ซูเฟยเหนียงเหนียงมีพื้นเพมาจากครอบครัวทหารธรรมดาสามัญ มิใช่ตระกูลใหญ่โต หาได้มีความรู้อะไรมากนัก นับตั้งแต่ที่ซูเฟยเหนียงเหนียงกลายเป็นสนมรักเป็นต้นมา คนในตระกูลก็เริ่มยโสโอหังไม่รู้จักแผ่นฟ้าสูงผืนดินต่ำ ซูเฟยเหนียงเหนียงต่อว่าไปหลายครั้ง คนในตระกูลถึงทำตัวดีขึ้นมาบ้าง แต่เนื่องจากนางอยู่ในวัง ไม่อาจคอยสอดส่องได้ทุกเมื่อเชื่อวัน คนในตระกูลนางยังคงสร้างเรื่องออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ นางจึงดูแคลนพี่น้องของตัวเองยิ่งนัก แล้วก็ยิ่งไม่เห็นเหล่าหลานชายอยู่ในสายตาด้วย
องค์ชายสาม องค์ชายห้าและองค์หญิงฟู่หยางต่างได้รับอิทธิพลของมารดา ไม่ค่อยสุงสิงกับคนที่บ้านของซูเฟยเหนียงเหนียงเท่าไรนัก
คนในจิงเฉิงเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่ค่อยชอบคนจากตระกูลของซูเฟยเหนียงเหนียงเช่นกัน
หลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงจัดงานวันคล้ายวันเกิด เหล่าขุนนางและคนชั้นสูงจากตระกูลใหญ่ตระกูลโตย่อมไม่ไปร่วมงาน
เฉินอิงจึงคิดว่าหากไปกล่าวอวยพรเขาจริง จะมิเท่ากับว่าเป็นการให้ผู้คนเห็นเรื่องขบขันหรอกหรือ ถึงเขาอยากประจบประแจงองค์ชายสามกับองค์ชายห้า ก็ไม่อาจกระทำเช่นนี้ได้
มิสู้แสร้งทำเป็นเจอโดยบังเอิญดีกว่า
ให้พอมีเรื่องชวนคุยสักเรื่องยามพานพบกับองค์ชายสามและองค์ชายห้าก็พอ
เฉินอิงสืบทราบชื่อหอสุราที่หลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงแล้วก็ทำการจองโต๊ะที่หอสุราดังกล่าวด้วยโต๊ะหนึ่ง นัดสหายที่เข้ากันได้ดีสองคนไปรับประทานอาหารด้วยกัน
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าหลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงจะไม่เห็นอกเห็นใจต่อชะตาและความยากลำบากของป้าตัวเองเลยแม้แต่น้อย มิใช่วันเกิดครบรอบใหญ่ แต่เชิญแขกมากถึงยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดโต๊ะ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ทำงานอยู่ในกองพลส่วนพระองค์ทั้งสิ้น มากจนเต็มที่พื้นที่อันกว้างขวางของหอสายลมวสันต์ ตอนที่พวกเขาไปถึง หลงจู๊ของหอสุรานำเสี่ยวเอ้อค้อมตัวกล่าวขออภัยอยู่ตรงนั้นด้วยตัวเอง พาพวกเขาเดินไปยังด้านหลังของหอสุราเข้าไปในร้านเครื่องเขินร้านหนึ่งที่เพิ่งยืมมาชั่วคราว “เนื่องจากมีแขกมาอย่างกะทันหันเป็นจำนวนมาก จึงไม่ทันได้ส่งจดหมายไปแจ้งพวกท่าน หากท่านไม่ถือสา พวกข้าขอยืมห้องส่วนตัวของพวกเขาเอาไว้ ท่านทนรับประทานอาหารสักมื้อไปก่อน วันหน้าข้าค่อยไปกล่าวขออภัยท่านที่บ้านเป็นการเฉพาะอีกครั้งและจะส่งอาหารไปให้สักสองสามโต๊ะ ท่านต้องการให้พวกข้าส่งไปให้เมื่อไร พวกข้าจะส่งไปให้ท่านเมื่อนั้น”
คนโง่ผู้นี้! ไม่แปลกที่ซูเฟยเหนียงเหนียงจะรังเกียจ ไม่ต้องพูดถึงเขาที่เป็นเพียงหลานชายผู้หนึ่งของพระสนม ต่อให้เป็นลุงของแผ่นดินอันเป็นที่น่าเคารพนับถืออย่างจวนชิ่งอวิ๋นโหวยังไม่ทำเช่นนี้เลย
เฉินอิงด่าทออยู่ในใจจนไม่เหลือชิ้นดีไปครั้งหนึ่ง คิดในใจว่าวันนี้คงไม่อาจกินอาหารมื้อนี้ได้แล้ว จึงหารือกับสหายทั้งสองคนว่าจะกินที่นี่หรือจะเปลี่ยนไปกินที่อื่นแทน สหายทั้งสองคนของเขายังไม่ทันได้ตอบ จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะดังเข้ามาจากหอสายลมวสันต์ทางด้านโน้น
หรือว่าบุตรหลานจากตระกูลมั่งคั่งคนใดกับหลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงมีเรื่องปะทะกันขึ้นมา?
