หากเป็นราชันจักรพรรดิ แม้ต่อให้ตายไปแล้ว แต่เพียงเส้นขนของมันยังสำคัญราวไท่ซาน ไม่มีใครกล้ามองข้าม

ฉินจิ่วเกอมุมปากวาดรอยยิ้มเย็น “งั้นก็คอยดูเถอะ ข้าสังหรณ์ว่านี่จะต้องเป็นสุสานของมหาจักรพรรดิไม่ผิดแน่”

พูดไปนั่น ก็ในเมื่อพรรคโลหิตนภาวางแผนส่งคนพวกนี้เข้าไปตายมาแต่แรก

หากไม่เอาของชั้นเลิศมา จะสามารถล่อลวงดวงธาตุทองคำที่บรรลุขั้นสูงสุดยอดเหล่านั้นได้อย่างไร

ครืนนนนนนนน!

เพียงเพิ่งกล่าวจบคำ หลุมดำก็ปรากฏประกายสายฟ้าสีดำแลบแปลบปลาบดังสนั่น ถ่ายทอดเสียงคล้ายคลื่นยักษ์พัดม้วนเกลื่อนกล่นทะลักทลาย

ผู้คนนับร้อยๆ ล่าถอยอย่างรวดเร็ว พลาอำนาจของมหาจักรพรรดิกวาดกราดไปรอบด้าน

ด้วยพลังอันสูงส่งนี้ แม้จะเป็นแค่ยองใย แต่ก็มีคนไม่น้อยที่ต้องคุกเข่าหมอบราบไปกับพื้น ไม่อาจเงยศีรษะขึ้นได้

นอกจากยอดยุทธ์อาวุโสเหล่านั้นแล้ว มีเพียงอัจฉริยะรุ่นเยาว์อย่างเจี๋ยชางที่ยังรักษาความผยองเอาไว้ได้ แต่เขาทั้งสองก็ยังสั่นเทิ้มอยู่ดี

ขอบเขตจักรพรรดิราชัน กวาดม้วนทั้งดินฟ้า กดข่มสี่ทะเล เชื่อมประสานจักรวาล

มหาจักรพรรดิแห่งบรรพกาล เท้าเหยียบย่ำบูชาบัญชาสุญตา โบยเฆี่ยนฟ้าดิน บดขยี้ทำลายล้างห้วงความเวิ้งว้าง เหินทะยานสู่ไท่จี๋ไขว่คว้าต้าหลัวจินเซียน

ความเป็นเทพยดาขอบเขตขั้นนั้น พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน จึงเป็นหมุดหมายแห่งสหัสวรรษที่แท้จริง

“ข้า ไม่ยินยอม เสพอมตะ!”

หกคำเปล่งออกมา ผู้คนล้วนไม่อาจเอ่ยปาก พลานุภาพฟ้าทะลักโถมท่วมทับกลบสุริยัน ครอบคลุมลงใส่ตลอดทั่วทั้งเมืองเทียนเอิน รบกวนความสงบแห่งทะเลตะวันออก

ณ ที่นั่น ต่อให้เป็นเก้าดวงธาตุสูงสุด เมื่อได้ยินสำเนียงไพศาลไร้ขอบเขตไร้เทียบเทียมนี้ ในใจต้องบังเกิดความลังเลหนักหน่วงทะลักพุ่ง

คล้ายกับว่า หากเสียงนี้เพียงเปล่งออกดังกว่านี้สักนิด อาจสามารถบดทำลายแกนวิญญาณของผู้คนจนแหลกสลายได้เลย

“เป็นมหาจักรพรรดิ!”

ท่ามกลางสมาพันธ์อู่ซิ่งมีคนตะโกนออกมา คารวะกราบกรานลงสู่พื้น

พลังอำนาจแห่งขอบเขตสุญตา ที่จริงเป็นขอบเขตขั้นที่แทบไม่อาจจินตนาการได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าหากเป็นถึงขั้นมหาจักรพรรดิ เกรงว่าต่อให้มารปีศาจปฐมกาลหรือบรรพกาลยังคงอยู่ มันสมควรเป็นหนึ่งในผู้เข้มแข็งสูงสุดไม่กี่คนในยุคนั้น

“ไม่ทราบที่แท้เป็นมหาจักรพรรดิองค์ใด?”

