ตอนที่ 251 ตระกูลซือมีเรื่องร้องขอ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 251 ตระกูลซือมีเรื่องร้องขอ

ฉินหลิวซีเขียนยันต์ให้หวังเจิ้งหนึ่งแผ่น พับเป็นยันต์สามเหลี่ยมก่อนจะยื่นไปให้ “นำติดตัวเอาไว้”

หวังเจิ้งรับมา เป็นเหมือนยันต์ที่มารดาและพี่สาวน้องสาวขอมาไม่ได้ต่างกันมาก ยันต์นี้จะสามารถทำลายเรื่องร้ายนี้ได้หรือ

“เป็นโชคดีมิใช่โชคร้าย ส่วนยันต์นี้จะป้องกันสิ่งชั่วร้ายให้ท่าน” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงแต่หลังจากนี้คุณชายต้องระวัง สตรีบางคนมิใช่จะใจดีได้ตลอดเวลา”

หวังเจิ้งประสานมือพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ

พวกฉินหลิวซีอยู่ที่จวนตระกูลหวังจนกินอาหารเที่ยงเสร็จจึงกลับไป และเมื่อตระกูลหวังเห็นว่าหวังกงมิได้มีอาการกำเริบดังเช่นทุกวันก็รู้สึกยินดีโดยไม่อาจห้ามได้

หวังเจิ้งเองก็เชื่อฉินหลิวซีครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ยามนี้เห็นท่านปู่ไม่มีอาการกำเริบ นอกจากยินดีอยู่ในใจแล้ว ยังกังวลต่อเรื่องที่จะเกิดเพราะเสน่ห์ของตนด้วย

หวังกงเห็นเขาใจเหม่อลอย เอ่ย “ยังคิดถึงเรื่องร้ายที่จะเกิดจากดวงเสน่ห์ของเจ้าอยู่หรือ”

หวังเจิ้งตกใจ เอ่ย “ท่านปู่ได้ยินหรือขอรับ”

“เจ้าไม่เคยมีความสัมพันธ์กับสตรีข้างนอกจริงหรือ” หวังกงเอ่ยถามกลับ

หวังเจิ้งกำลังจะคุกเข่า หวังกงจับเขาเอาไว้ “ไม่ต้องคุกเข่า ยืนคุยกันก็พอเถิด ปู่ตั้งใจอบรมเลี้ยงดูเจ้า เจ้าเป็นใคร ใจปู่รู้ดี”

หวังเจิ้งพ่นลมหายใจ เอ่ย “หลานยึดมั่นในคำสอนของท่านปู่อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ไม่กล้าทำเรื่องนอกลู่นอกทาง โดยเฉพาะเรื่องสตรี ยิ่งถือมั่นในธรรมเนียมประเพณี ไม่มีเรื่องมั่วโลกีย์อย่างแน่นอนขอรับ”

หวังกงพยักหน้า เอ่ย “เช่นนั้นเจ้าลองคิดดูให้ดี ช่วงนี้ได้รู้จักกับสตรีที่อยู่ข้างนอกนั่นหรือไม่ เคยทำอะไร บางทีเจ้าอาจไม่ได้ตั้งใจก็เป็นได้”

“ท่านปู่เชื่อว่าข้ามิได้ทำเรื่องขัดคำสั่งจนเกิดเรื่องร้ายหรือขอรับ”

“โบราณว่า ยอมเชื่อคนอื่น เชื่อในสิ่งที่มีอยู่ ดีกว่าเชื่อในสิ่งที่ไม่มีจริง เมื่อครู่เจ้าบอกกับปู่แล้ว และเฝ้าระวังในสิ่งที่นักพรตหญิงผู้นั้นบอก ว่าพูดไปเรื่อยหรือไม่” หวังกงลูบเครา เอ่ย “แม้นางจะเป็นนักพรตหญิง แต่ความสามารถนั้นหาใช่เจ้าจะเทียบได้ ปู่ดูแล้วอายุนางน่าจะเพิ่งปักปิ่น แต่เป็นถึงเจ้าอาวาสน้อย เห็นได้ว่าได้รับความสำคัญเพียงใด ถอยออกมาหนึ่งก้าว พวกเราไม่รู้ถึงสิ่งที่แฝงอยู่ในอารามชิงผิง แต่เจ้าอาวาสชิงหลานเป็นเจ้าอาวาสแห่งอารามชิงหลาน เขายังให้ความสำคัญกับนางยิ่ง”

