ตอนที่ 252 ความชั่วร้ายที่บรรพบุรุษตระกูลซือทำ
ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกว่าช่วงนี้ตนเองโชคร้ายอยู่สักหน่อย วิญญาณออกจากร่างก็ช่างเถิด ไยจึงมาตรงจังหวะที่คนอื่นเขาเรียกวิญญาณ ยังเข้ามาอยู่ในร่างคนอื่นอีก ตอนนี้ถูกจับออกมาไม่ได้ไม่ว่า กลับมาถูกอีกฝ่ายทุบตีราวกับมารปีศาจ
ทำอะไรไม่ได้ ซือเหลิ่งเย่ว์จำต้องเรียกชื่อฉินหลิวซีเพื่อขอให้มาช่วย มิเช่นนั้นวิญญาญของนางคงฉีกขาดย่อยยับเป็นแน่
ฉินหลิวซีปีนกำแพงแล้วกระโดดเข้าไปในบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง มองเห็นเด็กหนุ่มหน้าซีดดวงตาบวมช้ำถูกขังอยู่ในค่ายอาคมกำลังกุมศีรษะดิ้นรนทุรนทุราย และนอกค่ายอาคม คู่สามีภรรยาใบหน้าใจดำกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น สองมือพนมขึ้นปากพึมพำบทสวด หญิงวัยกลางคนในชุดสีเขียวแดงผู้หนึ่งกำลังร่ายรำเซ่นไหว้เทพเจ้า
พิธีกรรมที่มีมนต์ขลังเช่นนี้ ฉินหลิวซีปรากฏตัวด้วยวิธีแบบนี้ทำให้ทุกคนในเหตุการณ์นิ่งงันไปชั่วครู่
“เจ้า เจ้าเป็นโจรจากที่ใด” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านดวงตาหรี่เล็กราวกับหนู เขานั่งอยู่บนพื้นมองฉินหลิวซีที่บุกเข้ามาอย่างตกใจ
ฝ่ายหญิงกลับร้องตะโกนเสียงดังเรียกบ่าวมาคุ้มกันเรือน
มีเพียงชายวัยกลางคนที่อยู่ใจกลางค่ายอาคม มองเห็นฉินหลิวซี ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ “อาจารย์ฉิน ท่านมาแล้ว”
“หญิงงามลำบาก เรียกมากะทันหัน ข้าจะต้องมา เพียงแต่ตอนมาเท้ามิได้เหยียบเมฆมงคลหลากสี” ฉินหลิวซีหัวเราะผลักบ่าวรับใช้ที่พุ่งเข้ามา เอ่ย “เจ้านี่ยังไงกัน วิญญาณออกจากร่างมาก็ช่างเถิด ไยจึงมาสิงร่างคนอื่น อีกทั้งนี่ยังเป็นร่างที่เต็มไปด้วยสุราและเมถุน เจ้ายังไม่คิดรำคาญอีก”
‘ซือเหลิ่งเย่ว์’ ใบหน้าจนปัญญา นางเป็นสตรีมาเข้าร่างบุรุษ ทั้งยังเป็นคนเสเพลนางรู้สึกดีได้หรือ
หญิงวัยกลางคนที่อยู่ในชุดพิธีกลับมองฉินหลิวซีด้วยความโกรธ มาเพราะวิญญาณประหลาดนี้อย่างนั้นหรือ
สองสามีภรรยาที่นั่งอยู่บนพื้นสีหน้าพลันเปลี่ยน มองฉินหลิวซีเอ่ยด้วยความโกรธ “เจ้า เจ้าเป็นผู้ใดกัน”
“อ้อ ข้าผ่านมา เพื่อมาพาแม่นางที่หลงทางกลับไปด้วย” ฉินหลิวซีจรดปลายนิ้ว หันไปทางซือเหลิ่งเย่ว์ นางรู้สึกเหมือนมีบางอย่างดันหลังอย่างแรง วิญญาณก็กระเด็นออกมาจากร่างเด็กหนุ่มนั่นแล้ว
นางออกมา ร่างนั้นก็ตัวอ่อนยวบร่วงลงไปบนพื้น ไม่รู้เป็นอย่างไร
“เย่ว์เอ๋อร์” สองสามีภรรยานั้นร้องตกใจเสียงดัง พุ่งเข้ามาประคองชายคนนั้นเอาไว้
วิญญาณของซือเหลิ่งเย่ว์ซวนเซ พยายามยืนให้มั่นคง ไม่รู้เพราะอยู่ในค่ายอาคมนานเกินไปหรือไม่ วิญญาณจึงอ่อนแอลงไปบ้าง
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ พวกเราไปกันเถิด” ฉินหลิวซีหมุนตัวเตรียมออกไป
“ช้าก่อน” ชายที่เป็นเจ้าของบ้านมองไม่เห็นวิญญาณของซือเหลิ่งเย่ว์ แต่พอฉินหลิวซีมา บุตรชายของเขาก็ล้มลง เกรงว่าวิญญาณที่สิงร่างบุตรชายคงออกมาแล้ว