ทางด้านล่าง ผู้คนกว่าครึ่งทรุดลงคุกเข่า ในใจลอบครุ่นคิด

ผู้ที่มิได้คุกเข่าลง ทั้งยังต้านทานรับพลานุภาพแห่งสุญตาไว้ พลังอำนาจที่ราวกับเทพยดาไพศาลนั้นสามารถขยี้จิตใจที่มีความขลังจนเป็นผุยผง

ฉินจิ่วเกอหลั่งเหงื่อชโลมร่าง ลมหายใจหนักหน่วง

ด้านข้าง จวงฟานต้านทานไม่อยู่แล้ว ผิวหนังถูกพลังมหาศาลกดดันจนปริแยก สุดท้ายต้องกระแทกเข่าลงสู่พื้นจนบังเกิดหลุมลึกขึ้นสองข้าง

ชนชั้นดวงธาตุทองคำอันเข้มแข็งแกร่งกร้าว เบื้องหน้าของขอบเขตสุญญตา เพียงมีคุณสมบัติก้มศีรษะเท่านั้น

อันหยางกุมกระชับทวนทองในมือไว้แน่นหนา ลำทวนแอ่นโค้ง แม้แต่วิญญาณแห่งศาสตราศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เพียงพอต้านรับประกายที่หลงเหลือไว้จากการละสังขารเมื่อหมื่นปีก่อนได้

“ไอพลังนี้ เหตุใดคุ้นเคยยิ่ง คล้ายเป็นคนจากเผ่าอสูรเรา?”

จอมทรราชแห่งพรรคทรราชกล่าวหารือกับอาวุโสประจำสำนัก

พวกมันล้วนเป็นเก้าดวงธาตุสูงสุด สำหรับพลังมรดกสืบทอดของสัตว์อสูร พวกมันย่อมคุ้นเคยยิ่งกว่าผู้ใด

“ข้า ข้าถึงกับคล้ายสัมผัสได้ว่าปฐมบรรพชนกำลังกวักมือเรียกหา ข้างในนั่นเอง” เป็นอาวุโสสูงสุดที่ตื่นเต้นตื้นตันเต็มพิกัด สะกดจิตใจลงอย่างยากลำบาก

หรือว่า มหาจักรพรรดิที่ร่วงหล่นนี้ จะเป็นบรรพชนเผ่าอสูร?

แคร่กก!

พันธนาการแห่งโลกหล้าทั้งมวลถูกสะบั้น หลุมดำพลันระเบิดประกายแสงสว่างจ้า ล้านล้านประกายแสงสาดส่องออกมาในพริบตา

เส้นสายเรืองรองวับไหวราวสายโลหิต ค่อยๆ รวมตัวที่กางอากาศจนสามารถมองเห็นได้จากที่ไกล

มหาจักรพรรดิทะเลมรณะ!

คำเรียกขานอันยิ่งใหญ่ แผ่ขยายจนสุดขอบเขตแห่งฟ้าดิน ปรากฏออกมาที่เบื้องหน้าสายตาของทุกผู้คน

ดวงเนตรที่อัดแน่นไปด้วยพลังสวรรค์ ยังไม่พอใช้มองดูตัวอักษรนี้ได้แม้ครึ่งอักขระ ต้องรอให้ผ่านไปเนิ่นนาน จึงสามารถมองออกว่าเป็นอักษรพู่กันอันลบเลือนเลื่อนไหลนับแต่บรรพกาล

ฉินจิ่วเกอมีความฉงนใจบังเกิดขึ้น สุ้มเสียงของสุสานหลังนี้ ไฉนจึงรู้สึกเหมือนจริงจนเกินไป เก่าคร่าโบร่ำโบราณจนเกินไปเล่า

กระทั่งสามารถกล่าวว่า การคงอยู่ของสุสานสุญตานี้ พรรคโลหิตนภาเพียงควบคุมบงการไว้ได้แค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น

“มหาจักรพรรดิทะเลมรณะ!”