ในตอนที่เขาเอ่ยถึงการสึกมาเป็นฆราวาส อีกทั้งเรื่องแต่งงาน เจ้าอาวาสชิงหลานแทบอยากลากนางวิ่งหนีไป ท่าทางราวกับกลัวเขาจะขโมยคนมาอย่างไรอย่างนั้น กลัวเพียงนี้เลยหรือ

รู้จักมาหลายปี เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเจ้าอาวาสชิงหลานมีท่าทางไม่นิ่งถึงเพียงนี้

หวังเจิ้งนึกย้อนถึงคนที่ได้รู้จักพูดคุยโดยละเอียดถี่ถ้วน

“เจ้าอายุยังน้อยคงไม่รู้ว่าลัทธิเต๋าก็มียุคที่เจริญรุ่งเรือง ก่อนที่ผู้คนที่ศรัทธาจะห่างหายมานับถือพุทธ หากไม่มีเรื่องของบรรพกษัตรย์ก็คงไม่ต้องเงียบสงัดมาห้าสิบปี” หวังกงถอนหายใจเบาๆ เอ่ย “ลัทธิเต๋าห้าแขนง[1] มีสิ่งที่คนธรรมดาอย่างเราไม่อาจเข้าถึงได้ เจ้าไม่เชื่อก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มี พวกเราเป็นมนุษย์ต่อให้ไม่เชื่อแต่ก็ไม่กล้าไม่เคารพ เพราะมีความจริงอยู่”

“หลานน้อมรับคำสั่งสอนขอรับ”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“วิชาของเต๋ายากที่จะสัมผัสได้ ครั้งแรกที่นักพรตหญิงผู้นั้นเจอท่านปู่ของเจ้า ก็มองออกถึงตัวตนของปู่ ยามนี้ยังช่วยรักษาข้า อาการป่วยไม่กำเริบ เห็นได้ว่านางศึกษาวิชาได้เป็นอย่างดี ข้าเชื่อว่านางมิได้วิจารณ์ดวงชะตาเสน่ห์ของเจ้าโดยไร้เหตุผล คงจะเห็นอะไรบางอย่าง จึงได้เอ่ยเช่นนั้น” หวังกงเอ่ย “ช่วงนี้เจ้าเดินทางอยู่ข้างนอกก็ระวังสักหน่อย ระแวงขึ้นมาอีกสักหน่อยก็ไม่ผิด”

หวังเจิ้งเอ่ยตอบ “อาการป่วยของท่านปู่ยังไม่หายดี หลานเองก็ต้องทบทวนบทเรียน คงต้องปิดจวนไม่ออกไปไหนแล้วขอรับ”

หวังกงตำหนิ “เป็นโชคดีมิใช่โชคร้าย เป็นโชคร้ายไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากเจ้ายังคิดเช่นนี้ มิใช่เป็นการขี้ขลาดหรือ ตระกูลหวังไม่หลีกหนีในเรื่องที่ยังไม่เกิด เป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ”

หวังเจิ้งหน้าซีด “หลานสำนึกผิดแล้วขอรับ”

หวังกงโบกมือ “อย่าได้เห็นเงาธนูในถ้วยน้ำแล้วคิดว่าเป็นเงางู[2] ทำอะไรระมัดระวังให้มากขึ้นก็พอแล้ว ใช้ชีวิตนึกถึงคำปู่เยอะๆ”

“ขอรับ” หวังเจิ้งค้อมศีรษะถอยออกไป

หลังจากเขาไปแล้ว หวังกงจึงเอ่ยกับความว่างเปล่า “ส่งองครักษ์เงาติดตามนายน้อยสี่สักคน”

“ขอรับ”

