บทที่ 142 ดุเดือดมาก

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 142 ดุเดือดมาก

บทที่ 142 ดุเดือดมาก

ในที่สุดคุณแม่เฉินที่พยายามเก็บทุกอย่างเอาไว้ก็ทนไม่ไหวจนต้องร้องไห้ออกมา “ลูกชาย แกเองก็อยากทำร้ายใจของแม่เหรอ ฉันกับพ่อของแกอาศัยอยู่ในชนบทมาตลอดชีวิต มันไม่ง่ายเลยที่จะตั้งตารออนาคตอันสดใสของแก ตอนนี้แกยังเป็นหนี้อีกมาก ถ้าไม่เอาห้องนั้นกลับมา พวกเราจะทำยังไง จะให้กลับไปที่ชนบทเหรอ? ไม่รู้เหรอว่าคนเหล่านั้นพูดถึงพวกเราลับหลังยังไงบ้าง”

เฉินเฉินมองไปยังผมสีขาวของแม่ที่ร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหล ความแก่ชราของพ่อและโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าเขายังเป็นอย่างนี้ต่อไปครอบครัวนี้จะต้องพังทลายแน่นอน

จู่ ๆ ในหัวของเฉินเฉินมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา หรือเขาควรไปหาเหอมี่มี่เพื่อขอยืมเงิน

แม้ว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกันจนแตกหัก แต่เขารู้ว่าเหอมี่มี่รักเขา สิ่งที่สำคัญก็คือครอบครัวของเหอมี่มี่สามารถมีเงินให้เขาได้ถึงเจ็ดล้าน!

เฉินเฉินก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนที่จะช่วยประคองให้แม่นั่งลงบนเตียง “เรื่องเงิน พ่อแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมมีวิธีของผม”

พูดจบเขาก็เดินออกไป

เฉินเฉินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และกดยกเลิกการบล็อกเบอร์โทรศัพท์ของเหอมี่มี่ออกและกดโทรออก

ได้ยินเสียงรอสายแค่สองครั้ง อีกฝั่งก็กดรับสาย

เฉินเฉินไม่ได้รีบพูดขึ้นในทันที ในใจของเขาตอนนี้รู้สึกสับสน ด้านหนึ่งก็อยากให้เหอมี่มี่เข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายของบริษัท อีกด้านหนึ่งเขาก็รู้สึกว่าตนกำลังทำอะไรที่ไร้ศักดิ์ศรี ถึงขั้นแอบหวังว่าเหอมี่มี่จะไม่รับโทรศัพท์ด้วยซ้ำ

[เฉินเฉิน นั่นคุณเหรอ?] เสียงของเหอมี่มี่ถามขึ้นมาก่อน

[อืม]

ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบไปครู่หนึ่ง

[เฉินเฉิน ถ้าเกิดว่าคุณไม่มีอะไรจะพูดกับฉัน งั้นฉันวางสายแล้วนะ อีกเดี๋ยวจะเข้าเรียนแล้ว]

เฉินเฉินลังเล แต่เมื่อได้ยินคำที่เหอมี่มี่พูดก็ยิ่งรู้สึกร้อนรน [มี่มี่ พวกเราเจอกันหน่อยได้ไหม? ผมมีเรื่องอยากขอให้คุณช่วย]

[แต่ว่า คุณทิ้งแหวนหมั้นไปแล้ว ตอนนี้พวกเรา… ยังมีความสัมพันธ์อะไรอยู่อีกเหรอ?] น้ำเสียงของเหอมี่มี่ไม่พอใจ

[หรือคุณอยากจะขอคืนดีกับฉัน?]

เฉินเฉินที่ถูกถามนิ่งไปครู่หนึ่ง

แน่นอนว่าเขาไม่ได้หมายถึงการคืนดีกัน แค่อยากขอยืมเงิน!

[ไม่ใช่เรื่องนั้น พวกเรามาเจอกันก่อนเถอะ]

เหอมี่มี่สูดหายใจเข้า [งั้นพวกเราก็ไม่ต้องเจอกันอีกแล้ว ไม่มีความหวังจะได้ไม่ผิดหวัง เฉินเฉิน คุณบอกว่ามาหาฉันเพราะอยากให้ฉันช่วย ในเมื่อคุณไม่ใช่แฟนของฉันแล้วทำไมฉันต้องช่วยคุณด้วย]

เสียงวางสายดังขึ้น เฉินเฉินรู้สึกราวกับว่าถูกตบหน้าอย่างแรง

เขานั่งลงตรงเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างของชั้นวางดอกไม้ มองกลุ่มคนที่พูดคุยและหัวเราะซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักด้วยความรู้สึกไร้ค่า

ใช่สิ มีสิทธิ์อะไร?

ใครจะยอมให้เงินของตัวเองไปง่าย ๆ กันล่ะ?

นั้นมันเงินเจ็ดล้านเลยนะ! ตอนนี้เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเหอมี่มี่ ทำไมตระกูลเหอต้องยอมช่วยเขาด้วย?

เฉินเฉินเอามือปิดใบหน้าด้วยความเจ็บปวด ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี

“ประธานเฉิน?”

จู่ ๆ ก็มีชายร่างอ้วนสวมสร้อยทองเส้นใหญ่เรียกขึ้นอย่างไม่แน่ใจ

เฉินเฉินเงยหน้าก็พบว่านั่นคือนักลงทุนที่เคยกินข้าวร่วมกันมาก่อน รูปร่างดูอ้วนท้วนสมบูรณ์ สิ่งสำคัญก็คือชอบมั่วกับผู้หญิงไปทั่ว

ตอนนั้นอีกนิดเดียวซูโย่วอี๋เองก็เกือบถูกเจ้าอ้วนคนนี้ลวนลามตอนอยู่ที่ร้านเหล้า ยิ่งไปกว่านั้นคือ เจ้าอ้วนนี่ข่มขู่เขาด้วยเรื่องการลงทุน และให้ซูโย่วอี๋ไปนอนกับตัวเอง

แน่นอนว่าเฉินเฉินไม่ยินยอม เจ้าอ้วนคนนี้เลยไม่ได้ลงทุนกับบริษัทเฉินอี้

เฉินเฉินลุกขึ้นยืน มองดูผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเจ้าอ้วนนี่และยิ้มอย่างมืออาชีพ “ประธานหลี่ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

มือของเจ้าอ้วนนี่วางไปทั่วเรือนร่างของผู้หญิง ปากก็ไม่หยุดที่จะเยาะเย้ย “ได้ยินมาว่าช่วงนี้คุณเป็นหนี้ธนาคารอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่ว่าบริษัทคุณจะเจ๊งไปแล้วเหรอ”

ใบหน้าของเฉินเฉินฝืนยิ้มต่อไปไม่ไหว “ประธานหลี่ไม่ต้องสนใจกับเรื่องนี้หรอก”

เจ้าอ้วนคนนี้มองเขาขึ้นลงอย่างรังเกียจ และพูดกับผู้หญิงในอ้อมแขน “อ่า คนพวกนี้ดูแต่ภายนอกไม่ได้ จะว่าไปแล้วภรรยาเก่าของคุณช่างเป็นคนที่น่าทึ่งจริง ๆ หึหึ น่าเสียดาย ตอนนี้ก็ตามลู่เฉินไปซะแล้ว”

ด้วยตำแหน่งที่แตกต่างกัน เฉินเฉินจึงทำได้แค่มอง

แต่กำปั้นกลับกำแน่น “ประธานหลี่ ผมมีธุระไม่รบกวนคุณแล้ว

เขาหันหลังและเดินจากไป

“เขาเอาอะไรมานับว่าเป็นประธาน เป็นหนี้ตั้งเยอะอีกไม่นานก็คงต้องนอนข้างถนน” หญิงสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดูถูก

ประธานหลี่หัวเราะเสียงดัง “แบบนี้สิผมถึงชอบคุณมากที่สุด”

เฉินเฉินเดินไปอย่างไร้จุดหมายบนถนนสายใหญ่สักพัก ตอนที่ถือโทรศัพท์ขึ้นมา เขาก็รับรู้ถึงการยอมรับชะตากรรมและความท้อแท้อย่างอธิบายไม่ได้ [มี่มี่ พวกเราแต่งงานกันเถอะ]

เป่ยสืออี้ผิน

ทางขึ้นลิฟต์ ซูโย่วอี๋พบว่ารองเท้าของซูหยินวางอยู่ตรงหน้าประตู เลยเดาได้เลยว่าเธอมาถึงแล้ว

วันแรกที่ย้ายเข้ามาในบ้านนี้ ซูโย่วอี๋ก็บอกรหัสเข้าบ้านให้กับซูหยินเรียบร้อย และให้เธอมาได้ทุกเมื่อที่มีเวลา

พอเปิดประตูออกก็พบกับซูหยินที่กำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟา เมื่อได้ยินเสียงจึงลุกขึ้นนั่ง “ที่รัก ในที่สุดเธอก็กลับมาแล้ว”

ซูโย่วอี๋เปลี่ยนรองเท้า “ฉันไปบริษัทมา เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาตัวเองในอนาคต และก็เซ็นสัญญากับรายการวาไรตี้ด้วย”

“รายการไหน?”

“ ‘วัยรุ่นสู้ฝัน’ รายการเซอร์ไวเวิลวงเกิร์ลกรุ๊ปน่ะ”

ซูหยินจับจ้องไปยังริมฝีปากของซูโย่วอี๋ ก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะแบบหยอกล้อออกมา “โย่วโย่ว พลังของแฟนหนุ่มอย่างประธานลู่นี่ใช้ได้เลยนะ”

พอได้ยินอย่างนั้นใบหน้าของซูโย่วอี๋ก็แปรเเเปลี่ยนเป็นสีแดง แกล้งทำเป็นไม่รู้และพูดออกไปว่า “อะไร”

“จูบปากจนปากแตกไปหมด ท่าทางจะดุเดือดมากเลยนะ”

ซูโย่วอี๋เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลู่เฉินกัดปากของเธอ และตอนนี้ก็ยังเจ็บอยู่นิดหน่อย

คงไม่ใช่ว่าซูหยินมองเห็นหมดแล้วนะ

ซูหยินพูดแซวอยู่พักหนึ่ง และรู้ว่าเพื่อนของเธอขี้อาย จึงไม่ได้แซวอะไรมาก “ตอนนี้ผู้กำกับสวีกำลังเริ่มเตรียมละครเรื่องใหม่ ฉันวางแผนว่าจะไปแคสติงบทในเรื่องนั้น”

ตอนนี้งานทั้งหมดของเธอถูกฮัวจิงระงับเอาไว้ ซูหยินจึงตัดสินใจว่าจะไม่นั่งรอเฉย ๆ อีกต่อไป เธอจะต้องเริ่มการโจมตีบ้าง

ชื่อเต็มของผู้กำกับสวีก็คือสวีโหมว เป็นหัวหน้าผู้กำกับภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ นอกจากเป็นคนเบื้องหลังแล้ว ยังเป็นคนที่มีอารมณ์ร้ายกาจมาก เขาใช้งานคนโดยไม่สนใจตำแหน่ง ขอเพียงเหมาะสมกับบทบาท เขาก็จะรับไว้ แต่ถ้าไม่เหมาะสมต่อให้เป็นเจ้าชายมาเขาก็ไม่สนเด็ดขาด

และมีเพียงความดื้อรั้นแบบนี้เท่านั้นที่สามารถทนกับแรงกดดันจากฮัวจิงได้!

แน่นอนว่าซูโย่วอี๋เองก็เห็นด้วย หากสามารถถ่ายละครของผู้กำกับสวีได้ ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงระดับไหนก็ถือได้ว่าคุณเป็นคนที่โด่งดังแล้ว

เหล่าผู้ติดตามต่างพากันเรียกนางเอกที่ผู้กำกับสวีใช้งานมาก่อนว่า ‘ผู้หญิงของโหมว’

“ละครเรื่องอะไร?”

“ ‘รักในฝัน’ ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อเดียวกัน นวนิยายโด่งดังมาก ได้รับความนิยมจากผู้คนมากมาย บวกกับชื่อเสียงของผู้กำกับสวี หลังจากข่าวการสร้างละครเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ก็ต่างถูกศิลปินจากบริษัทใหญ่ ๆ จับตามอง”

การแข่งขันอันดุเดือด โอกาสที่จะถูกเลือกก็น้อยมาก แต่ซูหยินก็ยังอยากไปลองดู

ติ๊ง!

[ประกาศภารกิจ: ขอให้ซู่จู่เข้าร่วมการแคสติงบทนางรองจากละครโทรทัศน์เรื่อง ‘รักในฝัน’ และประสบความสำเร็จในการรับบทบาท เข้าสู่ทีมถ่ายทำได้]

!!!

เสียงของระบบที่หายไปนานดังขึ้น ซูโย่วอี๋นิ่งไปสักครู่ก่อนจะตอบกลับ

ระบบอยากให้เธอไปถ่ายละครเหรอ?

งั้นเธอก็จะกลายเป็นคู่แข่งของซูหยินน่ะสิ?

ซูโย่วอี๋ยืนคิดทบทวนอยู่ที่เดิมสักพัก “หยินหยิน คุณอยากเข้าร่วมแคสติงบทไหน?”

“บทกู้ชิงเฉิง ที่เป็นนางเอก”

อ่า ยังดี

ซูโย่วอี๋ถอนหายใจออกมา และพูดขึ้น “ฉันอาจจะไปเข้าร่วมแคสติงบทนางรอง”

เมื่อได้ยินว่าเธอจะเข้าร่วม ซูหยินดีใจมาก “งั้นก็ขออวยพรล่วงหน้าให้พวกเราสองคนผ่านการแคสติง และได้เล่นละครเรื่องเดียวกันนะ”

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ควรต้องฉลองด้วยอาหารมื้อใหญ่!”