แต่หญิงวัยกลางคนผู้นี้ทำพิธีมาตั้งนาน ไม่อาจเรียกวิญญาณของบุตรชายกลับมาได้ เช่นนั้นอีกฝ่ายจะมีวิธีใช่หรือไม่
ฉินหลิวซีหันกลับมา มองชายที่อยู่ในอ้อมแขนของสตรี เอ่ย “ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว วิญญาณของบุตรชายท่านกลับสู่ปรโลกแล้ว มิได้ออกจากร่างเท่านั้น แต่ได้ตายจากไปแล้ว”
หญิงเจ้าของบ้านใบหน้าซีดเซียว ปากเอ่ยพึมพำ “เจ้า เจ้าเหลวไหล”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ชายเจ้าของบ้านตัวสั่นไหว “บุตรชายของข้าวิญญาณออกจากร่าง”
“ใบหน้าของเขาเขียวคล้ำแล้ว เป็นใบหน้าของคนตาย หมายความว่าชีวิตของเขาได้จบสิ้นแล้ว ต่อให้พวกเจ้าเรียกกลับมาก็เป็นเพียงวิญญาณของผีเท่านั้น” ฉินหลิวซีเอ่ย “ตอนที่พวกท่านเห็นว่าเขาไม่มีสติ ไม่คิดหรือว่าเขาตายไปแล้ว ไยจึงคิดว่าเขาวิญญาณออกจากร่างเล่า”
“ไม่ ไม่มีทาง ลูกของข้า เขา…” ชายเจ้าของบ้านก้าวถอยหลัง มองไปยังหญิงวัยกลางคนผู้นั้น “เจ้าบอกว่าบุตรชายของข้าวิญญาณออกจากร่าง เรียกหาเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
หญิงวัยกลางคนผู้นั้นหลบสายตา ท่าทีอึกอัก
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ หมุนตัวถีบเท้าขึ้น กระโดดข้ามกำแพงออกไป ไม่สนใจเสียงกรีดร้องและเสียงก่นด่าเบื้องหลัง
ซือเหลิ่งเย่ว์ติดตามอยู่ด้านข้างนาง เอ่ย “ท่านมาเร็วมากเจ้าค่ะ”
“บังเอิญน่ะ ข้ากำลังอยู่ระหว่างทางจะไปบ้านเจ้าพอดี อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเจ้าเรียกข้า” ฉินหลิวซีเดินไปเอ่ยไป “เพิ่งไม่กี่วัน ไยเจ้าจึงออกจากร่างอีกแล้วเล่า ไม่ได้เก็บยันต์อยู่เย็นเป็นสุขไว้ข้างกายหรือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “ข้าก็ไม่รู้ เพียงได้ยินมีเสียงคนเรียกข้า ก็ไปถึงที่นั่น”
“หืม”
“คนตระกูลเมื่อครู่แซ่สื่อ เป็นบ้านตระกูลตงแห่งหอตงไห่ที่อยู่ในเมือง เด็กคนนั้นคือบุตรชายเพียงคนเดียวของพวกเขา มีนามว่าสื่อเลิ่งเย่ว์” ซือเหลิ่งเย่ว์เองก็รู้สึกเคราะห์ร้าย เอ่ย “คุณชายสื่อผู้นี้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเสเพล ดื่มสุรา มั่วโลกีย์ เล่นพนัน รังแกคนดีทำตัวกร่างวางอำนาจ ไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่ทำ”
“ตัวอักษรที่ออกเสียงต่างกัน เจ้าช่างโชคร้ายจริงๆ สิงร่างยังไปสิงร่างคนเลวแบบนี้”
“เขาตายไปแล้วจริงๆ หรือ”
“ตายจนไม่อาจตายได้อีกแล้ว” ฉินหลิวซีเอามือไพล่หลังเดินอยู่บนถนนอย่างสบายใจ เอ่ย “วันเวลาของเขาหมดแล้ว หน้าผากและใจเชื่อมโยง ใบหน้าเล็กจมูกต่ำ ริมฝีปากไม่คลุมฟันเป็นดวงจากไปเร็ว”
ซือเหลิ่งเย่ว์เงียบลงไป เนิ่นนานก่อนจะเอ่ย “ข้าก็เป็นเช่นนี้หรือเจ้าคะ”
ฉินหลิวซีมองนางเล็กน้อย เอ่ย “เจ้าอยากฟังความจริงหรือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา น้ำเสียงเย็นดุจน้ำแข็ง “มารดาของข้า อายุยี่สิบเอ็ดก็ไม่อยู่แล้ว บรรพบุรุษคนอื่นๆ ก็ไม่เคยมีใครอายุมากกว่ายี่สิบห้า”
