ฮ่องเต้ทิ้งฎีกาเหล่านั้นไว้กลางทางทั้งไม่เอ่ยถึงและไม่ให้คำตอบ
ชิ่งอวิ๋นโหวเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง
บางเรื่องไม่อาจปล่อยให้ถูกละลาบละล้วงเกินขอบเขต หาไม่ตระกูลปั๋วของพวกเขาคงได้กลายเป็นที่ขบขันแน่!
บรรยากาศในห้องหนังสือของชิ่งอวิ๋นโหวคุกรุ่น เหล่าผู้ช่วยเดินเข้าเดินออก สีหน้าของแต่ละคนต่างหนักอึ้ง
คุณหนูหกปั๋วมองแล้วอดถามปั๋วหมิงเย่ว์ไม่ได้ว่า “บ้านพวกเรากับจวนเจิ้นกั๋วกงจะมีเรื่องพิพาทกันหรือไม่”
ถ้าฮ่องเต้แต่งตั้งองค์ชายใหญ่ เจิ้นกั๋วกงย่อมยืนฝั่งเดียวกับฮ่องเต้ เช่นนั้นระหว่างนางกับเฉินลั่วคงเป็นไปไม่ได้ตลอดกาลแล้ว
ปั๋วหมิงเย่ว์รู้สึกว่าน้องสาวของตัวเองผู้นี้ช่างโง่เขลา เวลาเช่นนี้นางยังคิดเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงได้อีก
เขามองคุณหนูหกปั๋วครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เมื่อกลับถึงเรือนของตัวเองกลับพบเสี่ยวซื่อบ่าวชายคนสนิทกำลังยืนชะเง้อมองอยู่หน้าประตูเรือนด้วยท่าทางใจจดใจจ่อ พอเห็นปั๋วหมิงเย่ว์เขาก็รีบวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “คุณชาย มีคนส่งกระดาษส่งสารมาให้ข้า บอกให้ข้าส่งให้ถึงมือท่านด้วยตัวเอง”
ช่วงนี้ปั๋วหมิงเย่ว์ได้รับกระดาษส่งสารเช่นนี้มาไม่น้อย บ้างก็สอบถามเขาอย่างเป็นห่วงว่าองค์ชายรองเป็นเช่นไรบ้าง บ้างก็ถามเขาว่าบิดาของเขาเป็นอย่างไรบ้าง ปั๋วหมิงเย่ว์รู้สึกรำคาญเกินจะทานทนแล้ว แต่เขาก็กลัวว่าจะพลาดอะไรไป จึงขานรับ “อืม” เสียงหนึ่งเบาๆ เดินไปห้องหนังสือพร้อมกับเสี่ยวซื่อ
คิดไม่ถึงว่าคนที่ส่งสารมาให้เขาคือเฉินลั่ว บอกให้เขาหาวิธีจับตาดูองค์ชายเจ็ดเอาไว้ หากมีอะไรผิดปกติก็แจ้งให้เขาทราบด้วย
ปั๋วหมิงเย่ว์มองกระดาษดังกล่าวแล้วตกใจสะดุ้งตัวโหยง รีบจุดตะเกียงเผาให้กลายเป็นผงขี้เถ้า
เสี่ยวซื่อลังเลอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง
คนภายนอกต่างลือกันว่าเฉินลั่วกับปั๋วหมิงเย่ว์ไม่ถูกกัน แต่ความจริงแล้วเฉินลั่วกับปั๋วหมิงเย่ว์มิได้มีปัญหาอะไรกันเลย เพียงแต่ว่านิสัยและความชอบของทั้งสองคนแตกต่างกัน ทั้งยังเป็นคนโปรดของสวรรค์เหมือนกัน ในเมื่อเข้ากันไม่ได้ต่างก็ไม่ฝืนก็เท่านั้น แต่คนภายนอกกลับชอบเอาพวกเขาสองคนมาเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ
บัดนี้สถานการณ์ของเฉินลั่วไม่ค่อยดีนัก เสี่ยวซื่อเองก็ทราบดี
เขาหยิบขี้เถ้ากระดาษมาอย่างเงียบเชียบใช้น้ำชาผสมจนกลายเป็นของเหลว
ปั๋วหมิงเย่ว์มองของเหลวในถ้วยชาใบนั้นเงียบๆ กว่าครู่ใหญ่ จากนั้นจู่ๆ ก็เอ่ยถามเสี่ยวซื่อว่า “เจ้าว่า ข้าควรร่วมมือกับเฉินลั่วหรือไม่”
แม้นไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่เสี่ยวซื่อคิดว่า ณ ตอนนี้การที่จวนชิ่งอวิ๋นโหวมีสหายเพิ่มขึ้นสักคนหนึ่งย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่ม
“คุณชายปราดเปรื่องเพียงนั้น ข้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอยู่แล้วขอรับ” เสี่ยวซื่อกล่าวอย่างตรึกตรอง “แต่ข้ารู้สึกว่าคุณชายรองตระกูลเฉินเป็นคนไม่เลวเลย น่าเชื่อถือกว่าคุณชายใหญ่ตระกูลเฉินมากนัก นอกจากนี้ยังมีจ่างกงจู่อยู่ด้วย หากคุณชายช่วยเหลือได้ มิสู้ลองช่วยสักครั้งหนึ่ง”
ปั๋วหมิงเย่ว์พยักหน้า ทอดกายนั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขน มองฝ้าเพดานที่วาดลายดอกไม้ใบหญ้าสีฟ้าอมเขียวพลางทอดถอนใจกล่าวว่า “มีหยกงามแล้วไยต้องมีรัศมีมากลบด้วย? ล้วนเป็นพ่อข้าที่ผิดต่อข้า ให้กำเนิดข้าออกมามีวัยไล่เลี่ยกับเฉินลั่ว หาไม่แล้ว พวกข้าอาจกลายเป็นสหายสนิทกันก็เป็นได้!”
ขุนนางบู๊บุ๋นทั่วทั้งราชสำนักนี้ เหตุใดถึงมีเพียงเขากับเฉินลั่วเท่านั้นที่รู้สึกว่าฮ่องเต้ใส่พระทัยองค์ชายเจ็ดมากเป็นพิเศษ?
น่าเสียดายที่บิดาของเขายังเอาแต่คิดว่าควรประจบประแจงองค์ชายคนอื่นๆ อย่างไรดี อยากทำให้ฮ่องเต้รู้สึกว่าต่อให้องค์ชายรองได้สืบทอดบัลลังก์ เขาก็จะยังดูแลเชษฐาและอนุชาคนอื่นๆ ของเขาเป็นอย่างดี
เมื่อเทียบบิดาของเขากับท่านปู่ของเขาแล้วช่างห่างไกลกันลิบลับ!
ปั๋วหมิงเย่ว์ถอนหายใจอีกครั้ง รู้สึกว่าตัวเองช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน
เสี่ยวซื่อชินกับการ ‘พูดจาแปลกประหลาด’ ของปั๋วหมิงเย่ว์แล้ว จึงทำเสมือนไม่ได้ยิน ปั๋วหมิงเย่ว์กลับไม่ปล่อยเสี่ยวซื่อไป กล่าวว่า “ที่ตลาดน่าจะมีองุ่นของซีอวี้ขายแล้วกระมัง เจ้าไปซื้อกลับมาสักหน่อยแล้วส่งไปให้คุณหนูต่างสกุลของจวนหย่งเฉิงโหว บอกว่าคุณหนูหกเป็นคนส่งไปให้”
แม้นจะกล่าวเช่นนี้ แต่เขาก็มิใช่คนทำอะไรแล้วไม่ทิ้งชื่อเสียงเรียงนามเอาไว้ กล่าวย้ำกำชับต่อว่า “อย่าลืมเอานามบัตรภาพใบนั้นใส่ไปกับองุ่นด้วย”
สักวันต้องทำให้นางรู้ว่าเขาเป็นคนส่งของเหล่านี้ไปให้
