ตอนที่ 437 – สัมผัสสะท้อนของสาบานเลือด
สำหรับคนธรรมดา ชนเผ่าตะวันตกมีเขาแล้งน้ำเชี่ยว ทุกแห่งหนล้วนเป็นสัตว์ร้าย ไม่ใช่สถานที่อันเหมาะสมจะอยู่อาศัยเลย แล้วก็ย่อมจะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว สินค้ายิ่งย่ำแย่ แม้แต่พ่อค้ายังไม่มา
สำหรับผู้ฝึกตน ชนเผ่าตะวันตกไร้เส้นเลือดวิญญาณที่ยอดเยี่ยม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัสดุฟ้าสมบัติพิภพ, อสูรวิญญาณหญ้าวิญญาณ ดังนั้น นอกเสียจากจะเสาะหาวัตถุที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะจำนวนหนึ่งก็จะไม่ย่างกรายมา
แต่พวกนี้สำหรับโม่เทียนเกอแล้วไม่ได้สำคัญเลย
นั่งอยู่บนยอดเขาอันทุรกันดารของชนเผ่าตะวันตก สัมผัสถึงสายลมหนาวยะเยือกที่พัดผ่าน ลมปราณอันไพศาลและห่างไกลโถมใส่หน้า
นับแสนปีแล้ว นอกจากชาวเผ่าจำนวนน้อย ที่นี่ไม่มีร่องรอยของคนอื่น ยังคงรักษารูปแบบของโบราณกาล ทำให้ความคิดของนางหลอมรวมเข้าไปได้ง่าย
นางนั่งขัดสมาธิ หลับตา สัมผัสถึงลมหวีดหวิวที่พัดผ่านข้างหู รวมทั้งเสียงสวดอันไพเราะของชาวเผ่าในกลุ่มถ้ำในที่ห่างไกล
มิสู้กักตนที่นี่เถอะ ในสมองนางผุดความคิดอย่างนี้ขึ้นมา
ถึงแม้ว่าที่นี่ไม่มีเส้นเลือดวิญญาณ แต่นางมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นี่จะไม่กลายเป็นปัญหาเลย
พอคิดมาก็นั่งสมาธิปรับลมหายใจกันเลย ทำอย่างนี้ไม่สามารถเพิ่มพูนพลังวิญญาณของนางเลย แต่ผลรับในด้านสภาวะจิตใจกลับเป็นสิ่งที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนสู้ไม่ได้อย่างมาก
ลมของชนเผ่าตะวันตกนั้นรุนแรง เฉกเช่นสวรรค์และพิภพที่นี่ ไพศาลห่างไกล ราวกับพัดมาจากยุคสมัยโบราณกาล ไม่มีเสียงรบกวนของโลกธุลี แล้วก็ไม่มีการแก่งแย่งผลประโยชน์
อย่างช้า ๆ จิตใจละลายลงไปในสายลมอย่างนี้ ล่องลอยไปสู่โลกโบราณกาลพร้อมกับสายลม……
อีกาทองร่วงหล่น กระต่ายหยกขึ้นทางบูรพา ทิวาราตรีผันเปลี่ยน วันเวลาผ่านไปทีละวัน ลมม้วนดินเหลืองขึ้นมา ค่อย ๆ ฝังคนที่นั่งอยู่บนยอดเขา
การนั่งสมาธิครั้งนี้ดำเนินไปครึ่งเดือนเต็ม ๆ
ตื่นจากการเข้าฌาน โม่เทียนเกอมองดูดินเหลืองที่สุมบนร่าง หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ถ้านางนั่งสมาธิหลายเดือน ตอนที่ตื่นขึ้นมาเกรงว่าคนอื่นจะถือนางเป็นสุสานร้างแล้ว
โชคดีว่าสำหรับผู้ฝึกเซียนเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย นางสะบัดแขนเสื้อเบา ๆ ดินเหลืองปลิวไปตามลม เสื้อผ้าราวกับของใหม่ หน้าตาไม่หลงเหลือเศษฝุ่นสักนิด
นั่งขัดสมาธิลงบนยอดเขาใหม่ ใบหน้าเจือรอยยิ้ม เพียงรู้สึกเบาสบายไร้ที่เปรียบ
ช่วงเวลาครึ่งเดือนนี้ สภาวะจิตใจของนางมีการหยั่งรู้อีก การหยั่งรู้พวกนี้ทำให้นางมีความตระหนักรู้ต่อประสบการณ์การฝึกตนของโม่เหยาชิงอีกรอบ ถ้าเป็นเช่นนี้ การคิดจะเลื่อนขึ้นเต็มขั้นและแม้กระทั่งจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
แน่นอนว่า ถ้าอยากกักตน เรื่องที่ต้องแก้ไขยังมีมากมาย อย่างเช่นระดับที่เสถียร โอสถที่ปกป้องสภาวะจิตใจรวมทั้งที่กระตุ้นการเลื่อนระดับ ยังมีมาตรการป้องกันบางประการ
การผูกจิตวิญญาณเทียบกับการก่อเกิดตานไม่ได้ ถ้าหากตานแตกแล้วผูกจิตวิญญาณไม่สำเร็จ ระดับการฝึกตนทั้งร่างจะสูญสลาย ดังนั้น หากมีสิ่งไม่ถูกต้อง นางจะต้องยุติการผูกจิตวิญญาณก่อนที่จะทำลายตาน และพอเข้าสู่สภาวะตานแตกแล้วจะต้องผูกจิตวิญญาณให้สำเร็จ — นางไม่อยากจะฝึกตนตั้งแต่แรกอีกครั้ง อย่างนั้นจะต้องยากกว่าตอนนี้มากมาย
นั่งอยู่ครู่หนึ่ง นางล้วงกระบี่หนึ่งเล่มจากในกระเป๋าเอกภพ กระบี่นี้เรียบง่ายหนักอึ้ง เปล่งประกายมัว ๆ มีเสียงวายุอัสนีแผ่วเบา แต่บนนั้นกลับมีปราณมารที่ขจัดไม่ออกพันอยู่โดยรอบ
โม่เทียนเกอมองดูกระบี่เล่มนี้แล้วถอนหายใจ นี่ก็คือกระบี่ฝูเซิงที่ไม่กี่ปีมานี้ทำให้ “ฉินเวย” กลายเป็นเป้าหมายที่ผู้ฝึกตนอวิ๋นจงทุก ๆ คนล้วนอยากเสาะหามาสังหาร
หลายปีมานี้ นางไม่ใช่ไม่คิดจะหาความลับของกระบี่ฝูเซิงออกมา แต่ว่า ไม่ว่านางจะคิดทบทวนอย่างไร กระบี่ฝูเซิงยังเป็นเช่นนี้
กระบี่เล่มนี้ก็ไม่รู้ว่าใช้วัสดุอะไรมาหลอม แข็งแกร่งไร้ที่เปรียบไม่ต้องพูดถึง แม้แต่จิตหยั่งรู้ยังไม่อาจเจาะเข้าไปข้างใน ดังนั้นนางนึกไม่ออกเลยว่ากระบี่เล่มนี้ถูกปราณมารกัดกร่อนจนถึงระดับไหน ถึงแม้ในตำราโบราณของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนจะบอกว่า วารีดับวิญญาณสามารถชะล้างปราณมารสกปรก แต่สิ่งของนี้กลับหาได้ยากบนโลกนี้ ไม่มีเบาะแสสักเศษเสี้ยว
แต่ว่า หลายปีมานี้ นางได้ยินข่าวลือมากมาย ในนั้นมีชิ้นหนึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานส่วนใหญ่เห็นด้วย
สิ่งที่เรียกว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้น พลังอำนาจในฐานะอาวุธเวทของพวกมันไม่ได้สำคัญเลย สิ่งที่สำคัญคือ พวกมันเป็นกุญแจสู่ความลับที่ซ่อนอยู่ที่ทะเลกุยสวี
ในผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเหล่านี้ไม่ได้ขาดศิษย์สำนักใหญ่ โม่เทียนเกอคิดทบทวน ปัจจุบันนี้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายที่อวิ๋นจงแล้ว ข่าวลือนี้มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นจริง
แต่ปัญหาคือ ถึงจะเป็นจริง แล้วนางควรจะใช้ประโยชน์กระบี่ฝูเซิงนี่อย่างไรเล่า
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นนี้เป็นกุญแจสู่สถานที่ลับแห่งหนึ่งของทะเลกุยสวี นี่หมายความหรือไม่ว่า จะต้องเอาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นมารวมเป็นหนึ่งจึงจะสามารถกลายเป็นกุญแจที่แท้จริง
สมมติว่าเป็นจริงตามนี้ ถ้าอยากแก้ความลับนี้ก็ต้องคืนวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นนี้ให้กลุ่มอำนาจฝ่ายหนึ่งครอบครอง หรือไม่ก็คนห้าคนที่ครอบครองวัตถุศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับห้าปราชญ์ของปีนั้น ความแข็งแกร่งพอกัน เลือกจะร่วมมือกัน
“ยุ่งยากจัง……” นางมองกระบี่ฝูเซิง ถอนหายใจ
ข้อแรกไม่ต้องพูด นางผู้ฝึกตนก่อเกิดตานตัวเล็ก ๆ คนเดียวจะอาศัยอะไรไปได้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้น? เกรงว่าพอเผยโฉมก็จะถูกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ใช้ฝ่ามือเดียวตบตาย ส่วนข้อที่สอง ถ้าหากเป็นที่เทียนจี๋จะทำได้อย่างสมบูรณ์ นางมีโรงเรียนเสวียนชิงหนุนหลัง ใครก็ไม่สามารถดูเบา แต่ที่นี่กลับเป็นอวิ๋นจง นางอยู่ที่นี่ไร้รากไร้ฐาน อาศัยอะไรยึดครองตำแหน่งผู้ร่วมมือหนึ่งตำแหน่ง? นอกเสียจาก……นอกเสียจากซือฟุและซือเกออยู่ที่นี่……
พอความคิดนี้ผุดขึ้น นางอดยิ้มขื่นไม่ได้ สถานการณ์ในตอนนี้ นางจะกลับยังกลับไม่ได้ พวกเขาจะปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างไร น่าเสียดาย หากมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มาหนุนหลัง นางสามารถยืนขึ้นมาเรียกร้องแบ่งส่วนน้ำแกงหนึ่งถ้วยได้อย่างสิ้นเชิง ทว่าปัจจุบันนี้ได้แต่ซ่อนตัวเอาไว้ เลี่ยงไม่ให้ถูกคนอื่นฆ่าคนชิงสมบัติ
แต่จะเรียกให้นางส่งมอบกระบี่ฝูเซิงออกไป นางไม่เต็มใจโดยเด็ดขาด กระบี่ฝูเซิงเป็นสิ่งที่นางแลกกลับมาจากมือของคนอื่นอย่างถูกต้อง อาศัยอะไรเรียกให้นางส่งมอบออกไป? คนเหล่านี้ไขความลับของทะเลกุยสวีไม่ออก นางก็ไม่ได้สูญเสียอะไร
อืม…… ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เอากระบี่ฝูเซิงกลับไปเถอะ กลับไปยังเทียนจี๋ ตั้งใจฝึกตน รอจนตนเองความแข็งแกร่งเพียงพอแล้วมาที่อวิ๋นจง ถึงเวลาก็จะมีกำลังที่จะช่วงชิง
โม่เทียนเกอตัดสินใจอย่างใจเย็นไปอย่างนี้ เอากระบี่ฝูเซิงกลับเทียนจี๋ ให้ผู้ฝึกตนเหล่านี้ตีกันหัวร้างข้างแตกที่อวิ๋นจง ตีกันตายก็ไม่เกี่ยวกับนาง ไม่แน่ว่า รอจนตอนที่ระดับการฝึกตนนางก้าวหน้าแล้วมายังอวิ๋นจงอีกครั้ง พวกผู้ฝึกตนระดับสูงของอวิ๋นจงจะมีความแข็งแกร่งลดลงอย่างมากเนื่องจากเข่นฆ่ากันเอง ถึงเวลานางจะแบ่งปันน้ำแกงได้อย่างเปิดเผย แม้กระทั่งยึดครองผลประโยชน์ที่มากขึ้น
คิดเยี่ยงนี้แล้ว นางเอื้อมมือไปลูบตัวกระบี่อันคมกริบของกระบี่ฝูเซิง อาวุธเวทของเกือบแสนปีก่อน แล้วยังถูกกัดกร่อนในแดนมารหลายปีขนาดนี้ ถึงกับยังมีพลังสภาวะเยี่ยงนี้ ทักษะการหลอมอาวุธของฝูเหยาจื่อผู้นี้ช่างน่าทึ่งโดยแท้ ไม่ต้องพูดถึงการฟื้นฟูกระบี่ฝูเซิงสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีต หากนางสามารถร่ำเรียนทักษะการหลอมอาวุธสักส่วนครึ่งส่วนของฝูเหยาจื่อ ชำระอาวุธเวทของตนเองใหม่สักรอบ จะต้องสามารถเพิ่มพลังของอาวุธเวทได้อย่างใหญ่หลวง
น่าเสียดาย ระดับการฝึกตนของนางในปัจจุบันนี้ยังไม่เพียงพอที่จะค้นพบความลับของกระบี่ฝูเซิง
คิดเรื่องพวกนี้จบแล้ว กำลังจะเก็บกระบี่ฝูเซิงจู่ ๆ รู้สึกเจ็บปวดเสียดแทงที่หัวใจ ราวกับว่ามีเข็มหนึ่งเล็มแทงเข้าไปในหัวใจอย่างรุนแรง แทบจะทำให้นางหมดสติในพริบตา
“โอ๊ย……” นางปิดหน้าอก พลังวิญญาณทะลุเข้าไปในเส้นเลือดหัวใจ ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าเส้นเลือดหัวใจปกติดีทุกประการ ไม่มีปัญหาเลย
ทันใดนั้น มีความเจ็บปวดเสียดแทงเกิดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ถึงขนาดทำให้นางเป็นลมไปหลายอึดใจจึงฟื้นขึ้นมา นี่มันเรื่องอะไร
ระหว่างที่มึนงง จู่ ๆ นางตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่นาง เป็นฉินซี! ระหว่างพวกเขาสองคนมีสาบานเลือด สามารถสัมผัสถึงสภาพการณ์ของอีกฝ่าย ตอนที่แต่ละฝ่ายไม่เป็นไร สัมผัสสะท้อนชนิดนี้อ่อนจางมาก แต่หากมีสัมผัสสะท้อนอันกล้าแข็งก็คือในนั้นมีฝ่ายหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส!
เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ นางตื่นตระหนกไปครู่หนึ่ง สัมผัสสะท้อนที่กล้าแข็งเช่นนี้ ถึงขนาดทำให้นางที่อยู่ห่างออกไปเป็นหมื่นลี้สิ้นสติไปชั่วขณะ ฉินซีได้รับบาดเจ็บอย่างไรกันแน่ เขาจะมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่ น่าประหลาด เขาเลื่อนขึ้นเป็นจิตวิญญาณใหม่แล้ว อีกทั้งณานศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่ง สรุปแล้วพบกับอันตรายอะไรจึงทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้
พยายามหายใจให้ตนเองสงบลง โม่เทียนเกอหลับตา สัมผัสสะท้อนถึงสถานการณ์ของฉินซีต่อไป
ถึงจะไม่ได้เจ็บปวดเสียดแทงเยี่ยงเมื่อครู่อีก ความรู้สึกเจ็บปวดกลับมาเป็นระลอกไม่ได้หยุด สรุปว่าเขากำลังทำอะไรนะ หรือว่ากำลังต่อสู้เอาชีวิตรอดกับใครหรืออสูรปีศาจ? ซือฟุเล่า หรือว่าเขาไปที่สถานที่อันตรายอะไรตัวคนเดียวอีกแล้ว
สมองสับสนวุ่นวาย แทบจะระงับความหวาดกลัวไม่อยู่ จากกันห้าสิบปี นางกำลังตั้งตารอคอยการพบกันใหม่ ตอนนี้กลับ…….ความเจ็บปวดเสียดแทงมาอีกครั้ง โม่เทียนเกอปิดหน้าอก รู้สึกเพียงว่าปราณและโลหิตพลิกตลบ ถึงกับระงับไว้ไม่อยู่
เดิมที สัมผัสสะท้อนของสาบานเลือดไม่ได้รุนแรงขนาดนี้ แต่ขณะนี้นางจิตใจสับสน จึงชักนำให้ปราณและโลหิตในร่างตนเองไม่เสถียร
อดทนอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดรู้สึกหวานในลำคอ เลือดพุ่งขึ้นมาเต็มปาก
เลือดไหลออกมาจากมุมปาก หยดลงบนกระบี่ฝูเซิงในมือ ตัวกระบี่อันสว่างดุจหิมะจู่ ๆ เปล่งแสงบาดนัยน์ตาขึ้นมา
