บทที่ 143 ทั้งเล่มนี้คือประเด็นหลัก

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 143 ทั้งเล่มนี้คือประเด็นหลัก

บทที่ 143 ทั้งเล่มนี้คือประเด็นหลัก

ซูหยินยืนตะโกนอยู่บนพื้นด้วยเท้าเปลือยเปล่าทั้งสองข้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส

เวลาที่พวกเธอสองคนอยู่ด้วยกัน มักจะมีความสุขจากอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ

ซูโย่วอี๋ดื่มน้ำไปสองอึก “หยินหยิน ฉันจำได้ว่าเหมือนเมื่อก่อนเธอไม่ชินกับการไม่ใส่รองเท้านี่”

ซูหยินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะก้มลงมองสองเท้าเปลือยเปล่า ตั้งแต่ที่เธออยู่กับฮัวจิง เวลาอยู่บ้านก็ไม่เคยสวมรองเท้าเลย

เพียงเพราะว่าฮัวจิงชอบมองท่าทางการเดินด้วยเท้าเปล่าของเธอ จึงได้หาคนมาปูพรมเอาไว้ทั่วทุกที่ในบ้าน ในฤดูหนาวเป็นขนเฟอร์ ถ้าในในฤดูร้อนก็จะเป็นผ้าฝ้ายผ้าลินิน และคอยจัดคนมาทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อเวลาผ่านไป ซูหยินจึงเริ่มชอบความสุขที่ไม่ต้องใส่รองเท้า

แต่แล้วเธอก็ตื่นจากภวังค์อย่างรวดเร็ว “อืม อย่างที่ที่รักว่า ต่อไปฉันจะกลับมาใส่รองเท้า”

แม้ซูโย่วอี๋จะถามขึ้นเฉย ๆ และไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลงความเคยชินในชีวิตของซูหยิน

แต่ขณะนั้นในโทรทัศน์กำลังถ่ายทอดการโปรโมตสำหรับการแคสติงนางเอกเรื่อง ‘รักในฝัน’ ที่จะมีการจัดงานแคสติงในหกเมืองหลักและออกอากาศพร้อมกันทั่วประเทศ

ในอีกครึ่งเดือน จนถึงตอนนี้ทีมผู้อำนวยการได้รับรายชื่อผู้สมัครมากกว่าหนึ่งหมื่นคน

ซูโย่วอี๋ไม่ค่อยเข้าใจ “ศิลปินที่เดบิวต์แล้วยังต้องเข้าร่วมการแคสติงเหมือนคนทั่ว ๆ ไปด้วยเหรอ?”

“ไม่ต้อง คนที่เป็นศิลปินอยู่แล้วสามารถข้ามขั้นตอนการคัดเลือกเบื้องต้นและเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายได้เลย”

ละครเรื่องนี้เป็นละครการเดินทางข้ามเวลาแบบคลาสสิก นางเอกเป็นนักโบราณคดีในยุคปัจจุบัน ระหว่างการขุดค้นทางโบราณคดีเธอข้ามเวลาไปยังร่างของกู้ชิงเฉิงบุตรสาวของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เซี่ยผู้ยิ่งใหญ่ คลิปแคสติงคือตอนที่นางเอกอยู่ในวัยเข้าร่วมพิธีบรรลุนิติภาวะ เธอเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์เซี่ยและเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถโดดเด่น เป็นฉากที่ต้องทำให้ทุกคนประหลาดใจ

และมีข้อกำหนดว่านางเอกนั้นต้องหน้าตาสะสวย ฉลาด เป็นคนที่มีชีวิตชีวา มีไหวพริบ ในขณะเดียวกันนั้นจะต้องมีความเหมาะสมกับพระเอกด้วย

พูดถึงเรื่องหน้าตาสะสวย แน่นอนว่าซูหยินไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพียงแค่ไม่รู้ว่านี่จะเป็นความงามในแบบของผู้กำกับสวีหรือไม่

สำหรับด้านการแสดงถึงจะแย่กว่านักแสดงรุ่นเก่าไปหน่อย แต่ในหมู่ดอกไม้พวกนั้นก็ถือว่าเธอค่อนข้างโดดเด่น อย่างน้อยประเด็นความขัดแย้งเกี่ยวกับซูหยินบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่เกี่ยวกับทักษะด้านการแสดง

ซูโย่วอี๋ไม่ได้กังวลในตัวของซูหยินเท่าไหร่ ตรงกันข้ามกับนักแสดงหน้าใหม่อย่างเธอ ทั้งที่เพิ่งมาใหม่ก็คิดจะแย่งชิงบทนางรองซะแล้ว ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

รอจนการโปรโมตสิ้นสุดลง ซูโย่วอี๋ก็ยังไม่เห็นเลยว่าบทบาทอื่น ๆ เขามีการคัดเลือกกันยังไง

ซูหยินเห็นว่าเธอไม่ค่อยรู้เรื่องการแคสติง “บทบาทอื่น ๆ ต้องแคสติงแบบส่วนตัว ข้อมูลเบื้องต้นแบบนี้สุ่ยเวยไม่ได้บอกเธอเหรอ?”