เสี่ยวซื่อพยักหน้าหงึกๆ รู้สึกว่าคุณชายของพวกเขาก็เขลามากเช่นกัน ถึงแม้การเปลี่ยนใจไปมาอาจมิใช่บุรุษที่ดีนัก แต่เรื่องบุพเพสันนิวาสประเภทนี้ ยังต้องการหน้าตาอะไรอีก ควรไปขอความช่วยเหลือจากฮูหยินผู้เฒ่าโดยตรงดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นที่จวนกำลังประสบกับปัญหาอยู่มิใช่หรือ จะได้ถือโอกาสดูความสามารถของคุณหนูหวังท่านนี้ด้วยพอดี
แต่น่าเสียดายที่คุณชายของพวกเขานั้นเฉลียวฉลาดกับเรื่องใหญ่ ส่วนเรื่องเล็กๆ กลับไม่เฉลียว วันๆ หมดเวลาไปกับการทำเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้
หลังจากที่หวังซีได้รับองุ่นแล้วก็สังเกตเห็นว่าในตะกร้าองุ่นมีนามบัตรภาพลูกแมวอยู่ด้วย คราวก่อนเป็นภาพลูกแมวยืดตัวอย่างเกียจคร้าน ครานี้เป็นภาพลูกแมวกำลังร้องขออาหาร วาดได้เสมือนจริงยิ่งนัก
นางถือเอาไว้ชื่นชมกว่าครึ่งค่อนวัน จากนั้นให้ไป๋กั่วนำไปเก็บไว้ในกล่อง
ในนั้นมีนามบัตรรูปภาพเช่นนี้อยู่เจ็ดถึงแปดใบแล้ว
หวังซีคิดไม่ถึงว่าคุณหนูหกปั๋วจะมีความคิดเจ้าเล่ห์เช่นนี้ด้วย โชคดีที่ของที่คุณหนูหกปั๋วส่งมาให้ล้วนเป็นของกินหรือไม่ก็ของเล่นที่ราคาไม่สูง ต่อไปจะได้ตอบแทนกันได้ไม่ยากนัก จึงรับเอาไว้
เพียงแต่ว่าพอเป็นเช่นนี้แล้ว ทำให้นางไม่อาจต่อต้านคุณหนูปั๋วมากเกินไป
ส่วนเรื่องที่คุณหนูหกปั๋วตอบจดหมายของนางกลับมาบอกว่านางเป็นสตรีในห้องหอ ไม่อาจสนใจเรื่องเหล่านี้ได้นั้น ตนจะถือว่าไม่ได้ยินก็แล้วกัน!
องุ่นที่ตระกูลปั๋วส่งมาให้รสชาติดีมากจริงๆ นางแบ่งองุ่นออกเป็นหลายส่วน ส่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่า โหวฮูหยินและคนอื่นๆ รวมถึงคุณหนูพานก็ได้ด้วยเช่นกัน
ชิงโฉวกลับวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก กระซิบกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ จอมยุทธ์พเนจรที่ท่านหาให้ใต้เท้าเฉินนั้นหาได้หรือยังเจ้าคะ หมี่เหนียงจื่อบอกข้าว่า เฉินอิงเขียนจดหมายไปให้กูไหน่ไนใหญ่ตระกูลเฉิน ต้องการให้กูไหน่ไนใหญ่ตระกูลเฉินหาคนที่เชื่อถือได้ส่งมาให้เขาที่จิงเฉิง สงสัยว่าเขากำลังทำอะไรที่ไม่เป็นผลดีต่อใต้เท้าเฉินเจ้าค่ะ”
หวังซีร้องหึเสียงเย็น
เฉินลั่วไม่อยากละเมิดกฎหมาย ไม่อยากทำร้ายเฉินอิง ผู้ใดจะรู้ว่าเฉินอิงกลับไร้ซึ่งศีลธรรม
นางกล่าว “เช่นนั้นเจ้ารีบไปบอกใต้เท้าเฉินสักคำหนึ่ง”