โม่เทียนเกอตะลึง ไม่ทันมีปฏิกิริยา กระบี่ฝูเซิงเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาแล้ว กลืนกินนางไปทั้งตัว
“นี่คือ……” หัวสมองราวกับถูกกระแทก นางหมดสติไป
รอบด้านเป็นสีเทาหม่น จิตสัมผัสหลงอยู่ข้างใน
นางรู้สึกเหมือนตนเองตายแล้ว แล้วก็คล้ายกับยังมีชีวิต ซือเกอ……นางคิดถึงเรื่องประหลาดก่อนที่จะหมดสติ รวมทั้งสาเหตุที่ตนเองกระอักโลหิต อดวิตกไม่ได้ เขายังมีชีวิตอยู่ไหม
สัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง สาบานเลือดเหมือนกับจะไม่ได้ขาดไป ดังนั้นแล้ว เขาน่าจะยังมีชีวิตอยู่กระมัง คิดถึงตรงนี้ นางจิตใจสงบลง ขอเพียงเขามีชีวิตก็ดีแล้ว เขาจะต้องสามารถคิดหาหนทางหลุดพ้น ปัญหาในตอนนี้คือ ตัวนางเองเหมือนจะพบเจอความยุ่งยากแล้ว
ความรู้สึกชนิดนี้ นางไม่แปลกหน้าเลย อันที่จริงนี่คือการที่จิตสัมผัสถูกห้วงมหรรณพแห่งความรู้กลืนเข้าไปจึงก่อให้เกิดการหมดสติเช่นนี้
แต่ปัญหาคือเพราะอะไร โลหิตของนางถูกกระบี่ฝูเซิงดูดซับไป จากนั้นจิตสัมผัสก็ถูกดูดเข้ามา หรือว่ากระบี่ฝูเซิงเก็บซ่อนความลับอะไรเอาไว้
เพิ่งจะคิดอย่างนี้จบ จู่ ๆ ได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังมาจากในที่ว่างสีเทาหม่น ทันใดนั้น นางขนลุกขึ้นมา
ที่นี่เป็นห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของนาง ทุก ๆ ซอกมุมในนี้ล้วนอยู่ในกำมือของนาง จะมีเสียงถอนหายใจของคนอื่นได้อย่างไร?!
“ใคร” นางระแวดระวัง ถึงจะอยู่ในห้วงมหรรณพแห่งความรู้อันเปราะบางที่สุด แต่ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางฝึกไปถึงขอบเขตหนึ่งแล้ว มิใช่ไม่มีกำลังที่จะเสี่ยงชีวิตเลย เพียงแต่ ห้วงมหรรณพแห่งความรู้ถึงอย่างไรเป็นสิ่งที่เปราะบาง คนผู้นี้ลอบเข้ามาในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของนางอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ทราบได้ว่าความแข็งแกร่งจะต้องไม่สามัญ
นางสงบจิตใจลง ส่งเสียงว่า “ใต้เท้าเป็นผู้ใด เหตุใดอยู่ในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของข้า”
“เฮ้อ!” เป็นเสียงถอนหายใจเบา ๆ อีกคำ แต่เทียบกับครั้งก่อนแล้วชัดเจนกว่า ราวกับสัมผัสได้ถึงความเป็นศัตรูของนาง คนผู้นี้เปิดปากในที่สุดว่า “ถึงกับเป็นรากวิญญาณต้นกำเนิด อีกทั้งยังฝึกไปถึงร่างแห่งต้นกำเนิด ดูท่าเจ้าเป็นคนในลิขิตของข้าจริง ๆ”
โม่เทียนเกอตะลึง ในวาจาของคนผู้นี้ไม่ได้มีความเป็นศัตรูเลย ถึงขนาดที่ว่ายังมีความรู้สึกเอ็นดู
กระบี่ฝูเซิง คนในลิขิต
นางสะดุ้ง “ท่านคือฝูเหยาจื่อ?”
ในที่ว่างอันเทาหม่น คนผู้นี้หัวเราะเบา ๆ “เด็กน้อยเจ้าช่างเฉลียวฉลาด มิผิด ข้าคือฝูเหยาจื่อ”
……………….
ตอนที่ 438 – คนในลิขิต