จอมทรราชไม่ต้านทานพลานุภาพแห่งมหาจักรพรรดิอีกต่อไป หากกลับก้มศีรษะหลุบนัยน์ตา กระทำการคารวะร่วมกับอาวุโสสูงสุดทั้งหลาย

ทวีปฉงหลิงนี้ นอกจากสี่ทะเลเหนือใต้ออกตก ลึกเข้าไปในเผ่าอสูร มีตำนานว่าไว้ว่ายังมีสถานไพศาลหม่นมัวไร้ขอบเขตผืนหนึ่ง

มหาสมุทรมีสีสันอันมืดมิด ไอมรณะหนักหน่วงข้นคลั่ก ต่อติดเชื่อมกับสุดขอบมหาเก้าอเวจี นั่นคือสถานที่ที่เรียกว่าทะเลมรณะ

นั่นเป็นผืนสมุทรที่โดดเดี่ยวตัดขาดจากสี่ทะเล ว่ากันว่าเป็นที่ไหลมาของแม่น้ำมรณะจากเก้านรกภูมิ ก่อนจะไหลรวมกับแผ่นดินใหญ่กลายเป็นบึงจ่อมจมผืนหนึ่ง

“เป็นปฐมบรรพชน!”

ณ ที่นั่น คือสถานที่กำเนิดสายเลือดแห่งเผ่าพันธุ์อสูร เป็นสถานที่แห่งความทรงจำดั้งเดิมที่สุดที่ถูกปลูกฝังในสายเลือด

นั่นเป็นการเชื่อมโยงทางสายโลหิตแขนงหนึ่ง เป็นการส่งต่ออัคคีแห่งชีวิต แม้แต่หลงเฟิงยามนี้ยังได้รับผลกระทบ สองตาของมันกลายเป็นแดงก่ำ คนคุกเข่าลงกับพื้นโดยอัตโนมัติ

มหาจักรพรรดิทะเลมรณะ คือมหาจักรพรรดิองค์แรกแห่งเผ่าอสูรหลังยุคไท่หวง ขอบเขตสุญญตาที่กดข่มเผ่ามนุษย์มาร รวบรวมเผ่าอสูรเป็นหนึ่งเดียว

สามเผ่าแบ่งแยกบนทวีปฉงหลิง นับพื้นที่ของเผ่าอสูรกว้างไพศาลที่สุด รองลงมาคือเผ่ามาร น้อยสุดคือเผ่ามนุษย์

และภูมิศาสตร์บนแผนที่ของเผ่าอสูรที่กว้างขวางที่สุด ได้มาจากมหาจักรพรรดิทะเลมรณะหลังจากผ่านการหยั่งรู้ทะเลมรณะ ตีรวบมาให้ทั้งสิ้น

คนผู้นี้ ก็คือดวงใจของเผ่าอสูร เทียบได้กับบรรพชนวิญญาณ!

“ที่แท้เป็นสุสานของมหาจักรพรรดิทะเลมรณะ เป็นของปฐมบรรพชน! มรดกตกทอดภายในย่อมต้องเป็นของพวกเรา ต้องเป็นของเรา!”

จอมทรราชและผู้ติดตามยามนี้เบิกตาโปนโตแทบฉีกขาด

ไม่ว่าขอบเขตขั้นไหน ล้วนไม่อาจต้านทานกระแสความเสื่อมโทรมแห่งกาลเวลา กฎสรรพสิ่ง หรือสุญญตาล้วนเป็นเช่นเดียวกัน

พร้อมกับที่เวลาแห่งการกำเนิดโลกยืดขยาย อานุภาพจักรพรรดิที่คงอยู่เลือนสลายไปในฟ้าดิน ที่หลงเหลือแก่ผู้คน คือความน่าหวาดเกรงและกระโปรงเปียกแฉะเท่านั้น

“ไม่อาจให้พวกมันได้สมปรารถนา”

ประมุขเขาพิรุณเซียนถ่ายทอดเสียงแก่พรรคเดชมาร สองคนลอบสื่อสาร

ประมุขพรรคเดชมารและอาวุโสสูงสุดหารือกัน “ต้องคิดหาวิธีการหยุดยั้งมิให้มันได้มรดก หากเวลาสำคัญมาถึง สามารถทำลายมรดกทิ้ง อย่างไรก็ไม่อาจให้พวกมันได้ไปโดยเด็ดขาด”

เมื่อมิใช่ของเผ่าเรา แน่นอนว่าความคิดย่อมเปลี่ยนแปลง

ล้วนเป็นเผ่ามนุษย์เช่นกัน สองเผ่ามนุษย์มาร แน่นอนว่าย่อมไม่ต้องการเห็นเผ่าอสูรรุ่งเรือง

หากสามารถได้รับมรดกของมหาจักรพรรดิเผ่าอสูร มิใช่กลายเป็นว่าแผ่นดินอันสงบสันติมานานนับหมื่นปีจะพลันปรากฏมหาจักรพรรดิขึ้นมาอีกคนหรอกหรือ?

หรือต่อให้เป็นแค่ราชัน ก็เพียงพอให้เผ่าสัตว์อสูรเติบโตทะยานจนเกินไปแล้ว เขาพิรุณเซียนและค่ายพรรคเดชมารแน่นอนว่าย่อมไม่อาจทนมองดูได้

กลิ่นอายดินปืนเข้มข้นแผ่ออกมาภายนอกสุสานโดยไร้รูป กำลังจะเกิดการต่อสู้แล้ว

ในสนามรบ พลังฝีมืออาจมีบ้างที่ต่ำต้อย ทว่าไอคิวย่อมไม่มีใครโง่เขลา

มองดูสภาพของสามเผ่าที่ต่างจ้องทำลายกันและกัน เบิกตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำถลึงตามองอีกฝ่าย น่ากลัวไม่น้อย

ไป๋หลี่ชิงเฉินผุดยิ้มอันเบิกบานราวบุปผาสยายกลีบ นำหน้าทุกผู้คนเข้าไป

ยามนั้น ท่ามกลางฝูงชนมีคนส่งเสียง “พวกเราไม่อาจเข้าไป สุสานนี้มีปัญหา”

“ข้าก็ว่างั้น!”

“ข้าเองก็เหมือนกัน สถานที่นี้แน่นอนว่ามีผีสาง”

“ผู้ศักดิ์สิทธิ์กล่าวได้ถูกต้อง มารดามันเถอะ เราผู้เฒ่ายังไงก็ไม่เข้าเด็ดขาด ใครเข้าก็โง่แล้ว”

ชั่วขณะหนึ่ง ทั่วทั้งทะเลอุดรฟ้าทักษิณ ฝูงชนต่างไม่ทราบในปากเป็นรสชาติเยี่ยงไร สำเนียงบาดจิตกลับดังขึ้นในหัวใจของทุกคน

รอยยิ้มของไป๋หลี่ชิงเฉิงแข็งค้าง ไม่ทราบว่าผู้เอ่ยวาจาที่แท้เป็นใคร

ที่แท้เป็นผู้ใดที่เข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ หากมันโผล่ออกมาเมื่อใด ย่อมต้องให้มันได้ลิ้มรสหนอนแมลงชอนไชหัวใจ ให้มันได้ทรมารจนไม่ผีไม่คนจึงจะสมควร

“ข้าขอคล้อยตามข้อเสนอของพี่อันหยางแล้วกัน”

ฉินจิ่วเกอนั่งลงกลางผู้คน สั่นศีรษะลูบจมูกเอ่ยวาจา

อันหยางมึนงง ข้าพูดอะไรไปล่ะเนี่ย เบื้องบนเวทีหยก นัยน์ตางามราวนางเซียนของไป๋หลี่ชิงเฉิงปรากฏระลอกไหวราวสายน้ำกำลังเพ่งความสนใจมาที่ตนเอง ช่างชวนหลงใหลยิ่ง

จากนั้น จอมทรราชและพรรคพวกแล่นถลาออกมา เตะส่งคนที่ขวางทางไว้ออกไป

“เด็กน้อย เจ้าว่าอะไร?” เมื่อสัมผัสได้ว่าเขาพิรุณเซียนและพรรคเดชมารกำลังจะร่วมมือกัน จอมทรราชและพรรคพวกไม่อาจไม่ร้อนใจ

มนุษย์ ช่างต่ำช้า!

“นี่เป็นสุสานของปฐมบรรพชนเผ่าอสูรเรา หวังว่าพวกเจ้าทั้งหลายจงออกห่างเข้าไว้ อย่าได้คิดว่าเป็นหุบเขาเพลิงราชันแล้วจะสามารถอาละวาดในเจตอสูรเรา เจ้ายังห่างไกลนัก!”

“ผายลมสุนัข!” เบื้องหลังอันหยาง บังเกิดเสียงประท้วงขึ้นจมูกดังขึ้นอีก

อันหยางกระชับทวนยาว ยืนหยัดเที่ยงตรง มืออีกข้างเท้าสะเอว “คำพูดเมื่อครู่แม้มิใช่ข้ากล่าว ทว่า ข้าดูแล้วสุสานนี้ยังไงยังไงก็มีปัญหา ทุกท่านอย่าได้เข้าไป”

“คุณชายอันหยาง วีรบุรุษทุกท่านรอคอยเข้าไปเพื่อช่วงชิงพบพานวาสนาในชีวิต ท่านเป็นศิษย์ของพรรคใหญ่ แน่นอนว่าอาจไม่ทราบว่าการพลิกชะตานี้หมายถึงอันใด ยังคงเชิญท่านถอยไปเถอะ ทั้งหมดจะได้ไม่เสียเวลา หากประตูทางเข้าสุสานเกิดปิดลงไป คิดเข้าไปอีกก็ลำบากแล้ว”

ไป๋หลี่ชิงเฉิงเอ่ยวาจาไม่กี่ประโยค พริบตาก็สร้างความวุ่นวายขึ้นในหมู่ผู้คน

สุสานมหาจักรพรรดิ คิดหาเงินทองมีเงินทอง หาวาสนามีวาสนา ยามนี้เจ้าเด็กน้อยกลับมาขวางทางเข้า ยังมิใช่กระตุ้นโทสะส่วนรวมอีกหรือ

“แม่นางไป๋หลี่กล่าวมีเหตุผล ใครไม่เกี่ยวก็ไสหัวไป!”

มรดกแห่งมหาจักรพรรดิเผ่าอสูร สี่พี่น้องตระกูลเถี่ยเองต้องลูบหมัดด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ แทบอดใจวิ่งเข้าไปไม่ไหว เพียงแต่เกรงว่าจะมีคนต่ำช้าลอบลงมือเท่านั้น

อันหยางเป็นศิษย์เอกของศิษย์สายตรงหุบเขาเพลิงราชัน มีอันใดไม่เคยพบเจอมาบ้าง คนไร้ความหวาดหวั่น ใบหน้านิ่งเรียบราวผิวน้ำ

“ทุกท่าน อันหยางไร้ความคิดสร้างความลำบากแก่พวกท่าน เพียงแต่หลายปีมานี้ พรรคโลหิตนภาวางแผนฆ่าล้างผู้ฝึกตนเรามากหลาย มีผู้ตกตายร่วงหล่นจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว อันหยางก่อนออกเดินทาง ได้รับยันต์ล่าปีศาจมาจากสมาคมนักจัดวางค่ายกล สามารถใช้เสาะหาร่องรอยผู้ฝึกวิชาปีศาจ ไม่สู้ให้ข้าใช้มันออกมาในสุสานนี้”

ไป๋หลี่ชิงเฉินเหินร่างลงมาจากเวที ชายกระโปรงแดงพลิ้วสะบัดบนพื้น ส่งผลให้ผู้คลั่งไคล้ทั้งหลายต้องรั้งชายเสื้อไว้ทันที

“คุณชายอันหยางกล่าวมีเหตุผล ทว่าหากยันต์หยกที่ท่านว่าไม่ทราบผ่านกรรมวิธีลี้ลับใด สามารถผนึกปากทางเข้าของสุสานไว้ เช่นนั้นหากรอให้ท่านสำแดงวัตถุออกมา พวกเราในที่นี้ทั้งหมดมิใช่ล้วนลงเสียแรงเปล่า จะให้ทั้งหมดวางใจได้อย่างไร?”

ไป๋หลี่ชิงเฉิงขบฟันสีเงินยวง ใช้วาทศิลป์โน้มน้าว สุ้มเสียงอ่อนหวานนุ่มละมุนเหนี่ยวนำความละโมบในใจผู้คน

ใช่แล้ว หากเจ้าเด็กนี่เกิดลงไม้ลงมืออันใดตรงปากทางเข้า ตนเองมิใช่ต้องชวดหรือ ไม่แน่ว่าอาจไม่ได้อะไรกลับไปเลยด้วยซ้ำ

“แม่นางไป๋หลี่กล่าวถูกต้อง ผู้เยาว์เผ่ามนุษย์เร่งถอยออกมา นี่เป็นสมบัติของบรรพชนเผ่าอสูร ไม่ถึงรอบพวกเจ้ามากังวลสนใจ ส่วนพรรคโลหิตนภาอะไรนั่น หากมันกล้าออกมา เราจะให้พวกมันได้ลิ้มรสฝีมือ”

อาวุโสสูงสุดภายในพรรคทรราชออกปาก ส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวม

ฉินจิ่วเกอเสมอง แค่นเสียงเฮอะฮะสองสามคำ

ตาแก่พวกนี้ แค่ร่างจำแลงของจ้วนหลุนหวังก็เป่าพวกมันตายหมดแล้ว ยังมาคุยโวว่าจะล้างพรรคโลหิตนภาอันใด

“พี่อันหยาง อาวุโสหุบเขาเพลิงราชันท่านอยู่ไม่ไกลจากนี่กระมัง?” ฉินจิ่วเกอถ่ายทอดเสียงต่ออันหยาง นี่เป็นวิธีการสื่อสารที่เพียงสามารถกระทำสำเร็จได้หลังการควบกลั่นหลิงไถเท่านั้น

“เมืองเทียนเอินตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว สี่พรรคใหญ่ไม่อาจสอดมือ ครั้งนี้ข้าเองมาคนเดียว ไม่มีใครมาด้วย”

อันหยางไม่อาจเบิกตามองดูคนเหล่านี้ตกตายต่อหน้า มันถือคุณธรรมนำหน้ายิ่ง

หากอาศัยยันต์ล่าปีศาจของสมาคมนักจัดวางค่ายกล อันหยางมั่นใจว่าสามารถแยกแยะ มันคาดว่าภายในสุสานมีกลิ่นอายของผู้ฝึกวิชาปีศาจอยู่

ไป๋หลี่ชิงเฉิงเองก็ลอบจดจำในใจ หากใบหน้าชมพูลูกท้อยังคงรักษาความเรียบนิ่งไว้

ฉินจิ่วเกอถ่ายทอดเสียงอีกครา “ยังจะยุ่งวุ่นวายทำไม ปล่อยพวกมันเข้าไปหาที่ตายก็พอแล้ว”

“ช้าก่อน”

อันหยางขมวดมุ่นหัวคิ้วเข้ม “ยามข้าเข้าสู่เมืองเทียนเอิน เคยพบอาวุโสเข้มแข็งท่านหนึ่ง อาวุโสท่านนั้นมอบยันต์หยกแก่ข้า กล่าวว่าเมืองเทียนเอินไม่สงบสุข หากพบพานผู้ฝึกวิชาปีศาจขัดขวาง สามารถหักยันต์หยกเพื่อขอความช่วยเหลือจากมันได้”

“งั้นเจ้ายังรอทำอะไร เอาออกมาหักซะสิ”

“อา”

อันหยางเป็นคนสัตย์ซื่อยิ่ง เป็นสุภาพบุรุษในห้องมืด* (สุภาพบุรุษที่แท้จริง แม้ในห้องมืดที่ไม่มีใครเห็นก็ยังคงรักษาความดี) ดังนั้นท่ามกลางวงล้อมสามชั้นล้อมสามชั้นของบรรดาผู้ฝึกตน นำเอายันต์หยกจากแหวนมิติออกมาหักสะบั้น

“แคร่ก!”

ฉินจิ่วเกอไอแค่กแค่กอย่างแรง คนแทบตัวปลิวเหินขึ้นสวรรค์ตะวันตกไป