สมควรแล้ว!
เฉินอิงคิดอยู่ในใจ ตัดสินใจก้าวออกไปดูความครึกครื้นสักหน่อย หรือไม่ก็ไปเติมเชื้อไฟอีกสักนิดก็ได้ จะได้ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างไปเล่าให้องค์ชายสามกับองค์ชายห้าฟังได้ พวกเขาต้องดีใจมากแน่ที่ญาติผู้พี่ที่ไม่เอาไหนของตัวเองคนนี้ถูกผู้อื่นสั่งสอน
เขาเดินเข้าไป
ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงของปั๋วหมิงเย่ว์ “เจ้าจะจัดงานเลี้ยงก็จัดไป แต่กลับใช้หอสายลมวสันต์แห่งนี้จนเต็มพื้นที่โดยไม่บอกไม่กล่าว แค่คำว่า ‘ไม่สน’ เพียงประโยคเดียวของเจ้าก็จะให้คนที่จองโต๊ะมาก่อนล่วงหน้าอย่างพวกข้ากลับจวนไปให้หมด มีคนทำเช่นเจ้าด้วยหรือ คงมิใช่ว่ามาอยู่จิงเฉิงหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่รู้ว่าจิงเฉิงมีกฎระเบียบอะไรบ้างหรอกกระมัง”
นี่ตั้งใจถากถางว่าหลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงเป็นคนบ้านนอกคอกนา
เฉินอิงสะดุดซวนเซไปครั้งหนึ่ง เกือบทำให้ข้อเท้าพลิกเสียแล้ว
ไม่น่าจะบังเอิญขนาดที่ว่าปั๋วหมิงเย่ว์ก็มากินข้าวที่นี่ด้วยหรอกกระมัง?
เขาก้าวฉับๆ ออกไป เห็นปั๋วหมิงเย่ว์ในชุดเต้าเผาผ้าไหมหังโจวสีขาวพระจันทร์ลายปล้องไผ่กำลังโบกพัดพับสีดำวาดลายสีทอง ยืนเด่นเป็นสง่าเสมือนต้นอวี้ท้าสายลมอยู่หน้าหอสายลมวสันต์ ประหนึ่งพวกลอยชายผู้หนึ่งออกมาต่อว่าหลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงด้วยตัวเองก็ไม่ปาน!
ส่วนหลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าออกมาให้เห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทหารรับใช้ของเขาเหล่านั้นเลย บ้างก็ขี้ขลาดตาขาวไม่กล้าโผล่หัวออกมา บ้างก็ยิ้มอยู่ข้างๆ อย่างประจบประแจง แน่นอนว่าก็มีคนใจกล้าอยากเอาใจทั้งปั๋วหมิงเย่ว์และหลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงเสนอหน้าออกมากล่าวโน้มน้าวอย่างนอบน้อมอยู่ตรงนั้นว่า “ไหนจะกล้า! ไหนจะกล้า! พวกข้าได้ยินว่าองครักษ์อิ่นจัดงานวันคล้ายวันเกิดที่นี่ ก็เลยอยากมาร่วมครึกครื้นด้วยสักครั้ง ผู้ใดจะรู้ว่าคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ที่นั่งจึงไม่เพียงพอ องครักษ์อิ่นของพวกข้าไม่มีทางเลือก จำต้องขอให้หลงจู๊พาแขกคนอื่นๆ ไปนั่งอีกที่หนึ่ง ไม่ได้มีเจตนาจะไล่แขกจริงๆ ขอรับ และไม่รู้ว่าวันนี้จะบังเอิญโชคดีขนาดนี้ ท่านเองก็มาเลี้ยงแขกที่นี่ด้วย…
…ท่านว่าเช่นนี้ดีหรือไม่ อย่างไรเสียก็ยืมสถานที่ของร้านเครื่องเขินข้างๆ เอาไว้แล้ว พวกข้าจะไปรับประทานที่นั่นแล้วยกทางด้านนี้ให้ทุกคน…” ขณะที่กล่าว ยังหันไปส่งสายตาให้หลงจู๊ของหอสายลมวสันต์ครั้งหนึ่ง เป็นสัญญาณให้เขาก้าวออกมาพูดอะไรสักสองประโยค
ตระกูลเดิมของซูเฟยเหนียงเหนียงแซ่อิ่น
พ่อค้าเปิดร้านทำการค้า เป็นธรรมดาที่ไม่อยากผิดใจกับผู้ใด