ชิงโฉวรับคำแล้วออกไป
หวังซีเองก็ไม่มีอารมณ์กินองุ่น และยิ่งไม่มีอารมณ์ทำองุ่นแห้งแล้ว
ตกเย็นฉังเคอมาหา นำผลซิ่งแห้งมาให้นางหนึ่งตะกร้า ยังพูดด้วยดวงหน้าเขินอายหลายส่วนว่า “ทางด้านโน้นส่งมาให้ ข้ากินแล้วรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยมาก คิดว่าเจ้าต้องชอบกินแน่นอน ยังเอาไปทำขนมไส้รวมมิตรที่เจ้าบอกนั่นได้ด้วย จึงแบ่งมาให้เจ้าเล็กน้อย”
หวังซีหัวเราะฮ่า ถามว่า “ทางด้านโน้นคือทางไหน? ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าหรือ” ขณะที่กล่าว ยังจงใจหยิบผลซิ่งแห้งมาชิมลูกหนึ่งด้วย กล่าวว่า “ผลซิ่งแห้งรสชาติดีขนาดนี้ คงเป็นผลซิ่งแห้งของเหลียงโจว ทางด้านโน้นช่างเอาใจใส่จริงๆ”
ฉังเคอหน้าแดงจนไม่รู้จะแดงอย่างไรแล้ว แทนที่จะปล่อยไป นางถลึงตากล่าวว่า “เจ้าอย่าได้ลำพองใจไป คนรั้งท้ายคือคนที่ต้องชำระหนี้ ข้าออกเรือนก่อนเจ้า คอยดูเถอะว่าถึงเวลาข้าจะก่อกวนเจ้าอย่างไรบ้าง!”
เด็กสาวถูกเลี้ยงอยู่ในบ้านอย่างประคบประหงม แต่กฎระเบียบต่างๆ ก็มากกว่า ในทางตรงกันข้ามสตรีที่ออกเรือนแล้วจะไม่ถูกกวดขันมากขนาดนั้นแล้ว ถ้อยคำดังกล่าวของฉังเคอถือว่ามีเหตุผลอยู่หลายส่วน
หวังซีหัวเราะร่า ไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่ครึ่งเดียว กล่าวว่า “ต่อให้ข้าออกเรือน ก็ต้องออกเรือนจากสู่จง อย่างมากที่สุดหลังแต่งงานก็แค่เชิญเจ้าไปกินเลี้ยงมื้อหนึ่งเท่านั้น”
“เจ้าช่างคิดได้ดีจริงๆ!” ฉังเคอหยิกแก้มของหวังซี หวังซีรีบเอี้ยวตัวหลบ
“ถึงเวลาข้าจะไปส่งเจ้าออกเรือนที่สู่จง” ฉังเคอไม่ยอม วิ่งไล่หวังซี
หวังซีกลับวางศิลาหนักอึ้งในใจก้อนนั้นลงไปได้ เพราะมีเพียงคนที่มั่นใจว่าตัวเองจะได้เป็นที่รักเท่านั้นถึงกล้าตัดสินใจเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าคู่หมายที่เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าแนะนำให้ผู้นี้ดีมากจริงๆ
ทั้งสองคนส่งเสียงหัวเราะโหวกเหวกกันอยู่ครู่หนึ่ง ชิงโฉวก็กลับมา
นางรอจนฉังเคอกลับออกไปแล้วถึงเข้ามารายงานหวังซี กล่าวว่า “ใต้เท้าเฉินฝากคำขอบคุณมาให้ท่าน ยังบอกด้วยว่า เฉินอิงโง่ แต่บุตรเขยใหญ่ของตระกูลเฉินมิได้เขลา หากเรื่องที่ส่งคนมาก่อการร้ายให้เฉินอิงถูกเปิดเผยออกไป ฮ่องเต้กับจ่างกงจู่จะเมตตาเขาหรือ ไม่ต้องพูดถึงเฉินอิง แม้แต่เจิ้นกั๋วกงเองก็สลัดความรับผิดชอบไม่พ้น!”
ไม่แปลกที่ชิงโฉวดูไม่ร้อนใจ
หวังซีเองก็วางใจลงมาได้
เฉินอิงกลับเสมือนสัตว์ป่าดุร้ายที่ถูกขังในกรง
เขาอยากขอยืมคนจากพี่สาวมาใช้งานสักสองสามคนแต่นอกจากจะถูกพี่เขยปฏิเสธอย่างอ้อมๆ แล้ว ยังเป็นเหตุทำให้พี่สาวที่ปกป้องเขามาตลอดมีปากเสียงกับพี่เขยอีกด้วย ท้ายที่สุดแล้วถึงแม้พี่เขยจะไม่พูดอะไรอีก แต่ท่าทีที่มีต่อเขากลับดูไม่สนิทสนมเหมือนก่อน เขารู้ว่านี่เป็นเพราะพี่เขยกำลังเดียดฉันท์ที่เขาไร้ความสามารถ
แต่นอกเหนือจากวิธีนี้ เขาก็ไม่มีวิธีอื่นมาทำลายเฉินลั่วได้แล้ว
แววตาของเฉินอิงดำทะมึน เสมือนงูพิษที่พร้อมจะฉกผู้คน
หากมีคนมาเห็นในเวลานี้ เกรงว่าคงตกใจจนกรีดร้องออกมาเป็นแน่ ไหนเลยจะเชื่อว่าเขาคือคุณชายใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกงผู้สุภาพเรียบร้อยและจิตใจดีมีมารยาทผู้นั้น
เฉินอิงเองก็ไม่อยากเป็นแค่คนที่ได้ชื่อว่าคุณชายใหญ่ผู้นี้เหมือนกัน
ตำแหน่งซื่อจื่อของจวนเจิ้นกั๋วกงถูกยื้อออกไปนานเกินไปแล้ว ถึงแม้พี่สาวใหญ่ของเขาจะให้กำลังใจเขาตลอดไม่หยุดหย่อน บอกว่าตำแหน่งนี้สมควรเป็นของเขามาตั้งแต่ต้น และไม่ว่าจะทำอะไรบิดาของเขาก็เข้าข้างเขาเสมอ กระทั่งด่าและตีเฉินลั่วด้วยเหตุนี้ก็ตาม แต่มันจะมีประโยชน์อันใดเล่า?
ตอนที่บิดาของเขาตัดสินใจแต่งงานอีกครั้งกับจ่างกงจู่ ชะตาชีวิตของเขาก็ถูกตัดสินมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
บิดาของเขาได้ชื่อว่าเป็นคนไม่กลัวอะไร แต่ก็ไม่กล้าขอแต่งตั้งเขาเป็นซื่อจื่ออยู่ดี
ทุกอย่างก็เป็นแค่คำพูดหลอกลวงผู้คนเท่านั้น
ต่อให้ฮ่องเต้บอกว่าจะไม่ยุ่งเรื่องภายในบ้านของตระกูลเฉินอย่างไร แต่สุดท้ายยังคงหาวิธีแต่งตั้งเฉินลั่วเป็นซื่อจื่ออยู่ดี!
เขาอยากถามบิดาของเขาเหลือเกินว่า มองจากมุมไหนถึงคิดว่าฮ่องเต้เห็นด้วยกับการให้เขาเป็นเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ?
ฮ่องเต้เคยรับปากกับบิดาของเขามาก่อนหรือเปล่า?
