ตอนที่ 436 ท่องไปทั่วโลก

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 436 – ท่องไปทั่วโลก

 

    บุปผาวสันต์จันทราสารทผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสิบปีแล้ว

    ในระยะเวลาสิบปีนี้ โม่เทียนเกอเดินท่องทวีปอวิ๋นจง เริ่มจากเมืองเล็กทิศเหนือ เมืองที่พอจะมีขนาดในอาณาจักรตงถังล้วนถูกนางเดินทางไปทีละเมือง จากนั้นไปยังอาณาจักรหนานโจว พบเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่พุทธขงจื้อพึ่งพาอาศัยกัน สุดท้ายไปยังภาคตะวันตก ใช้ชีวิตอยู่ที่แผ่นดินอนารยชนภาคตะวันตกหลายปี ผูกมิตรกับชาวเผ่าเหล่านั้น ยิ่งได้ฟังตำนานแปลกพิสดารมากมาย

    ในสิบปีนี้ นางใช้ชื่อเยี่ยเสี่ยวเทียนสร้างชื่อเสียงเอาไว้ไม่น้อย ผู้ฝึกตนระดับสูงของตงถัง, หนานโจวสองอาณาจักรผูกมิตรกับนางจำนวนมาก ล้วนเอ่ยว่านางระดับการฝึกตนสูงส่งลึกล้ำ พฤติการณ์ผ่าเผย เป็นคนที่น่าคบหา ก็มีบางคนเห็นนางอายุเยาว์วัยและมีสมบัติมากจึงเกิดจิตละโมบ แต่ล้วนถูกนางทำลายสิ้น

    สิบปีผ่านไปในพริบตา นางหันหน้ากลับมาอย่างปุบปับจึงได้ค้นพบว่าการเก็บเกี่ยวที่ตนเองเดินท่องอวิ๋นจงสิบปีนี้ เทียบกับการฝึกตนหลายสิบปีในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนยังมากกว่าเยอะ

    สถานที่ที่เดินทางมาก เรื่องราวที่ได้ฟังก็มาก ปัจจุบันนี้ความเข้าใจที่นางมีต่ออวิ๋นจงเทียบกับผู้ฝึกตนอวิ๋นจงจำนวนมากแล้วยังลึกล้ำกว่ามากมาย ลมฝนนับสิบปี การเปิดโลกทัศน์นับสิบปี ขยายขอบเขตสายตาของนาง ทำให้นางเข้าใจประสบการณ์ฝึกตนของโม่เหยาชิงอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย

    โม่เหยาชิงของปีนั้น ระดับการฝึกตนทั้งร่างถูกทำลาย ซ่อนกายในโลกปุถุชน ร่อนเร่ในอวิ๋นจง ไม่รู้ว่ากินกลืนความทุกข์ยากไปมากน้อยเพียงไร สุดท้ายฝึกจิตวิญญาณใหม่สำเร็จ ประสบการณ์ส่วนนี้มอบความตระหนักรู้ให้นางมากมาย เขียนลงไปรวมกับประสบการณ์การฝึกตน ทว่าโม่เทียนเกอในอดีตถึงจะมีประสบการณ์ไม่น้อย แต่ถึงที่สุดแล้วไม่ได้มีความตระหนักรู้ที่ลึกซึ้งนั้นอย่างโม่เหยาชิง จนกระทั่งขณะนี้ นางเดินไปบนเส้นทางที่โม่เหยาชิงเคยเดินผ่าน เห็นเรื่องที่นางเคยเห็น ฟังตำนานที่นางเคยฟัง ความตระหนักรู้ที่ได้ประสบเหล่านั้นจึงหลอมรวมกับความคิดของตนเองอย่างช้า ๆ กลายเป็นของของตนเอง

    โม่เทียนเกอเดิมมีคุณสมบัติดีเยี่ยม คนมีจิตใจมั่นคงยิ่ง แล้วยังไม่ขาดแคลนโอสถวิเศษ หลอมรวมความตระหนักรู้เหล่านี้แล้ว ถึงนางจะเพียงฝึกตนเป็นกิจวัตรทุกวัน ไม่เคยจะกักตน ระดับการฝึกตนก็ยังคงพัฒนาอย่างรวดเร็ว

    ในสิบปี ระดับการฝึกตนก่อเกิดตานขั้นปลายของนางไม่เพียงมั่นคง แต่ยังไปถึงจุดสูงสุดของขั้นปลาย ห่างจากขั้นเต็มเพียงเศษเสี้ยวเดียว

    ฝึกตนมาถึงขอบเขตนี้ โม่เทียนเกอกลับไม่รีบแล้ว ขอเพียงไม่เกิดอุบัติเหตุ ฝึกตนอย่างมั่นคงเช่นนี้ต่อไป การที่นางจะผูกจิตวิญญาณก่อนสองร้อยปีก็เป็นเรื่องที่แน่นอน ถึงเวลาจะอาศัยความแข็งแกร่งอันแกร่งกร้าวข้ามทะเลใต้ กลับไปยังเทียนจี๋ 

    สิบปีนี้ อย่างที่คาดการณ์ไว้ ไม่ได้ยินทางลัดกลับไปยังเทียนจี๋เลย ด้วยเหตุนี้ นางได้แต่วางแผนดี ๆ หากถึงช่วงเวลาสุดท้ายยังคงไม่มีความหวัง เช่นนั้นก็จะฝืนข้ามทะเลใต้

    เมื่อมีเป้าหมายนี้ ในหลายปีต่อจากนั้นนางมุ่งสอบถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทะเลใต้ตลอดเวลา

    ทะเลใต้ของเทียนจี๋ ที่อวิ๋นจงเรียกเป็นทะเลเหนือ มีคนรู้จักน้อยเหมือนกัน ถึงแม้ทะเลนี้ไม่ได้เร้นลับไปกว่าทะเลกุยสวี ส่วนที่อันตรายกลับไม่ด้อยกว่าในทุก ๆ ด้าน เหล่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่นางผูกมิตรด้วยล้วนไม่ค่อยรู้จัก มีผู้สูงวัยบางคนเคยได้สัมผัสถึงความอันตรายของทะเลนี้ พอเอ่ยขึ้นมาก็ล้วนแต่สั่นศีรษะเป็นการใหญ่ แจ้งว่า หากมิใช่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่ระดับการฝึกตนสูงส่งลึกล้ำณานศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ เข้าไปในทะเลนี้แล้ว กว่าครึ่งไม่สามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดถัย

    โม่เทียนเกอไม่ได้ปล่อยวางความหวัง หลายปีต่อจากนั้นก็ไม่ใช่ว่าไร้ผลโดยสิ้นเชิง

    ตัวอย่างเช่น อวิ๋นจงมีต้นไม้ชนิดหนึ่ง เรียกว่าไม้แกนเหล็ก ต้นไม้นี้เติบโตขึ้นพันปีจะกลายเป็นไม้แกนเหล็กดำ ไม้แกนเหล็กดำนี้แข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ ไม่เพียงเหล็กธรรมดาแทงไม่เข้า แม้แต่ทักษะเวทก็ไม่อาจทำร้าย หากใช้สิ่งนี้ต่อเรือ จะสามารถต้านทานลมคลั่งคลื่นโหม

    เมื่อรู้เรื่องนี้ นางล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนภาคตะวันตก สุดท้ายเสาะหาจนได้ไม้แกนเหล็กดำหนึ่งต้น ต่อไม้นี้ให้กลายเป็นเรือ 

    นอกจากเรื่องของตนเอง สิบปีมานี้ ความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในอวิ๋นจงก็น่าสนใจยิ่ง

    หนึ่งคือวัดเขาไป๋ฝูยึดวัตถุศักดิ์สิทธิ์แหฟ้าตาข่ายดินกลับไป พลังอำนาจเพิ่มพูนอย่างมาก สองคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักจิ่วเยี่ยนไข่มุกเทพต้องห้ามเริ่มกลายเป็นที่ล่วงรู้ของทุกคน สามคือบันทึกไร้นามปรากฏบนโลกก่อนหน้านี้ไม่นาน ก่อให้เกิดการแย่งชิงอีกรอบหนึ่ง เช่นนี้เอง บวกกับเจดีย์มารสวรรค์ของหลายสิบปีก่อน วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นถึงกับปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องสี่ชิ้น

    ด้วยเหตุนี้ ข้อมูลที่ว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นที่ห้าคือกระบี่ฝูเซิงก็ไม่ใช่ความลับอีกแล้ว ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานไม่กี่คนที่เคยเห็นกระบี่ฝูเซิงหัวเสียอย่างมาก พวกเขาถึงกับมองวัตถุศักดิ์สิทธิ์หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา จากนั้น เรื่องที่กระบี่ฝูเซิงตกอยู่ในมือของฉินเวยผู้ฝึกตนหญิงโพ้นทะเลได้แพร่กระจายไปในอวิ๋นจง

    ผู้ฝึกตนโพ้นทะเลที่มาอวิ๋นจงจากแดนไกลและชื่อเสียงไม่ปรากฏผู้นี้กลายเป็นบุคคลที่โด่งดังที่สุดของอวิ๋นจงในทันที สำนักจำนวนมากเริ่มสืบหาตำแหน่งของฉินเวย ในนี้กลุ่มอิทธิพลสามกลุ่มคือสำนักจิ่วเยี่ยน, วัดหัวเหยียน, เมืองกุ่ยฟางกระตือรือร้นที่สุด — พวกเขาสามสำนักมองดูฉินเวยเล็ดรอดออกไปจากใต้เปลือกของตนเองจะ ๆ!

    แต่น่าเสียดายที่ฉินเวยผู้นี้ราวกับจะสาปสูญไปในอวิ๋นจง ไม่ว่าจะหาอย่างไรล้วนหาร่องรอยของนางไม่เจอ ถึงแม้ยอดฝีมือจิตวิญญาณใหม่ออกโรงก็เป็นเช่นกัน

    จึงมีคนพูดว่า ฉินเวยคนนี้เดิมไม่ใช่ประชากรอวิ๋นจง หรือว่าจะกลับโพ้นทะเลไปแล้วกระมัง

    ข้อมูลนี้มีคนมากมายเชื่อถือ มีคนของสำนักจิ่วเยี่ยนแห่งเดียวที่มีความกังขา เพราะว่า หลิงอวิ๋นเฮ่อเจ้าสำนักของพวกเขารู้ว่าเรื่องที่นางมอบหมายให้ตนเองไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยทั่วไป ก่อนที่จะจากไปน่าจะมาเรียกร้องค่าตอบแทนจึงจะถูก แต่ว่า พวกเขาหาไปทั่วก็ไม่เจอ สุดท้ายก็ได้แต่เชื่อแล้ว เหล่าผู้ฝึกตนระดับสูงของสำนักจิ่วเยี่ยนไม่อาจไม่ทอดถอนใจ ฉินเวยผู้นี้ถึงจะเป็นเพียงผู้ฝึกตนสตรีก่อเกิดตาน ความอุตสาหะมุ่งมั่นกลับไม่สามัญ เกรงว่านางจะรู้แล้วว่าในมือตนเองมีกระบี่ฝูเซิง ละทิ้งผลประโยชน์ที่อยู่ใกล้มือทันที หลบหนีไปไกลโพ้นแล้ว

    เรื่องราวเหล่านี้ โม่เทียนเกอรู้บ้างไม่รู้บ้าง สิ่งที่นางรู้คือ ตนเองกลายเป็นบุคคลสำคัญที่ผู้ฝึกตนอวิ๋นจงทุก ๆ คนเสาะหาทว่าไม่พบ แต่หลังจากปลอมรูปเปลี่ยนชื่อกลับไม่มีความตั้งใจจะเข้าไปข้องเกี่ยว

    ทักษะมายาปลอมรูปของนางประสบความสำเร็จมาก ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานมากมายของอวิ๋นจงล้วนรู้จักผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นปลายที่ชื่อเยี่ยเสี่ยวเทียนคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าบัณฑิตเยาว์วัยคนนี้ก็คือฉินเวยที่สร้างคลื่นลมลูกใหญ่ในอวิ๋นจง

    สิ่งที่นางไม่รู้คือ การหายตัวไปของตนเองทำให้เหล่าคนใหญ่คนโตจิตวิญญาณใหม่ของอวิ๋นจงแอบกัดฟันด้วยความโกรธ

    วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นในตำนาน ในช่วงหลายสิบปีนี้ปรากฏขึ้นสี่ชิ้น หากสามารถรวบรวมทั้งห้าชิ้นจะสามารถไปยังทะเลกุยสวีสำรวจจนถึงที่สุด ไม่แน่ว่าจะสามารถเสาะพบเส้นทางแปลงเทพ เผอิญว่าฉินเวยคนนี้กลับพกกระบี่ฝูเซิงหายตัวไปแล้ว ทำให้แผนการของพวกเขาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ต้องทราบว่า วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นหายสาบสูญไปเกือบแสนปีแล้วจึงได้ปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์ หากพลาดครั้งนี้ ครั้งต่อไปก็ไม่รู้ว่าเป็นเมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นไม่ว่าตนเองจะระดับการฝึกตนสูงอีกแค่ไหนก็กลายเป็นกระดูกผุกองหนึ่งแล้ว

    โม่เทียนเกอไม่ได้ตระหนักเลยว่าได้กลายเป็นหนามในดวงตาของเหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ของอวิ๋นจงแล้ว

    “อาจารย์เซียน!” ข้างหลังมีเสียงสดใสดังขึ้นมา

    โม่เทียนเกอชะงักฝีเท้า หมุนตัวกลับไป มองเห็นเด็กสาวที่สวมชุดชนเผ่าตะวันตกนางหนึ่งเร่งฝีเท้าวิ่งมาหาตนเอง กำไลเงินบนข้อมือส่งเสียงติง ๆ ตัง ๆ ทุกย่างก้าวล้วนเป็นบทเพลง

    “อาจารย์เซียน!” เด็กสาวหยุดอยู่เบื้องหน้าของนาง เงยใบหน้าสีแดงกล่ำจ้องมองนาง “ท่านจะไปแล้วหรือเจ้าคะ”

    โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ มองดูเด็กสาวเบื้องหน้า “อาอี เจ้ามาทำไมรึ”

    เด็กสาวก้มหน้าลง กำผมเปียของตนเอง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเงยหน้าใหม่ จ้องมองนางด้วยสายตากระจ่างสดใสว่า “อาจารย์เซียน ข้าตามไปกับท่าน ดีหรือไม่เจ้าคะ”

    โม่เทียนเกอได้ยินแล้วอึ้งไป “เจ้า……”

    “อาจารย์เซียน” บนใบหน้าของเด็กสาวเจือความเขินอาย แต่ก็มุ่งมั่น “ข้าชอบท่าน ดังนั้นข้าอยากตามไปกับท่าน!”

    “……” โม่เทียนเกอยิ้มขม อดแตะใบหน้าไม่ได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ในช่วงสิบปี นางเดินทางผ่านสถานที่มากมาย บ่อยครั้งจะมีเด็กสาวแสดงความรู้สึกต่อนาง ทำให้นางหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้จริง ๆ

    ตอนที่นางแต่งกายเป็นสตรี ถึงแม้ว่ามีบุรุษที่มีความรู้สึกดี ๆ ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่เคยเจอกับการแสดงความรัก แต่แล้วเมื่อนางใช้ทักษะแปลงลักษณ์ปลอมตนเป็นบุรุษ บางครั้งบางคราวก็จะดอกท้อผลิบานขึ้นมา นี่ทำให้นางคิดแล้วคิดอีกก็ยังไม่เข้าใจ หรือว่าอันที่จริงแล้วนางเหมาะจะเป็นบุรุษมากกว่า? หรือก็คือ แกล้งเป็นบุรุษแกล้งได้ประสบความสำเร็จเกินไปแล้ว หนังหน้าอันนี้ก็หล่อเหลาเกินไป…… แต่จะให้นางปลอมตัวเป็นเฒ่าชราผุกร่อน นั่นก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำ

    “อาอี ข้าพาเจ้าไปไม่ได้” นางพูด “เจ้ากลับไปเถอะ ที่นี่เป็นบ้านของเจ้า”

    “เพราะอะไรเจ้าคะ” เด็กสาวชนเผ่าตะวันตกเบิกตากว้าง “พวกเราเด็กสาวของชนเผ่าตะวันตก มีคนที่ชอบล้วนจะออกจากบ้าน!”

    “แต่ข้า……” นางเว้นวรรค พูดอย่างอ่อนโยนทว่าเฉยเมยว่า “แต่ข้าไม่ได้มีความรู้สึกชายหญิงกับเจ้า ดังนั้นข้าพาเจ้าไปไม่ได้”

    “เอ๊ะ?” ปฏิเสธตรง ๆ อย่างนี้ทำให้อาอีชะงักอยู่กับที่ ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงหาเสียงของตนเองเจอ “อาจารย์เซียน……ท่าน ไม่ชอบข้าสักนิดเลยหรือเจ้าคะ ท่านไม่ใช่พูดว่าข้าน่ารักมากหรือ ท่านยังพูดว่า อยู่กับข้าแล้วมีความสุขมาก……”

    โม่เทียนเกอตะลึง แบบนี้หรือที่ทำให้นางเข้าใจผิด? จะว่าไปแล้ว เป็นนางเองที่ไม่ได้เว้นระยะห่าง ในใจยังนึกว่าตนเองเป็นสตรี ตอนที่พูดวาจาเหล่านี้ไม่เคยคิดว่าจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิด นางถอนหายใจ “น่ารักกับรักไม่เหมือนกัน อาอี เจ้ากลับไปเถอะ พวกเราจะไม่เจอกันอีกแล้ว”

    พูดจบแล้ว นางหมุนนตัว โบกแขนเสื้อ กลายเป็นแสงหลบหนีโดยไม่บอกไม่เล่า พุ่งไปอย่างรีบร้อน

    “อาจารย์เซียน!” เด็กสาวกระวนกระวายมาก กำไลเงินดังติง ๆ ตัง ๆ เร่งฝีเท้าไล่ตามนาง แต่ว่ากำลังของปุถุชนจะตามทันทักษะของเซียนได้อย่างไรเล่า อย่างรวดเร็ว นางก็หาแสงหลบหนีสายนั้นไม่พบอีก อดหมอบลงร้องไห้ยกใหญ่ไม่ได้

    แขนเสื้อปลิวไสว โม่เทียนเกอทิ้งตัวลงบนยอดเขาลูกหนึ่งเบา ๆ ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กสาว อดถอนหายใจคำหนึ่งไม่ได้ ปัดแขนเสื้อนั่งขัดสมาธิ 

    ที่นี่คือชนเผ่าตะวันตก สถานที่ที่อันตรายที่สุดของอวิ๋นจง เขาแล้งน้ำเชี่ยว ทรัพยากรขาดแคลน นั่งอยู่บนยอดเขานี้ทอดมองไป สุดสายตาล้วนเป็นหินเหลืองเปลือยเปล่า ยากจะหาพบร่องรอยของสีเขียว ชาวเผ่าที่อาศัยอยู่ที่นี่ สู้กับฟ้า สู้กับดิน สู้กับสัตว์ดุร้าย เอาชีวิตรอดอย่างยากลำบาก อาจจะเป็นสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายเช่นนี้ที่ทำให้พวกเขามีศรัทธาแรงกล้า คนของที่นี่ล้วนกล้าหาญทว่าเรียบง่ายเยี่ยงนี้

    ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงร้องไห้ของเด็กสาวค่อย ๆ หยุดลง ในที่สุดลุกขึ้นยืน เดินกลับไปทีละก้าว ๆ อย่างเงียบ ๆ

    โม่เทียนเกอมองดูนาง จนกระทั่งแผ่นหลังของนางหายลับไป

    ถึงแม้ว่านางไม่สามารถตอบรับความรัก แต่ความรู้สึกที่หลงใหลและเร่าร้อนเช่นนี้กลับแผดเผานางขึ้นมา

    บุปผาวสันต์ร่วงโรยวายุสารทโชยพัด ปทุมคิมหันต์เหี่ยวเฉาเหมันต์หลับใหล เวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ปีแล้วปีเล่า ชั่วพริบตา ห้าสิบปีผ่านไปในพริบตา

    ตอนที่มาถึงอวิ๋นจง นางไม่เคยคิดว่าจะไม่ได้กลับไปถึงห้าสิบปี ยิ่งไม่คิดว่าทางกลับจะหายาก

    ตอนที่อยู่ด้วยกันรู้สึกเสมอว่าระหว่างพวกเขาเป็นอารมณ์ที่ราบเรียบทว่าราวสายน้ำไหลรินตลอดกาล จนกระทั่งตอนนี้ เพราะเด็กสาวชนเผ่าตะวันตกคนนี้ ทำให้นางค้นพบอย่างกะทันหันว่า ที่แท้ในส่วนลึกของจิตใจก็มีความรักอย่างนี้เช่นกัน ความรักพวกนี้ไม่ได้ร้อนแรงขนาดนั้นเลย แต่นุ่มนวลดุจสุรา คงอยู่ในใจยิ่งนานก็ยิ่งลึกล้ำ

    “ควรจะกลับไปแล้ว” นางกระซิบเสียงแผ่วเบา การเก็บเกี่ยวสิบปีนี้เกินกว่าความคาดหมายของตนเองแล้ว บางทีอาจจะควรเสาะหาสถานที่กักตน พุ่งทะลวงขั้นเต็ม เข้าสู่จิตวิญญาณใหม่ในคราวเดียว เช่นนี้ จะได้อาศัยระดับการฝึกตนที่ล้ำลึกข้ามทะเลใต้

    นางกำมือ ตกลงใจ 

……………….

 

ตอนที่ 437 – ปฏิกิริยาของสาบานเลือด