หวังกงค่อยเดินกลับห้องไปอย่างเชื่องช้า

และในตอนที่พวกเขากำลังพูดคุยถึงเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้นเพราะดวงเสน่ห์ เรือนงดงามแห่งหนึ่งในเมืองชิงโจว สตรีสวยหยาดเยิ้มผู้หนึ่งกำลังนั่งหมอบวาดภาพ ในตอนที่ขีดเส้นสุดท้ายเสร็จ นางจึงวางพู่กันลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี แขวนรูปเอาไว้บนชั้นสูง มองคนในภาพด้วยสายตาหลงใหล

“คุณชายสี่…” หญิงสาวมองอยู่นาน ดวงตาเกิดความลุ่มหลง เผยรอยยิ้มอาลัยรักอ่อนหวาน มองไปบนรูปภาพนั้น ยื่นสองมือออกไปกอดคนในภาพที่แขวนอยู่

ฉินหลิวซียื่นไข่มุกทองคำครึ่งกล่องเล็กให้กับเจ้าอาวาสชิงหลานพร้อมเสียงหัวเราะ “ตระกูลหวังนี้ช่างใจกว้าง จ่ายค่ารักษามาอย่างงาม”

ไข่มุกทองคำหนึ่งกล่อง เม็ดกลมอวบอิ่ม สีก็ดูไม่เลว พอดีไข่มุกที่นางมีอยู่นั้นใช้ไปจนหมดแล้ว กล่องนี้ยอดเยี่ยมที่สุด แกะสลักมนต์คาถาแล้วนำไปทำเครื่องราง เผื่อมีผู้มีจิตศรัทธาต้องการ

เจ้าอาวาสชิงหลานหยิบมาเพียงไม่กี่เม็ด ผลักกลับคืน เอ่ย “เป็นผลงานของเจ้า ข้าเอาไปคงไม่เหมาะสม เช่นนั้นก็เอาสองเม็ดเป็นค่าน้ำมันตะเกียงก็พอแล้ว”

ฉินหลิวซีเองก็ไม่บังคับ รับกลับคืนมา

“เช่นนั้นเจ้ามองว่า เรื่องร้ายจากความเสน่ห์หาของคุณชายสี่นี้จะถึงชีวิตหรือไม่” เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ยถาม

“ท่านกำลังทดสอบข้าหรือเจ้าคะ ท่านเองก็ดูออกอยู่แท้ๆ มีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่ ยังไม่รู้หรือเจ้าคะ”

เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ยด้วยความมั่นใจ “ข้าแก่แล้ว บางครั้งก็ดูไม่แม่น เจ้าลองว่ามาเถิด”

“ไม่ถึงขั้นชีวิต แต่ท่านก็ได้ยินแล้วว่าปีหน้าเขาจะลงสนาม เรื่องร้ายนี้หากไม่จบ จะต้องมีความสูญเสีย คงไม่มีสิทธิ์ลงสอบแล้ว เพราะเหตุนี้จึงไม่ถึงขั้นไม่อาจฟื้นคืนมาได้ แต่ในใจคงได้รับความกังวล” ฉินหลิวซีเอ่ย “เพียงแต่โชคร้ายและโชคดีมักจะพึ่งพาอาศัยกัน ชีวิตของคนปะทะลมเผชิญน้ำ หากเป็นขุนนาง หนึ่งได้รับหนึ่งล้มเหลว ไม่อาจสำเร็จได้ ผ่านเรื่องราวมามาก ต่อไปมองคนมองเรื่องราวจึงจะทะลุปรุโปร่ง ประชาชนจะได้มีความสุข”

คนเป็นขุนนาง จะต้องรับคลื่นลมเอาไว้ให้อยู่

เจ้าอาวาสชิงหลานพยักหน้า ดวงตามีแววชื่นชม การกระทำของนางครั้งนี้ได้ฉุดดึงบุคคลสำคัญในอนาคตของแผ่นดินขึ้นมาแล้ว จะไม่เป็นการสร้างความสุขให้ประชาชนชาวเมืองได้อย่างไร

เขาไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เพียงเอ่ยถึงตระกูลซือ เอ่ยว่า “ครั้งที่แล้วตระกูลซือรีบรั้งเจ้าไว้ ข้าคิดว่าพวกเขาคงมีเรื่องร้องขอ ใจเจ้ารู้ดี หากช่วยได้ก็รับไว้ หากช่วยไม่ได้ก็ปฏิเสธไปว่าตนเองอายุยังน้อยวิชาความรู้ไม่ถึง”

“อาจารย์ลุงรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาจะขอคืออะไรหรือเจ้าคะ” ฉินหลิวซีถามกลับ

เจ้าอาวาสชิงหลานพยักหน้า เอ่ย “บรรพบุรุษตระกูลซือสตรีเป็นผู้ปกครองเรือน แต่งลูกเขยเข้าบ้าน ทว่ามีคำสาปร้อยปี หากให้กำเนิดบุตรชายจะตายตั้งแต่เด็ก ให้กำเนิดสตรีมีอายุไม่เกินยี่สิบห้า แม่นางตระกูลซือปีนี้อายุสิบหก ห่างจากขีดกำหนดไม่ถึงเก้าปี เริ่มตามหาแต่งบุตรเขยแล้ว นายท่านตระกูลซือร้อนใจต่อเรื่องนี้นัก คิดว่าอยากให้เจ้าช่วยทำลายคำสาปร้อยปีนี้”

“เป็นคำสาปอันใดหรือเจ้าคะ เนิ่นนานเพียงนี้ ร้อยปีมานี้ไม่มีผู้ใดทำลายได้เลยหรือ”

“คงจะเป็นมนต์ดำ” เจ้าอาวาสชิงหลายส่ายศีรษะ เอ่ยต่อว่า “หลายปีมานี้ตระกูลซือเป็นผู้แสวงบุญของอารามชิงหลาน แม่นางซือก็มีสุขภาพร่างกายไม่ปกตินัก วิญญาณออกจากร่างง่าย เครื่องรางหยกชิ้นนั้นเป็นของขวัญอายุสิบปีที่ข้ามอบให้ ทว่าแตกไปแล้ว ไม่รู้ว่าการที่วิญญาณของนางออกจากร่างเกี่ยวข้องกับคำสาปหรือไม่ ข้าพลิกอ่านบันทึกที่เขียนด้วยตนเองของบรรพบุรุษ ตอนนี้ก็ไม่อาจทำลายคำสาปนี้ได้ และมารดาของนาง อายุเพียงยี่สิบเอ็ดปีก็ถึงแก่กรรม ดังนั้นตอนนี้แม่นางซือเป็นผู้ดูแลครอบครัว”

ฉินหลิวซีคิดในใจ เอ่ยเช่นนี้ สมบัติของตระกูลซือก็อยู่ในกำมือของซือเหลิ่งเย่ว์น่ะสิ

ที่แท้ก็เป็นเศรษฐีนีนี่นา

นางกำลังจะเอ่ย พลันส่งเสียงเอ๋ขึ้นมา รีบเอ่ยต่อว่า “กลางวันไม่เอ่ยถึงคน[3] ไม่แน่ว่านางอาจจะออกจากร่างไปอีกแล้วก็เป็นได้ ท่านไปบ้านตระกูลซือก่อน เดี๋ยวข้าตามไป”

ฉินหลิวซีไม่รอเจ้าอาวาสชิงหลานตอบกลับก็เคลื่อนไหวทันที นางกระโดดลงจากรถม้า หายไปบนถนนอย่างรวดเร็ว

[1] ห้าแขนง หรือเบญจศาสตร์ มีภูเขา (เซียน) การแพทย์ ชีวิต การทำนาย การดู

[2] อย่าได้เห็นเงาธนูในถ้วยน้ำแล้วคิดว่าเป็นเงางู ตรงกับ สำนวนไทยว่า กระต่ายตื่นตูม

[3] กลางวันไม่เอ่ยถึงคน มาจากสำนวนที่ว่า กลางวันไม่เอ่ยถึงคน กลางคืนไม่เอ่ยถึงผี หมายถึง การเอ่ยลับหลังเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี