หลังจากที่ปั๋วหมิงเย่ว์ทราบข่าวแล้วก็ลิงโลดยินดี กล่าวกับเสี่ยวซื่อว่า “คิดไม่ถึงว่าการไปจับตาดูเฉินอิงจะได้จับตาดูคนของตระกูลอิ่นพร้อมกันไปด้วย การพยายามซ่อนเร้นสะดวกกว่าการวางแผนอย่างลับๆ เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้เชี่ยวชาญแต่เรื่องอาศัยเงื้อมมือของสตรี สิ่งที่คิดขึ้นมาได้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีของสตรีทั้งสิ้น น่าเสียดายที่เจิ้นกั๋วกงยังคิดจะยกจวนเจิ้นกั๋วกงให้เฉินอิงอยู่ เขาไม่กลัวว่าเฉินอิงจะทำให้จวนเจิ้นกั๋วกงล่มสลายเลยหรือ”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม ล่มสลายไปก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยคู่ปรับของจวนชิ่งอวิ๋นโหวจะได้ลดน้อยลงไปอีกคนหนึ่ง หากข้าเป็นเฉินลั่ว ข้าไม่มีทางอยากได้จวนเจิ้นกั๋วกง จะไปสร้างยศถาบรรดาศักดิ์ด้วยตัวเอง ปล่อยให้จวนเจิ้นกั๋วกงล้มหายตายจากไปเหมือนจวนกั๋วกงอื่นๆ เสียก็สิ้นเรื่อง”
เสี่ยวซื่อหัวเราะร่าพลางคิดว่า คุณชายเจ็ดพูดราวกับว่ายศถาบรรดาศักดิ์เป็นแค่ผักกาดขาวที่อยากได้ก็เอามาได้ง่ายๆ แต่คุณชายรองตระกูลเฉินก็โชคร้ายจริงๆ ที่มีบิดาและพี่ชายเช่นนี้
เขาขยับมาตรงหน้าปั๋วหมิงเย่ว์ เอ่ยถามอย่างสนอกสนใจว่า “คุณชายเจ็ด เช่นนั้นพวกเราควรจะสืบต่อไปหรือไม่ว่าซูเฟยเหนียงเหนียงพูดอะไรบ้าง?”
“ต้องสืบต่ออยู่แล้ว” ปั๋วหมิงเย่ว์ใช้พัดพับเคาะศีรษะของเสี่ยวซื่อ กล่าวว่า “ซูเฟยเหนียงเหนียงก็เป็นคนมีแผนการผู้หนึ่ง เก่งกาจกว่าเสด็จป้าของข้ามาก เวลานี้นางน่าจะคิดวิธีหาตระกูลภรรยาที่มีอำนาจมาให้โอรสทั้งสองคนของนางอยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่านางถูกใจผู้ใดเท่านั้น น่าเสียดายที่คุณหนูสี่ถานถูกจับหมั้นกับองค์ชายสี่ไปแล้ว”
กล่าวจบ ยังถอนหายใจอย่างแสนเสียดายอีกครั้งหนึ่งด้วย
เสี่ยวซื่อเห็นแล้วเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “เช่นนั้นทางด้านคุณหนูต่างสกุลจวนหย่งเฉิงโหว พวกเรายังต้องยืมชื่อคุณหนูหกส่งของไปให้นางอีกหรือไม่ขอรับ”
ปั๋วหมิงเย่ว์กล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคุณหนูต่างสกุลจวนหย่งเฉิงโหว? เจ้าเพียงทำตามที่ข้าบอกก็พอ ส่วนคุณหนูหก อย่าให้นางรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด นางมุ่งมั่นอยากแต่งงานกับเฉินลั่ว หากรู้ว่าข้าส่งของไปให้คุณหนูสกุลหวัง ต้องสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นมาแน่…เรื่องของวังหลวงยังไม่แน่นอน หากข้ากระโดดออกมาว่าอยากถกเรื่องแต่งงานในเวลานี้ มิเท่ากับเป็นการเพิ่มปัญหาให้คนในบ้านหรอกหรือ”
เสี่ยวซื่อพึมพำกล่าวว่า “เพราะข้าได้ยินท่านพูดอะไรทำนองว่าเสียดายคุณหนูสี่ถานมิใช่หรอกหรือขอรับ”
“เจ้าคิดมากไปเอง” ปั๋วหมิงเย่ว์เคาะหัวของเสี่ยวซื่ออีกสองครั้ง กล่าวว่า “ข้าเสียดายบรรดาคุณหนูของจวนชิงผิงโหวมากกว่า เพื่อทำให้ชิงผิงโหวเป็นขุนนางมือสะอาดแล้ว ทุกคนต่างแต่งงานกับตระกูลที่ไม่คู่ควรทั้งสิ้น เพราะข้ารู้สึกเสียดายพวกนาง ก็เลยต้องไปสู่ขอคนอื่นด้วยอย่างนั้นหรือ”
เสี่ยวซื่อลอบลูบศีรษะยิ้มๆ
ปั๋วหมิงเย่ว์จึงกล่าวว่า “ข้าช่างฉลาดหลักแหลมจริงๆ! ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ยิงของเล่นตกมาได้ถึงสองตัว”
เสี่ยวซื่อนวดบ่าให้ปั๋วหมิงเย่ว์อย่างประจบเอาใจ
ปั๋วหมิงเย่ว์คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ตรงนั้น “เจ้าว่า คุณหนูหวังชอบอะไร? ตระกูลนางเป็นคหบดีมั่งคั่งของสู่จง ของดีอะไรนางก็น่าจะเคยเห็นมาหมดแล้วกระมัง? ข้าคิดว่าคงมีเพียงของจากสำนักกิจการภายในเท่านั้นที่อาจทำให้นางตื่นตาตื่นใจได้บ้าง”
เขาควรเข้าวังไปอ้อนขอของดีจากเสด็จป้าหรือไม่นะ?