ด้วยความเป็นมืออาชีพของสุ่ยเวยไม่น่าจะเป็นไปได้นี่นา

สีหน้าของซูโย่วอี๋เขิน ๆ “ฉันตัดสินใจเข้าร่วมการคัดเลือกบทนางรองแบบกะทันหัน ยังไม่ได้บอกกับบริษัทเลย”

ซูหยินหัวเราะออกมา “ที่รัก ทำไมเธอน่ารักจัง เธอเซ็นสัญญาเป็นศิลปินไปแล้ว ทุกงานของเธอจะต้องให้บริษัทเป็นฝ่ายจัดการ ไม่สามารถตามใจตัวเองได้นะ”

“แต่ยังไงซะถ้าเธออยากไปแคสติง พวกเขาก็ไม่มีทางรั้งเธอไว้แน่ รีบคุยกับสุ่ยเวยเรื่องนี้ซะ เธอจะได้ช่วยจัดตารางการแคสติง”

ซูหยินว่าจบ ซูโย่วอี๋ก็รีบโทรหาสุ่ยเวยในทันที

เมื่อได้ยินว่าเธอต้องการเข้าร่วมแคสติงบทบาทนางรองของเรื่อง ‘รักในฝัน’ สุ่ยเวยก็ขมวดคิ้ว [ตั้งแต่เมื่อเช้านี้ ตอนที่พวกเราคุยกันเรื่องการพัฒนาตนเองของคุณ ไม่เห็นคุณแสดงทีท่าว่าอยากถ่ายละครมาก่อนเลยนี่]

สุ่ยเวยหวังว่าศิลปินจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับทิศทางในอนาคต และไม่ใช่การสนใจเพียงชั่วครู่ชั่วคราว อย่างวันนี้อยากทำอันนี้ หรือพรุ่งนี้อยากทำอันนั้น

สำหรับศิลปินที่เพิ่งเข้าบริษัทมาใหม่อย่างซูโย่วอี๋ สุ่ยเวยให้อิสระกับเธอมามากพอแล้ว หากเป็นศิลปินคนอื่น ๆ หลังจากการประเมินแล้วบริษัทจะกำหนดทิศทางให้เอง โดยที่ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคุณจะชอบหรือไม่

ซูโย่วอี๋ฟังออกว่าในคำพูดของสุ่ยเวยมีความไม่พอใจอยู่ ในใจก็แอบคร่ำครวญ แต่ระบบกลับปัดความรับผิดชอบมาให้เธอ เธอจะไม่รับไว้ได้ด้วยเหรอ?

[พี่เวย ขอโทษนะคะ ฉันยังรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจกับความชอบของตัวเอง แต่ว่าฉันชอบการแสดงจากใจจริง ๆ]

[คุณไม่ต้องขอโทษฉันหรอก คุณแค่ต้องรับผิดชอบต่อทางที่ตัวเองเลือก]

แต่พอนึกถึงลู่เฉิน น้ำเสียงของสุ่ยเวยกลับอ่อนลงเล็กน้อย [คุณแสดงเป็นเหรอ?]

[น่าจะ… เป็นนะ]

สุ่ยเวยรู้สึกเหนื่อยกับความดื้อรั้นของเธอ [ซูโย่วอี๋ การแสดงละครไม่ใช่แค่การท่องตามบทอย่างที่คุณคิด การใช้เสียงก็สำคัญ และจะต้องมีพรสวรรค์ร่วมด้วย ยิ่งเป็นละครของสวีโหมวข้อกำหนดก็ยิ่งสูง ถ้าคุณแค่อยากจะลอง ๆ ไปตามอารมณ์ ฉันแนะนำว่าไม่ควรเสียเวลาเปล่า]

[ฉันจะพยายามค่ะ พี่เวย]

ท้ายที่สุดสุ่ยเวยก็ทำได้เพียงยอมอ่อนข้อ [ฉันจะรีบติดต่อทีมงานผู้กำกับให้ ภาพแคสติงจะถูกส่งให้คุณในภายหลัง ช่วงนี้คุณก็ฝึกซ้อมไปก่อน ถ้าต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก็ให้รีบบอกฉันล่วงหน้า]

หลังจากที่ซูโย่วอี๋กล่าวคำขอบคุณจากใจไปแล้วก็วางสาย

ซูหยินคล้องคอของเธอ “จะกลัวอะไร สุ่ยเวยไม่มีทางปฏิเสธคำขอของเธอหรอก”

ซูโย่วอี๋ส่ายหัว เธอหวังว่าจะใช้ความสามารถของตัวเองเอาชนะผู้หญิงแข็งแกร่งอย่างสุ่ยเวย ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของเธอกับลู่เฉิน

ทั้งสองคนกินข้าวเที่ยงกันอย่างง่าย ๆ พร้อมทั้งวางแผนเรื่องการซ้อมเพื่อการแคสติง

การคัดเลือกนางเอกอย่างกู้ชิงเฉิงผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ห่างจากการคัดเลือกรอบสุดท้ายไปอีกแค่สองสามวัน ตั้งแต่ที่ซูหยินได้รับข้อมูลการคัดเลือกไปก็เริ่มการฝึกฝนทันที จึงคุ้นเคยกับคลิปแคสติง

และตอนนี้ก็กำลังฝึกฝนอีกครั้งในห้องนั่งเล่น โดยให้ซูโย่วอี๋แสดงเป็นพระเอก ที่ยืนอยู่ราวกับท่อนไม้

แต่นั่นกลับไม่มีผลกระทบอะไรกับซูหยินเลย เพราะท่าทางของเธอนั้นดูดีมาก

ในพิธีคำนับเพื่อบรรลุนิติภาวะของเด็กสาว เธอเงยหน้าขึ้นและยกยิ้ม ด้วยความงามราวกับเทพธิดาแห่งสรวงสวรรค์

นี่เป็นเพียงการแสดงที่ยังไม่มีเครื่องแต่งกายใด ๆ แต่ก็เพียงพอให้รู้ว่าซูหยินทุ่มเทกับมันมากแค่ไหน

ซูโย่วอี๋ตบมือ “หยินหยิน เธอแสดงได้ดีมาก เก่งจัง”

การแสดงของซูหยินจบลงและเธอก็กลับมาทำท่าทางอิดโรย “ที่รัก เธอเคยอ่านนิยายรักในฝัน มาก่อนมั้ย?”

“ไม่”

“งั้นเธอก็ไม่เข้าใจในตัวละครน่ะสิ ถึงฉันจะพยายามอย่างมากเพื่อเข้าใจในบทบาทของกู้ชิงเฉิง แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองยังแสดงได้ไม่ดีพอ”

เมื่อพูดจบ กลับกลายเป็นซูโย่วอี๋ที่ดูหม่นหมอง “งั้นเธอรอฉันก่อน ฉันจะรีบอ่านนิยายให้จบเร็ว ๆ”

แบบนี้จะได้ช่วยในการแคสติงบทนางรองของตัวเองด้วย

ในเมื่อเธอบอกว่าจะอ่านก็รีบอ่านในทันที ซูโย่วอี๋รีบเปิดหานิยายเรื่องรักในฝันในอินเทอร์เน็ต ในบทนำได้รับการทำเครื่องหมายด้วยป้ายกำกับของภาพยนตร์และโทรทัศน์แล้ว

ซูโย่วอี๋กดเข้าไปอ่านได้ไม่กี่ตอนก็รู้สึกถูกดึงดูด ลักษณะการเขียนของผู้เขียนมีสวยงามและมีอารมณ์ขบขัน พอบรรยายถึงความรักระหว่างพระเอกกับนางเอกก็ทำเอาคนดูฟินไปตาม ๆ กันจนไม่สามารถหยุดได้

เมื่อก่อนเธอไม่ชอบอ่านนิยาย นี่เป็นหนังสือเล่มแรกที่มีความหมายมาก ซูโย่วอี๋อ่านทุกตัวอักษรทุกประโยคอย่างเชื่องช้า

ตลอดช่วงบ่าย เธอเพิ่งอ่านไปได้แค่สามสิบกว่าตอน แต่ก็ยังไม่มีในส่วนของบทนางรองเลย

“นางรองปรากฏตัวออกมาช้าจัง แล้วพระรองออกมาหรือยัง?”

ซูหยินขมวดคิ้ว “ไม่บอกหรอก เธอต้องดูเอาเอง”

“แล้วนางรองมีคู่เป็นของตัวเองหรือป่าว?”

“มีสิ”

อ่านไปสักพัก ซูโย่วอี๋ร้องครวญครางราวกับแมวน้อย “อ่า ฉันอยากรู้จัง”

เนื้อเรื่องตอนนี้ไปถึงเรื่องราวในราชวงศ์เซี่ยแล้ว

แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นสุ่ยเวยที่ส่งข้อความมา [เวลาการแคสติงคือวันพุธหน้า ครั้งนี้คลิปการแคสติงบทนางรองจะถูกเก็บเป็นความลับ และจะถูกเผยแพร่ในวันแคสติงจริง ครั้งนี้ก็ทำให้ดีที่สุดล่ะ]

ซูโย่วอี๋ยิ้มอย่างขมขื่น ครั้งนี้เธอตายแน่

เหมือนกับนักเรียนที่ไม่รู้เรื่องอะไรและรอครูบอกแนวข้อสอบตอนปลายภาคเรียนให้ แต่ผลสุดท้ายครูก็ทำได้เพียงโบกหนังสือไปมาแล้วบอกว่า ‘ทั้งเล่มนี้คือประเด็นหลัก!’

ประเด็นคือนักเรียนทำได้แค่ท่อง แต่เธอไม่เพียงต้องท่อง แต่ยังต้องแสดงด้วย!