั่งสอนด้วยตนเอง สำหรับการขีดเส้นแบ่งระหว่างชายหญิงเขาย่อมเข้าใจดี จริงอยู่ที่เขาได้รับการศึกษาทำให้ปกติมีการคบค้าสมาคมกับสหายร่วมสำนักศึกษา ศึกษาพิจารณาวิชาความรู้ต่างๆ ไม่ได้ทำตัวเป็นคุณชายเจ้าชู้เสเพล ถึงแม้จะไปงานร่วมกลุ่มวิชาความรู้ที่จัดขึ้นในเรือหรูหราเหล่านั้นอยู่บ้าง แต่กับสตรีนั้นล้วนแล้วแต่ปฏิบัติอย่างดีไม่ละเมิดต่อธรรมเนียมประเพณี
อย่างไรตัวเขาเข้าใจถึงฐานะตัวตนของตนเองเป็นอย่างดี ยิ่งเข้าใจดีว่าการแต่งงานของตน ท่านปู่เป็นคนจัดการ จะกล้าทำเรื่องเสียมารยาทเช่นนั้นได้อย่างไร
“คุณชายหวังนึกว่าตนเองไม่มี ไม่รู้ว่าหญิงงามสักคนที่ไม่ได้เจอกันนานตั้งแต่ยามใดที่ใด คุณชายได้ทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกหรือเข้าใจผิดหรือไม่”
ฉินหลิวซีวางถ้วยชาลง เอ่ย “ขมับของท่านกว้าง มีดวงชะตาเรื่องสตรี ท้องตามีรอยเสน่ห์ ดวงตาสองข้างเปล่งประกายพร่างพราว ทว่าหางตากลับมีสีม่วงเล็กน้อย ท่านไม่ได้มีเพียงเสน่ห์ แต่ยังค่อยๆ กลายเป็นเรื่องเลวร้าย คุณชายหวังเป็นหลานชายเชื้อสายหลักที่หวังกงให้ความสำคัญ มีการอบรมสั่งสอนที่ดี ข้าเองก็เชื่อว่าคุณชายได้รับการสั่งสอนมาดี ไม่ได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวใดๆ กับสตรี แต่หากเป็นการเข้าใจผิดเล่า คุณชายหวัง สตรีบางคนเมื่อเจอคนที่ถูกใจก็เสียสติได้ง่ายๆ ดังเช่นหวังกง ไม่เพียงสูญเสียสติ ยังทำให้เกิดภาพมายาด้วยเล่า”
หวังเจิ้งฟังแล้ว ใบหน้าค่อยๆ ตึงเครียดขึ้น
ปลายนิ้วของฉินหลิวซีเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ เอ่ย “สตรีส่วนใหญ่ ตกอยู่ในภวังค์แห่งรักง่ายกว่าบุรุษ เพียงตกลงไปแล้ว ก็จะสูญเสียการควบคุม ยิ่งคิดไปไกลก็ยิ่งบ้าบิ่น เช่นนั้นคนหนึ่งคนเพียงเจอคุณชายหวังก็หลงใหลไปตลอดชีวิต เกิดสูญเสียสติ แสดงความบ้าคลั่งออกมา ใครจะรู้ว่านางจะทำอะไรได้บ้าง”
ใบหน้าของหวังเจิ้งเขียวคล้ำขึ้นมาแล้ว เป็นครั้งแรกที่ยั้งสติไม่อยู่ต่อหน้าเจ้าอาวาสชิงหลาน ยืนไม่อยู่ขึ้นมา
เจ้าอาวาสชิงหลานเห็นว่าสีหน้าของเขาเริ่มเขียวคล้ำ กระแอมไอ หันไปมองฉินหลิวซี “เจ้าก็อย่าได้ขู่เขานัก”
ฉินหลิวซีกะพริบตา “เอ่ยความจริงก็ไม่พอใจแล้วหรือ อาจารย์ลุง แต่มนุษย์ ยามต้องสูญเสียสติเพราะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คนมักจะเป็นบ้า นิสัยก็จะร้ายกาจ ยิ่งหากมีความรู้สึกว่าในเมื่อข้าไม่ได้ก็ต้องทำลาย อย่างเช่นที่ข้าเอ่ยก่อนหน้านี้ คุณชายหวังยังไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่อีกฝ่ายกลับแทบคลั่ง เข้าใจว่าคุณชายหวังเป็นผู้ทำ จะไม่คิดว่าตนเองและคุณชายหวังคือคู่รักคู่หนึ่งหรือ”
หวังเจิ้งสีหน้าเปลี่ยนเป็นทะมึน จะมีคนเช่นนี้ได้อย่างไร
“การสูญเสียสติก็เป็นอาการป่วยอย่างหนึ่ง แต่อาการป่วยทั่วไปหากไม่ได้รับการรักษาก็อาจเกิดผลที่ไม่อาจรับได้ ทำอะไรต่างก็ยากที่คนจะเข้าใจได้” ฉินหลิวซีชี้หางตาของเขา “ใบหน้านี้ของท่าน แสดงออกชัดเจนว่าเสน่ห์ของท่านจะนำพาเรื่องร้ายๆ แน่นอน ข้าเพียงทำนาย คุณชายหวังเกิดในตระกูลมีชื่อเสียงทั้งยังร่ำเรียนหนังสือ จะรับฟังแล้วคิดว่าข้าเหลวไหลก็เพียงรับฟังไม่เป็นไร เพียงประโยคเดียว ช่วงนี้ต้องระวังให้มาก”
หวังเจิ้งอ้าปาก อยากเอ่ยตอบโต้อะไรสักหน่อย ทว่าเอ่ยไม่ออกแม้เพียงคำเดียว มองไปยังฉินหลิวซี เห็นดวงตาของอีกฝ่ายลุ่มลึก ความกังวลพลันเกิดขึ้นอยู่ภายในใจ
เขาเองก็ไม่ใช่คนที่เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน ออกไปข้างนอกบ้าง แต่ไปทำให้ผู้ใดเกิดความรู้สึกเช่นนี้ เขานึกไม่ออกจริงๆ
อย่างไรหวังเจิ้งก็เป็นคนได้รับการเลี้ยงดูที่ดี สูดหายใจเข้าลึก ตั้งสติ หันไปคารวะฉินหลิวซี เอ่ย “เป็นโชคดีมิใช่โชคร้าย เป็นโชคร้ายหลีกเลี่ยงไม่ได้ เจิ้งขอบคุณเจ้าอาวาสน้อยที่เอ่ยเตือนขอรับ”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว สมแล้วกับเป็นหลานที่หวังกงเลี้ยงเอาไว้ข้างกาย แม้อายุจะยังจัดการเรื่องใหญ่ไม่ได้ แต่ไม่เคยเป็นดอกไม้ที่ทำอะไรไม่เป็น ถูกโอ๋จนเปราะบางก็ทำร้ายได้ง่าย หากผ่านเรื่องราวมามากมาย แน่นอนว่าจึงมีประสบการณ์รู้เท่าถึงการณ์
เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ย “เรื่องเรื่องหนึ่งมีเจ้าของเรื่องเพียงผู้เดียว ปู้ฉิวในเมื่อเจ้าแนะนำแล้ว มอบยันต์คุ้มภัยให้เขาสักแผ่นดีหรือไม่”
“หมดแล้ว เมื่อคืนรีบมา แผ่นสุดท้ายที่มีติดตัวเอาให้เหอหมิงของท่านไปแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย
“เช่นนั้นวาดสักแผ่นได้หรือไม่” อย่างไรเจ้าเขียนยันต์ก็ง่ายเหมือนเขียนอักษรไม่มีผิด
ฉินหลิวซีมองไปยังหวังเจิ้ง เห็นแววตาสุจริตเที่ยงธรรมของเขา เอ่ย “ได้เจ้าค่ะ”
หวังเจิ้งยังไม่ทันเอ่ยขอบคุณ
“ค่าน้ำมันตะเกียงหนึ่งร้อยตำลึง”
หวังเจิ้ง “?”
ค่าน้ำมันตะเกียงหนึ่งร้อยตำลึงต่อยันคุ้มภัยหนึ่งแผ่นหรือ
“ฮ่าๆ เจิ้งเอ๋อร์ ยังไม่รีบไปเอาเงินค่าน้ำมันตะเกียงมา” หวังกงปรากฏตัวด้วยเสียงหัวเราะดัง ใบหน้าไม่มีความกังวลแม้เพียงนิด ไม่รู้ว่าเขาได้ยินมากเพียงใด
หวังเจิ้งรีบเอ่ยตอบรับ สั่งให้บ่าวรับใช้ไปหยิบเงินมา
ตอนนั้นเองผู้ดูแลหวังก็ยกยาที่ต้มเสร็จเข้ามา ยังถูกสั่งให้ไปหยิบสีชาดและกระดาษเหลืองดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
หวังกงก็ไม่ได้ถามฉินหลิวซีถึงดวงชะตาเสน่ห์ของหวังเจิ้ง หลังจากดื่มยาแล้วก็หันมาสนทนาเรื่องเต๋ากับพวกเขา เขาช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาหลายปี เมื่อครั้งยังหนุ่มก็ปฏิบัติหน้าที่ในราชการได้รับคุณความดีต่อเนื่อง มีความรู้กว้างขวาง เอ่ยถึงน้ำใจผู้คน รวมไปถึงการบูชากราบไหว้ความเชื่อเองก็ทำไว้มากมาย
แม้ฉินหลิวซีไม่อาจเรียกได้ว่าอ่านหนังสือมากมาย แต่เพราะฐานะเป็นเหตุ นางจึงมิได้มีขีดจำกัดแต่อย่างใด หลายปีมานี้ก็เดินในเส้นที่ทางคนทั่วไปไม่เดิน ไปในที่ที่คนทั่วไปไม่ไป เห็นโลกมาไม่น้อย จึงพูดคุยกันได้
หวังกงเห็นเขาอายุยังน้อย เอ่ยเรื่องใดก็ยังสนทนาได้ ดวงตามีความชื่นชมวาบผ่านอย่างเสียมิได้
“หากเจ้าได้ร่ำเรียนเข้าไปเป็นขุนนาง จะต้องทำให้ชาวเมืองมีความสุขได้อย่างแน่นอนเป็นวาสนาของต้าเฟิง” หวังกงรู้สึกเสียดาย เอ่ยต่อว่า “เข้ามาอยู่ในเต๋าแล้ว จะกลับไปเป็นฆราวาสหรือไม่”
เจ้าอาวาสชิงหลานตกใจแทบตาย เอ่ย “หวังกง นางเป็นเจ้าอาวาสน้อยอารามชิงผิง จริงสิ นางเป็นนักพรตหญิง เป็นขุนนางมิได้”
ยังจะสึกมาเป็นฆราวาสอีก หากสหายเฒ่าผู้นั้นได้ยินคนป่วยที่ตนพาฉินหลิวซีมารักษาเข้า สุดท้ายถูกเกลี้ยกล่อมให้กลับมาเป็นฆราวาส เกรงว่าคงโดนตีตายต่อหน้าท่านปรมาจารย์
นึกไปถึงสถานการณ์ที่ฉินหลิวซีพยศหลายครั้งหลายครา เจ้าอาวาสชิงหลานไม่จำเป็นต้องช่วยนางปกปิดตัวตน เอ่ยบอกเพศของนางไปตามตรง
แม้ต้าเฟิงจะมีสตรีเป็นข้าราชการได้ แต่ก็เป็นแม่ทัพหญิงและผู้คุมนักโทษอยู่ในระดับต่ำเท่ากัน ข้าราชการที่เป็นสตรีที่ได้เข้าร่วมราชสำนักจริงๆ นั้นมีจำนวนแทบนับได้
หวังกงและหวังเจิ้งต่างตกใจ “นักพรตหญิงหรือ”
หวังเจิ้งยิ่งลืมฐานะตัวเอง มองสำรวจฉินหลิวซี นางเป็นสตรีหรือ
หวังกงถอนหายใจ เอ่ย “ข้าแก่แล้วจริงๆ ดูไม่อออกว่าเจ้าเป็นนักพรตหญิง ทั้งยังมีวิชาความรู้เพียงนี้ สภาพแวดล้อมที่ดีช่วยกล่อมเกลาคนออกมาได้ดีจริงๆ”
น่าเสียดายยิ่งแล้ว
เขามองหลานชายที่ลืมตัว กระแอมไอ เอ่ยถามเจ้าอาวาสชิงหลาน “อารามชิงผิงมีปรมาจารย์ลัทธิเต๋าองค์ใดหรือ มีกฎในลัทธิอย่างไร ผู้เข้าไปในลัทธิแล้วแต่งงานได้หรือไม่”
เจ้าอาวาสชิงหลาน “?”
ตรงหน้าเขาเกิดภาพปรากฏขึ้นมา เจ้าอาวาสชิงหลานกำลังยืนแกว่งที่ปัดฝุ่นไปมา โจรขโมยลูกศิษย์ตายเสียเดี๋ยวนี้