เสี่ยวซื่อไม่กล้าแสดงความเห็น นึกถึงเรื่องที่คนภายนอกแอบนินทากันว่าคุณหนูต่างสกุลจวนหย่งเฉิงโหวฝีมือร้ายกาจนัก ทำให้เฉินลั่วเห็นผิดเป็นชอบจนถูกใจคุณหนูต่างสกุลจวนหย่งเฉิงโหวขึ้นมา เขาอดกล่าวไม่ได้ว่า “แต่ถ้าหากว่า ข้าหมายถึงถ้าหากว่า มีผู้อื่นถูกใจคุณหนูสกุลหวังเล่า? คุณหนูสกุลหวังงดงามปานนั้น หากเป็นข้า ข้าเองก็อยากแต่งงานกับนางเช่นกันขอรับ!”
“เจ้าคนสารเลวผู้นี้!” ครั้งนี้ปั๋วหมิงเย่ว์โกรธจริงๆ แล้ว กระโดดพรวดขึ้นมาไล่ตีเสี่ยวซื่อ “ผู้ใดใช้ให้เจ้ากล่าววาจาเลื่อนเปื้อน คนทั่วทั้งจิงเฉิงในเวลานี้มีผู้ใดกล้าถกเรื่องแต่งงานตามใจชอบบ้าง ต่อให้เป็นเฉินลั่ว ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวมิใช่หรือ”
หากหวังซีจะแต่งงาน แน่นอนว่าแต่งกับเขาดีที่สุด แต่งเข้าตระกูลพวกเขาดีที่สุดแล้ว
เขาไม่จำเป็นต้องแต่งงานเพื่อผลประโยชน์
ส่วนที่บอกว่า ‘ต้องการแต่งกับคนที่สวยที่สุดนั้น’ ทุกคนต่างมีมาตรฐานที่ไม่เหมือนกัน นั่นก็เท่ากับว่าหากเขาบอกว่าผู้ใดสวยที่สุดก็หมายความผู้นั้นสวยที่สุดนั่นเอง
เพียงแต่ว่าเวลานี้ครอบครัวของพวกเขากำลังเผชิญกับพายุฝนกระหน่ำ เขากลัวจะสร้างความลำบากให้คุณหนูสกุลหวังไปด้วย
คิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว เขารู้สึกเสียดายภายหลังขึ้นมาอีกครั้ง เหตุใดตอนนั้นเขาต้องลากคุณหนูสกุลหวังมาเป็นแพด้วย เหตุใดถึงไร้สมองกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นออกมาได้ หาไม่แล้ว ป่านนี้เขาคงได้หมั้นหมายไปแล้ว…
***
ซูเฟยเหนียงเหนียงเรียกหาโอรสทั้งสองเพราะต้องการหารือเรื่องเสกสมรสกับบุตรชายทั้งสองคนจริงๆ
องค์ชายสามหนักแน่นมีความหลักแหลม อายุมากกว่าองค์ชายห้า หากกล่าวถึงคนที่มีโอกาสสืบทอดบัลลังก์ปกครองประเทศ ก็ไม่มีใครนอกเหนือไปจากเขาแล้ว นางขับเคี่ยวกับฮองเฮาทั้งแบบเปิดเผยและลับๆ มานานหลายปี ก็เพื่ออนาคตของบุตรชายผู้นี้ ฮ่องเต้เองก็ทรงทราบดี เพราะฉะนั้นเรื่องเสกสมรสของเขานั้น ไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ แม้แต่นางเองก็ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเช่นกัน
ขององค์ชายห้าจัดการได้ง่ายกว่า ขอเพียงเป็นตระกูลที่มีประโยชน์ต่อพวกเขาก็เป็นอันใช้ได้แล้ว
นางไล่ข้าทาสบริวารในตำหนักออกไป กล่าวเสียงเบาว่า “ซือจูเหมาะสมที่สุดแล้ว แม่ทัพใหญ่ซือไปประจำการอยู่ที่อวี๋หลิน ซึ่งเป็นตำแหน่งตรวจสอบจวนชิงผิงโหว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีอวี๋จงอี้ เสนาบดีกรมกลาโหมคอยหนุนหลังอยู่ คนผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นคนรอบคอบและเจ้าแผนการ หากดึงเขามาเป็นพวกได้ แม้แต่ชิ่งอวิ๋นโหวเวลาจะทำอะไรก็ต้องคิดแล้วคิดอีก”
องค์ชายสามกับองค์ชายห้าต่างรู้สึกว่าซูเฟยเหนียงเหนียงคิดตื้นเขินเกินไป บัดนี้ทางที่ดีที่สุดคือการรอดูองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองขับเคี่ยวกันจนบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่ายถึงจะปลอดภัยที่สุด