แน่นอนว่าเขาไม่อาจไปร้องขอให้ปั๋วหมิงเย่ว์ปล่อยตระกูลอิ่นไป เพราะหากคุณชายปั๋วพูดให้ฝั่งของตัวเองบ้าง กลายเป็นผิดใจกับทั้งสองฝ่าย เช่นนั้นต่อไปใครจะกล้าช่วยเหลือพวกเขา
เขามองตาแป๋ว แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าคนผู้นั้นหมายความว่าอย่างไร
ปั๋วหมิงเย่ว์ไม่อยากทำให้คนของหอสายลมวสันต์ต้องลำบากใจ
ที่นี่เป็นกิจการของตระกูลหวัง เขาสืบทราบมาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ปั๋วหมิงเย่ว์จำต้องหาทางลงให้ตัวเอง กล่าวยิ้มๆ แกมด่าว่า “เจ้ามองหลงจู๊เพื่ออันใด หรือข้าสู้หลงจู๊ผู้หนึ่งไม่ได้?”
ท่าทางเหมือนคนไม่อยากสืบสาวราวเรื่องกับพวกเขาต่อแล้ว
คนผู้นั้นลิงโลด รีบก้าวออกมาคารวะปั๋วหมิงเย่ว์ ร้องบอกให้คนที่นั่งครอบครองโต๊ะอยู่เหล่านั้นย้ายไปยังร้านเครื่องเขินที่อยู่ข้างๆ ให้หมด
หลงจู๊ใหญ่ของหอสายลมวสันต์รีบก้าวออกไปนำทางอย่างกระตือรือร้น
เมื่อไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ผู้ชมโดยรอบต่างก็แยกย้ายกันไปกว่าครึ่ง
เฉินอิงก้าวออกมากล่าวทักทายปั๋วหมิงเย่ว์ยิ้มๆ ว่า “วันนี้ช่างบังเอิญยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าที่นี่”
เขายึดถือหลักการ ‘ศัตรูของศัตรูคือมิตรของข้า’ มาโดยตลอด ปั๋วหมิงเย่ว์กับเฉินลั่วเหินห่างกัน ทุกครั้งที่เขาเจอปั๋วหมิงเย่ว์จะเข้าไปทักทายเขาอย่างกระตือรือร้นเสมอ
ปั๋วหมิงเย่ว์ได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ
กำลังตามหาเจ้าอยู่พอดี คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะส่งมาให้ถึงหน้าประตูด้วยตัวเองเช่นนี้
แต่เขาก็มิได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง แสดงอาการประหลาดใจที่บังเอิญเจออย่างกะทันหันแทน กล่าวทักทายเฉินอิงยิ้มๆ ว่า “นี่ก็ถือเป็นวาสนา!” ยังถามเขาด้วยว่า “พี่ชายใหญ่เฉินก็มากินข้าวที่นี่หรือ คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะบังเอิญเจอกับเรื่องอลหม่านเช่นนี้”
อย่ามองว่าบัดนี้ทั้งในและนอกราชสำนักต่างทราบเรื่องที่ฮ่องเต้มีพระประสงค์แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท เพราะยังไม่มีราชโองการประกาศออกมาเลยมิใช่หรือ นอกจากนี้ด้วยความเก่งกาจของจวนชิ่งอวิ๋นโหวแล้ว ต่อให้ฮ่องเต้แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อจริง องค์ชายคนเดียวที่ไร้ทั้งครอบครัวมารดาและครอบครัวภรรยาคอยสนับสนุนเช่นเขา ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะรอจนถึงวันที่ฮ่องเต้เสด็จไปเยือนแดนสุขาวดีได้หรือไม่
คนในจิงเฉิงไม่กล้ามีเรื่องผิดใจกับจวนชิ่งอวิ๋นโหวมานานแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะโจมตีปั๋วหมิงเย่ว์เลย
เฉินอิงตอบเขาสองประโยคเสร็จแล้วชวนปั๋วหมิงเย่ว์ไปรับประทานอาหารด้วยกัน
ตระกูลปั๋วอยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุด ผู้ใดจะกล้าพูดเช่นนั้นต่อหน้าเขา
อย่างไรก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี
ปั๋วหมิงเย่ว์คิด แต่สุดท้ายยังคงปฏิเสธเฉินอิงไปเหมือนก่อนหน้านี้
เพื่อยั่วยุเฉินลั่วแล้ว เฉินอิงพยายามประจบประแจงเขามาโดยตลอด แต่ใช่ว่าเขาจะชอบการประจบสอพลอประเภทนี้
เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่มีทางไปรวมกลุ่มกับเฉินอิงเพียงเพราะเขากับเฉินลั่วเข้ากันไม่ได้อย่างแน่นอน
พวกเขาคุยกันอีกสองสามประโยคแล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป
เฉินอิงยืนอยู่หน้าประตูหอสุรา ครุ่นคิดว่าควรไปกินข้าวต่อหรือไม่ เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นหลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงยื่นศีรษะออกมาจากหลังม่านไผ่นางสนมของห้องส่วนตัวบนชั้นสองหันมากวักมือเรียกเขา
เนื่องจากถูกเจอตัวแล้ว จึงไม่อาจหลบเลี่ยงไม่พบหน้าได้อีก
เฉินอิงตรึกตรองแล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสอง
หลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงถามเขาว่า “เจ้ากับปั๋วหมิงเย่ว์มาเจอกันได้อย่างไร เขานัดผู้ใดมาดื่มสุราที่นี่?”
เจิ้นกั๋วกงเป็นขุนนางชั้นสูงมานานหลายรุ่น เป็นตระกูลขุนนางที่คนชื่นชมปนอิจฉาและอยากผูกมิตรด้วยเป็นที่สุด แต่เฉินลั่วหยิ่งทะนง คบหาแต่กับเหล่าองค์ชายและซื่อจื่อเท่านั้น ตรงข้ามกับเฉินอิงที่เป็นคนจิตใจดีมีมารยาท เข้าได้กับทุกคน หลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงจึงชอบเฉินอิงมากกว่า
“ข้าไม่ได้ถาม!” เฉินอิงกล่าว “ข้ากับปั๋วหมิงเย่ว์บังเอิญเจอกันเท่านั้น”
หลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงขบคิด ให้หลงจู๊นำสุราดอกหลีไปมอบให้ปั๋วหมิงเย่ว์สองกา ยังกล่าวด้วยว่า “บอกว่าทางนี้ข้ายังมีแขกอยู่ ประเดี๋ยวส่งแขกเรียบร้อยแล้วค่อยไปกล่าวคำขอโทษเขาอีกครั้ง”
เขาคำนวณมาแล้วว่าปั๋วหมิงเย่ว์ไม่มีทางสนใจเขา แต่คิดไม่ถึงว่าเพียงพริบตาเดียวหลงจู๊ก็ถือสุราดอกหลีสองกาเดินเข้ามา กล่าวว่า “คุณชายปั๋วมิได้อยู่รับประทานอาหารที่หอสุราของพวกข้า เขาออกไปแล้วขอรับ”
“ออกไปแล้ว!” ทั้งสองคนต่างตะลึงงัน
ด่าหลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงเสร็จก็จากไปแล้ว? ไม่เหมือนคนต้องการบันดาลโทสะแต่เหมือนคนกำลังระบายโทสะมากกว่า
เฉินอิงนึกถึงข่าวลือต่างๆ ที่ได้ยินในช่วงนี้ เขารู้สึกว่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวต้องมิได้สงบเหมือนที่แสดงออกอย่างแน่นอน เขารู้สึกประหลาดใจ ถามหลงจู๊ว่า “รู้หรือไม่ว่าคุณชายเจ็ดปั๋วนัดผู้ใดมาดื่มสุราที่นี่?” ยังกล่าวอย่างคนพยายามปกปิดแต่เรื่องราวกลับเด่นชัดยิ่งขึ้นว่า “หากพวกข้ารู้จัก ต้องไปอธิบายกับอีกฝ่ายด้วยตัวเองสักประโยคหนึ่งถึงจะถูก”
อย่ามองว่าหลายชายของซูเฟยเหนียงเหนียงผู้นี้ทำตัวเหลวไหลไปวันๆ เพราะเขาได้รับสืบทอดความสามารถในการสังเกตสีหน้าและคำพูดของผู้คนมาจากซูเฟยเหนียงเหนียง เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วหัวใจกระตุกตามไปด้วย มองหลงจู๊ผู้นั้นด้วยแววตาวาวโรจน์