“อาจารย์ลุงชิงหลานเคยบอก ครอบครัวของพวกเจ้าโดนคำสาปหรือ”
ดวงตาของซือเหลิ่งเย่ว์ มีแววประหลาดใจ “ท่านรู้แล้วหรือเจ้าคะ”
“อืม” ฉินหลิวซีมองนาง “ท่านพ่อของเจ้าต้องการให้ข้าช่วยลบล้างคำสาปของครอบครัวเจ้าหรือ”
ดวงตาของซือเหลิ่งเย่ว์มืดมน เอ่ย “หลายปีมานี้ ตระกูลซือนั้นจากมีคนในตระกูลมากมายครึกครื้นจนกระทั่งยามนี้โดดเดี่ยว จนเหลือข้าคนเดียวไม่รู้ว่าคำสาปจะหมดสิ้นเมื่อใด”
“เป็นคำสาปอะไร”
“คำสาปเลือด บรรพบุรุษตระกูลซือ ร้อยปีก่อนเป็นพ่อมดแม่มด บันทึกของตระกูลซือ ร้อยปีก่อนพ่อมดดำรุ่งเรือง ผู้ที่เป็นเทพธิดาของพ่อมดดำในตอนนั้นเรียกว่าฉลาดหลักแหลม กล้าหาญเด็ดเดี่ยวถึงที่สุด หากมีนางเป็นผู้นำพ่อมดดำจะต้องยึดฝั่งพ่อมดขาวได้แน่นอน”
ฉินหลิวซียืนอยู่ตรงหน้าร้านขายขนมหวาน ให้อีกฝ่ายทำน้ำตาลรูปคนให้ตนเอง เอ่ยถามต่อ “จากนั้นเล่า”
“เดิมทีพ่อมดขาวดำนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน เพียงแต่คนเห็นต่างจากธรรมชาติ มีความเชื่อใหม่ๆ เกิดขึ้น จึงได้แยกออกมาเป็นพ่อมดดำ สรรพสิ่งล้วนผ่านการคัดสรรโดยวิถีธรรมชาติ จะเหลือเฉพาะผู้ที่แข็งแกร่งและปรับตัวได้ที่สุดเท่านั้นที่จะอยู่รอด เพื่อความสงบสุขของโลกใบนี้ผู้อาวุโสของพ่อมดขาวจึงไม่อาจไม่สนใจได้”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “พวกเจ้าเริ่มสงครามมนต์คาถาหรือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้มขมขื่น “หากสองฝ่ายต่อสู้กันด้วยมนต์คาถาอย่างเดียว เกรงว่าคงไม่มีคำสาปเลือดเกิดขึ้นกระมัง” นางถอนหายใจ เอ่ยอย่างจนปัญญา “นักบวชสูงสุดของตระกูลในตอนนั้นมีความสัมพันธ์กับฆราวาสให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง บุตรชายผู้นี้เกิดมาหล่อเหลาราวกับเทพสวรรค์ เลี้ยงเอาไว้นอกเผ่าไม่ให้ผู้คนรับรู้ เขาเองก็เป็นพ่อมดที่ฉลาดอย่างหาได้ยากเช่นกัน”
พ่อมดผู้หล่อเหลาราวกับเทพสวรรค์และเทพธิดาของฝั่งพ่อมดดำ ฉินหลิวซีคล้ายคาดเดาได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและจุดจบ ที่ทำให้เกิดเรื่องน่าอนาถแบบนั้น
“คงไม่ใช่เพราะตระกูลของพวกเจ้าส่งพ่อมดผู้นั้นไปเป็นสายลับ จากนั้นตลบหลังเทพธิดาของพ่อมดดำ แม้จะได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ แต่นางก็อาศัยแรงเฮือกสุดท้ายสาปคำสาปเลือดกับพวกเจ้าใช่หรือไม่”
ซือเหลิ่งเย่ว์ “…”
ฉินหลิวซีมีสีหน้ารังเกียจ “นี่เพราะพวกเจ้าไม่มีเมตตา มิน่านางถึงได้สาปคำสาปเลือดกับตระกูลของพวกเจ้า”
“ก็เพื่อความสงบสุขของโลก”
“ดังนั้นตระกูลของเจ้าจึงเสียสละมากว่าร้อยปี กระทั่งเหลือเจ้าเพียงคนเดียว” ฉินหลิวซีเอ่ย “เพื่อความสงบสุขของโลก คุ้มค่าหรือ โลกสงบสุขให้อะไรกับพวกเจ้ากัน หรือเอ่ยอีกอย่างได้ว่า บรรพบุรุษตระกูลซือได้ทำเรื่องชั่วร้ายลงไปเพื่อรักษาอำนาจของพ่อมดขาวใช่หรือไม่”
สีหน้าของซือเหลิ่งเย่ว์ค่อยๆ เปลี่ยนไป