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอย่างไรก็โน้มน้าวซูเฟยเหนียงเหนียงไม่ได้อยู่ดี นางมักจะคิดว่าบุตรชายทั้งสองคนยังเด็กเกินไป ไม่รู้ความ “เพียงหนึ่งในพวกเราเท่านั้นที่ต้องหมั้นหมาย เจ้าดูองค์ชายสี่ ก็หมั้นหมายกับคุณหนูสี่ถานแล้วมิใช่หรือ ฮ่องเต้เองก็ไม่ทรงว่าอะไรเลยมิใช่หรือ”
องค์ชายห้านิสัยหุนหันพลันแล่น กล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “นั่นเป็นเพราะเสด็จแม่ของพี่สี่ไปคุกเข่าขอร้องฮ่องเต้ หลังจากเสกสมรสแล้วองค์ชายสี่จะไปปกครองชายแดน ท่านเองก็อยากให้พวกข้าไปปกครองชายแดนด้วยหรือ”
ซูเฟยเหนียงเหนียงโพล่งออกมาประโยคหนึ่งว่า “เจ้าห้าไปปกครองชายแดนก็มิใช่เรื่องเลวร้าย อย่างน้อยก็ไม่ถูกฮ่องเต้ระแวงมากนัก”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ทั้งสองพี่น้องรู้สึกมีคลื่นขนาดใหญ่บังเกิดขึ้นในใจเป็นจำนวนมากแล้ว
องค์ชายสามรู้สึกว่าตีพยัคฆ์ต้องร่วมแรงประหนึ่งเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด กรำศึกต้องสามัคคีเสมือนเป็นทหารร่วมบิดา ครอบครัวราชวงศ์ไร้ซึ่งความรักฉันบุตรบิดาไปแล้ว เพราะฉะนั้นเขาไม่อาจปล่อยให้ความรักฉันพี่น้องหมดไปด้วย หาไม่แล้วทางเดินในอนาคตของพวกเขาคงยากลำยากมากยิ่งขึ้น
ส่วนองค์ชายห้ารู้สึกว่าเสด็จแม่รักอำนาจมากกว่ารักเขาอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ ในยามคับขัน เขามักจะเป็นคนที่ถูกผลักออกไปเป็นเครื่องบูชายัญผู้นั้นเสมอ
ก็เหมือนกับตอนเป็นเด็กยามที่องค์ชายสามกระทำผิด เสด็จแม่ของเขามักจะผลักความผิดมาไว้ที่เขา เพราะเขาอายุน้อยกว่าองค์ชายสาม กระทำผิดนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่เป็นไร
บัดนี้พวกเขาต่างโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว บางครั้งความประทับใจของฮ่องเต้ก็ตัดสินความเป็นความตายของพวกเขาได้…
ชั่วขณะนั้น เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่าว่าองค์ชายห้าดูสลดหดหู่ใจยิ่งนัก
องค์ชายสามรู้สึกว่าไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้
ยังไม่รู้เลยว่าบัลลังก์นี้จะเป็นของผู้ใด แต่พี่น้องร่วมอุทรกลับตีใจออกหากไปก่อนแล้ว
เมื่อออกมาจากตำหนักของซูเฟยเหนียงเหนียง เขาจึงดึงตัวองค์ชายห้าไปยืนตรงมุมกำแพงหน้าประตูตำหนัก กระซิบกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ เรื่องเสกสมรสของพวกเรานั้นข้าจะไม่ยอมให้เสด็จแม่สอดมือเข้ามายุ่ง ฮ่องเต้ประชวร เวลานี้ต้องกังวลพระทัยว่าพวกเราจะวางแผนเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สุดแน่ เรื่องเสกสมรสของพวกเรานั้นต้องให้ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสินพระทัยถึงจะใช้การได้ หากเขาบอกให้พวกเราแต่ง พวกเราก็แต่ง แต่ถ้าเขาบอกให้พวกเราไปปกครองชายแดน พวกเราค่อยวางแผนกันอีกทีก็ยังไม่สาย เจ้าอย่าเอาแต่เชื่อฟังเสด็จแม่ไปเสียทุกอย่าง”