แต่เฉินอิงก็ไม่กล้าถาม
การที่เขาเป็นบุตรชายที่เชื่อฟังทำให้ความดื้อรั้นของเฉินลั่วดูเหมือนการก่อกบฏ และเพราะสวมหน้ากากมาเป็นเวลานาน เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะถอดมันอย่างไร หลังจากถอดมันออกแล้วจะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนเป็นแย่ลงหรือไม่
เฉินอิงเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง แม่นมคนที่เคยเป็นสาวใช้ติดตามมารดาผู้ให้กำเนิดของเขามาจากตระกูลเดิมและต่อมาเป็นคนดูแลเขากับพี่สาวมาตั้งแต่เด็กทนดูต่อไปไม่ได้ ยกบัวลอยข้าวหมากเข้ามาพลางกล่าวโน้มน้าวเขาว่า “บุตรเขยเป็นคนมีความสามารถ ถึงเขาจะพูดจาไม่น่าฟังไปบ้าง คุณชายใหญ่ก็อย่าได้ถือสาเขาเลย เขาแต่งงานกับกูไหน่ไนใหญ่แล้ว อย่างไรก็ต้องยืนอยู่ฝั่งเดียวกับท่าน แล้วท่านเองก็อย่าเคืองโกรธกูไหน่ไนใหญ่ไปเลย นางเองก็ใจร้อนเกินไป ผู้ใดจะคิดว่าคุณชายรองจะมีอุบายชั่วร้ายขนาดนั้น! ท่านกั๋วกงไม่มีทางปล่อยให้เขารังแกท่านอย่างแน่นอน”
ทั้งๆ ที่เขาเป็นพี่ชายคนโต แต่เหตุใดทุกคนล้วนคิดว่าเฉินลั่วรังแกเขาได้เล่า?
เฉินอิงไม่พอใจมากแต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธว่าที่แม่นมกล่าวมาถูกต้องทุกอย่าง พี่เขยใหญ่ของเขาเป็นคนที่บิดาเขาบรรจงคัดสรรมาอย่างาดี หากไร้ซึ่งความสามารถ บิดาของเขาไม่มีทางถูกใจอย่างแน่นอน
เขาตรึกตรองตาม ระงับความหุนหันในใจเอาไว้ สุดท้ายตัดสินใจเขียนจดหมายส่งไปให้พี่เขยที่อยู่ไกลถึงเฉิงโจวฉบับหนึ่ง
เพียงแต่ว่าจดหมายฉบับดังกล่าวเพิ่งถูกส่งออกไปไม่กี่วันเขาก็ได้รับจดหมายตอบกลับจากพี่เขยแล้ว
ในจดหมายพี่เขยของเขากล่าวขอโทษเขาก่อนเป็นลำดับแรก บอกว่าเพราะตัวเองใจร้อนเกินไป จึงพูดจาแข็งกระด้างไปบ้าง ถัดมาเสนอความคิดให้เขาว่า หากเขาต้องการประชันกับเฉินลั่วสักครั้งจริงๆ มิสู้หาทางร่วมมือกับองค์ชายสามดีกว่า สองพยัคฆ์ขับเคี่ยวกัน โดยมากล้วนบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นโอกาสของเขาก็เป็นได้
ยังบอกด้วยว่า ในกรณีที่องค์ชายรองพิชิตศึกครั้งนี้ได้ ด้วยจิตใจทะเยอทะยานอยากสืบทอดอำนาจต่อของจวนชิ่งอวิ๋นโหวแล้ว ย่อมจะปฏิบัติกับเหล่าเชษฐาและอนุชาด้วยความเคารพ เขาไม่มีทางถูกองค์ชายสามดึงไปติดร่างแหด้วยอย่างแน่นอน
แค่อ่านเฉินอิงก็รู้แล้วว่านี่เป็นจดหมายที่พี่เขยของเขาเขียนส่งมาก่อนที่จะได้รับจดหมายของเขา ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นผลลัพธ์จากการโวยวายของพี่สาวเขาก็เป็นได้
เขาจุดเทียนเผาจดหมาย พลางครุ่นคิดว่าดูเหมือนหลานชายจากตระกูลเดิมของซูเฟยคนที่ทำงานอยู่ในกองพลทองคำผู้นั้นกำลังจะจัดงานวันคล้ายวันเกิดในอีกสองวันที่จะถึงนี้ ทว่าด้วยนิสัยขององค์ชายสามและองค์ชายห้าแล้ว ไม่มีทางออกไปร่วมงานอย่างแน่นอน แต่เขากลับคิดว่าเขาเริ่มต้นผูกมิตรกับองค์ชายสามและองค์ชายห้าผ่านหลานชายจากตระกูลเดิมของซูเฟยผู้นี้อย่างช้าๆ ได้
………………………………………………………………………..
ตอนต่อไป