หลงจู๊ผู้นั้นตัวสั่นสะท้าน รีบกล่าวว่า “ไม่ทราบจริงๆ ขอรับ! คุณชายปั๋วเป็นคนจองโต๊ะ หลงจู๊ใหญ่ของพวกข้าก็คิดเช่นกันว่าวันนี้คุณชายปั๋วมิได้รับประทานอาหารดีๆ จึงให้ข้านำสุราไปมอบให้คุณชายปั๋วสองขวด แต่ผู้ใดจะรู้ว่าข้าตามหาไปทั่วทั้งหน้าและหลังกว่าครึ่งค่อนวันก็หาตัวคนไม่เจอ”
คนที่ทำให้ปั๋วหมิงเย่ว์มาเลี้ยงอาหารได้ หากมิใช่คนที่สูงส่งกว่าปั๋วหมิงเย่ว์ก็เป็นคนที่ปั๋วหมิงเย่ว์ต้องการขอความช่วยเหลือ
หลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงรีบสั่งการบ่าวชายคนสนิทโดยไม่ต้องคิดว่า “เจ้าไปสอบถามคนที่ดื่มสุราอยู่ด้านข้างสักคำ ดูว่ามีใครเห็นหรือไม่ว่าวันนี้ปั๋วหมิงเย่ว์มากับผู้ใด หรือมีใครรู้หรือไม่ว่าวันนี้ปั๋วหมิงเย่ว์เชิญผู้ใดมา”
ขอเพียงตามหาตัวคนเจอ ก็รู้ได้ว่าเป็นเรื่องอะไรแล้ว
บ่าวชายผู้นั้นกลับไปแล้วไม่หวนกลับมา
เฉินอิงจึงสงสัยว่าบ่าวชายผู้นั้นอาจไปสืบเจออะไรเข้า แต่บังเอิญว่าเขาอยู่ที่นี่ด้วย จึงไม่สะดวกเข้ามารายงาน
เขารู้สึกว้าวุ่นใจ ฝืนนั่งต่ออีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็หาข้ออ้างกล่าวอำลาไปด้วยอีกคน แต่พอเขาพ้นจากห้องส่วนตัวก็รีบลงมาชั้นล่างอย่างรวดเร็ว สั่งการบ่าวชายของตัวเองไปสืบเรื่องนี้ด้วยอีกคน
ไม่นาน บ่าวชายของเขาก็กลับมารายงานว่า “คุณชายปั๋วเชิญเว่ยไหวของกองพลม้าทะยานมากินข้าวที่หอสายลมวสันต์ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อทั้งสองเข้ามาในหอสุราแล้วก็พากันออกจากประตูหลังไปตามลำดับ จากนั้นก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าเปลี่ยนไปกินข้าวที่ไหนแทน”
เว่ยไหวเป็นคนสนิทของเฉินลั่ว ปั๋วหมิงเย่ว์นัดเขามาเพื่ออันใด
หรือว่าเพื่อตำแหน่งซื่อจื่อแล้ว เฉินลั่วคิดจะอุทิศตนเพื่อองค์ชายใหญ่ตามที่ฮ่องเต้วางแผนเอาไว้?
หาไม่ด้วยนิสัยของปั๋วหมิงเย่ว์แล้ว จะนัดพบเว่ยไหวได้อย่างไร
เฉินอิงรู้สึกว้าวุ่นใจมากยิ่งขึ้น
หลานชายของซูเฟยเหนียงเหนียงยิ่งแล้วใหญ่ นำข่าวดังกล่าวไปบอกป้าของตัวเองภายในวันนั้นเลย
ซูเฟยเหนียงเหนียงเองก็กระสับกระส่ายมากเช่นเดียวกัน
ฮ่องเต้ไม่ขัดข้องที่ตระกูลอู๋ให้คุณหนูรองของพวกเขาแต่งงานกับทหารผู้หนึ่ง และไม่ขัดข้องที่องค์ชายสี่แต่งกับคุณหนูสี่ถาน ยังจัดแจงเรื่องงานแต่งของฟู่หยางอีก
หากแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อจริงๆ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าองค์ชายสามกับองค์ชายห้าไม่มีหวังอันใดอีกแล้ว
นางถึงกับคิดจะเดินบนเส้นสายของหนิงผินเพื่อหยั่งเชิงดูความคิดของฮ่องเต้ แต่ประสบการณ์หลายปีในวังหลวงยังคงทำให้นางสงบใจลงมาได้ สั่งให้ข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในไปเชิญองค์ชายสามกับองค์ชายห้าเข้าวัง
………………………………………………………………….
ตอนต่อไป