องค์ชายห้าฝืนพยักหน้า
มิใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจเชษฐาของตัวเอง เพียงแต่ว่าบางครั้งเชษฐาของเขาก็ไม่อาจทำตามที่ใจตัวเองปรารถนาเช่นกัน
องค์ชายสามหลุบตาลง คล้ายจมอยู่ในความคิด
***
หวังซีไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงเลย เฉินลั่วกลับทราบดีทุกอย่าง กำลังรอดูงิ้วอยู่
ผู้อื่นต่างคิดว่าครอบครัวราชวงศ์ไร้ความรักต่อกัน บางทีอาจเป็นเพราะฮ่องเต้แสดงงิ้วเก่งเกินไป ปฏิบัติต่อหลานชายอย่างเขาผู้นี้เป็นอย่างดี ดังนั้นระหว่างองค์ชายทั้งหลายจึงดูไม่เหมือนใช้วิธีสกปรกเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายอย่างที่คนภายนอกเข้าใจกัน
เฉินลั่วคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าน่าขันยิ่งนัก
เขาถามเฉินอวี้ “ช่วงนี้คุณหนูหวังทำอะไรบ้าง”
นางไม่ได้มาหาเขาระยะหนึ่งแล้ว
ช่วงนี้เขาวุ่นอยู่กับการสร้างปัญหาให้กับสภาขุนนาง ยุ่งจนหัวหมุนไปหมด เป็นหลายวันก่อนที่เขาบังเอิญได้กินข้าวเหนียวไก่ห่อใบบัวที่ผู้ติดตามของเจ้าพนักงานคนหนึ่งของกรมอาญาซื้อมาจากปากซอย จึงส่งไปให้หวังซีด้วยหลายห่อ
เฉินอวี้ยิ้มพร้อมกับรินชาให้เฉินลั่วหนึ่งถ้วย กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณชายสามของจวนหย่งเฉิงโหวจะแต่งงานในวันที่หนึ่งเดือนเก้าที่จะถึงนี้มิใช่หรือ ทุกคนในจวนหย่งเฉิงโหวทั้งบนและล่างต่างวุ่นอยู่กับเรื่องนี้ แต่โหวฮูหยินกลับล้มป่วยลง นายหญิงรองของพวกเขาจำต้องรับเรื่องนี้มาจัดการ ส่วนคุณหนูหวังนั้นประเดี๋ยวก็วุ่นอยู่กับการไปเยี่ยมโหวฮูหยิน ถือโอกาสพาหลานสาวของโหวฮูหยินอย่างคุณหนูพานไปดูแลคนป่วยด้วยกัน ประเดี๋ยวก็ง่วนอยู่กับการไปช่วยฮูหยินผู้เฒ่า หัวเราะคิกคักตลอดทั้งวัน ดูมีความสุขมากขอรับ”
ไม่ต้องสอบถามให้ละเอียดเฉินลั่วก็พอนึกภาพของนางที่รู้สึกมีความสุขกับหายนะของผู้อื่นออก
“เจ้าให้คนของพวกเราดูนางเอาไว้สักหน่อย” ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าข้างกายนางมีสาวใช้ฝีมือดีอยู่ด้วยถึงสองคน แต่ยังคงอดกล่าวกำชับไม่ได้ว่า “อย่าให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้นางได้”
เฉินอวี้รีบกล่าว “คุณชายโปรดวางใจ พวกข้าจะระวังเอาไว้”
เฉินลั่วก้มหน้าลง เริ่มต้นอ่านเอกสารทางราชการของกรมอาญาที่เอากลับมาด้วย
แม้นไม่รู้ว่าฮ่องเต้มีแผนการอะไร แต่เขารู้สึกว่าในเมื่อตนมีโอกาสได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นเช่นนั้นก็เรียนรู้ให้มากขึ้น ตอนนี้อาจไม่ได้ใช้งาน แต่ต้องมีสักวันที่ใช้ได้งานอย่างแน่นอน
หวังซีเป็นอย่างที่เฉินอวี้กล่าวเอาไว้จริงๆ ยุ่งจนหัวหมุนไปหมด วางแผนการชั่วร้ายกับฉังเคออยู่ตรงนั้นว่า “ถึงเวลาให้หวังหมัวมัวไปกินเลี้ยงดื่มสุราเป็นเพื่อนหมัวมัวที่ติดตามมากับเจ้าสาว เล่าเรื่องของบ้านรองให้คนของตระกูลหันฟัง ดูว่าสะใภ้คนใหม่จะเป็นคนเช่นไรและจะเลือกทำอย่างไร พวกเราทำเช่นนี้ไม่ถือเป็นการทำร้ายผู้อื่นหรอกกระมัง?”
นางรังเกียจคนบ้านรอง แต่คุณหนูหันเป็นผู้บริสุทธิ์ นางไม่อาจทำลายงานแต่งของคุณชายสามฉังอย่างไร้คุณธรรมได้ เพราะนั่นก็เป็นงานแต่งของคุณหนูหันด้วยเช่นกัน
ฉังเคอพยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นด้วย
ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับเรียกฉังเคอไปหาอย่างกะทันหัน บอกว่างานเสกสมรสขององค์หญิงฟู่หยางถูกกำหนดลงมาเรียบร้อยแล้ว อีกไม่กี่วันจะทำพิธีปักปิ่น องค์หญิงฟู่หยางเชิญซือจูเข้าวังไปร่วมชมพิธีด้วย
“อาจูเองก็บอกแล้ว” นางมองฉังเคอกับฉังเหยียนที่อยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มตาหยีพลางกล่าว “นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง นางแจ้งข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในคนข้างกายองค์หญิงฟู่หยางแล้วว่าถึงเวลาจะพาพวกเจ้าไปด้วย”
จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหันไปพยักหน้าให้ซือหมัวมัว
ซือหมัวมัวรีบหยิบเทียบสองแผ่นออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว “นี่เป็นเทียบที่อาจูขอมาให้พวกเจ้า พวกเจ้าเก็บไว้ให้ดี แล้วก็ต้องจำความเอื้อเฟื้อของอาจูเอาไว้ด้วย พี่น้องสมัครสมานสามัคคีกัน ต่อไปเมื่อออกเรือนแล้ว ต่างก็เป็นคนจากตระกูลเดิมเดียวกัน ต้องคอยดูแลซึ่งกันและกัน เช่นนี้ถึงจะทำให้บ้านสามีให้เกียรติเจ้าเพิ่มขึ้น ทำให้มีชีวิตยืนยาวได้”
นี่มันคำลวงอันใดกัน?
ฉังเคอค่อนขอดอยู่ในใจ อดหันไปมองซือจูที่ยืนวางท่าหยิ่งยโสอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าครั้งหนึ่งไม่ได้
ซือจูหันมาพยักหน้าให้พี่น้องสกุลฉังน้อยๆ กล่าวว่า “จะได้ถือโอกาสนี้พูดคุยปรับความเข้าใจระหว่างพวกเจ้าด้วยพอดี เมื่อก่อนมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรก็ใช้โอกาสนี้สะสางให้เรียบร้อยเสีย จะได้ไม่มีเรื่องพี่น้องจวนหย่งเฉิงโหวไม่ถูกกันแพร่กระจายออกไปข้างนอก ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของจวนหย่งเฉิงโหว”
นางคิดว่านางเป็นผู้ใด?
ไม่เจอกับตัวย่อมไม่รู้ซึ้ง
นั่นคือเรื่องเข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ
บางเรื่องแค่พูดคุยกันสองสามประโยคก็สะสางปัญหาได้แล้วอย่างนั้นหรือ
ฉังเคอสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปโดยไม่ไว้หน้าฮูหยินผู้เฒ่ากับซือจูเลยแม้แต่นิดเดียว
มีเสียงเดือดดาลจนเหลือจะทานทนของฮูหยินผู้เฒ่าดังไล่หลังมา “นี่ไปลอกเลียนแบบผู้ใดมา? ถึงกับกล้าแข็งข้อกับผู้อาวุโสแล้ว!”
…………………………………………………………………..้
ตอนต่อไป