ตอนที่ 438 คนในลิขิต

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 438 – คนในลิขิต

 

    โม่เทียนเกออึ้งไปครึ่งค่อนวัน

    สถานการณ์นี้คล้ายกับตอนที่นางยังเยาว์วัยได้พบกับโม่เหยาชิงเพียงใด แต่ว่า ปัจจุบันนี้นางไม่ใช่สาวชนบทปุถุชนแล้ว มีการประเมินเป็นของตนเองอย่างรวดเร็ว

    ฝูเหยาจื่อนี้จะต้องทิ้งกำแพงอาคมอะไรเอาไว้ที่กระบี่ฝูเซิง และเลือดของนางกระตุ้นกำแพงอาคมนี้พอดี ดังนั้นจึงก่อให้เกิดเรื่องอย่างนี้

    แต่ว่า เพียงแค่จิตหยั่งรู้สายใยเดียวที่ทิ้งเอาไว้ถึงกับสามารถอาศัยวัตถุภายนอกเข้ามาในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของนาง ฝีมือของฝูเหยาจื่อผู้นี้ช่างล้ำเลิศโดยแท้ ต้องทราบว่า ปัจจุบันนี้นางเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว สิ่งของประเภทห้วงมหรรณพแห่งความรู้ซ่อนเร้นเป็นที่สุด แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่สามารถล่วงล้ำเข้ามาง่าย ๆ

    “ที่แท้เป็นผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อ” ผู้ฝึกตนของอวิ๋นจงล้วนพูดว่า ฝูเหยาจื่อไม่เพียงระดับการฝึกตนสูงส่งลึกล้ำ พฤติการณ์ยิ่งน่ายกย่อง หากเป็นผู้อื่น โม่เทียนเกอไม่อาจไม่ระมัดระวังป้องกันว่าคนอื่นจะลงมือต่อห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของตนเอง แต่ท่านนี้คือฝูเหยาจื่อ ทำให้นางวางใจเล็กน้อย

    “เหตุใดผู้อาวุโสเข้ามาในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของผู้เยาว์เล่าเจ้าคะ” ถึงจะเป็นเช่นนี้ นางยังตื่นตัวขึ้นมา “หรือว่าผู้อาวุโสผนึกจิตหยั่งรู้เอาไว้บนกระบี่ฝูเซิง”

    “มิผิด” ฝูเหยาจื่อน้ำเสียงอ่อนโยน เป็นมิตรอย่างยิ่ง “บนกระบี่ฝูเซิงนั่นมีจิตหยั่งรู้ที่ข้าผนึกเอาไว้ เพื่อที่จะรอคอยคนในลิขิต เจ้าเป็นร่างแห่งต้นกำเนิด ดังนั้นกระตุ้นกำแพงอาคมขึ้นมา”

    “ร่างแห่งต้นกำเนิด?” เมื่อได้ยินวาจานี้ โม่เทียนเกอแอบประหลาดใจ หรือว่าผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อท่านนี้ก็มีรากวิญญาณต้นกำเนิดด้วย ไม่อย่างนั้นเหตุใดต้องมีร่างแห่งต้นกำเนิดจึงเป็นคนในลิขิตของเขา

    “เรื่องนี้ทีหลังค่อยคุยกัน” ฝูเหยาจื่อเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “ผู้เยาว์ จิตหยั่งรู้นี้เป็นสิ่งที่ข้าผนึกเอาไว้ก่อนที่จะไปจากทะเลกุยสวี แต่ไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้ห่างจากยุคสมัยของข้านานเท่าไห่รแล้ว เปิ่นจุนข้านั่งละสังขารแล้วหรือไม่”

    ทะเลกุยสวี? พูดอย่างนี้ ฝูเหยาจื่อในตอนนั้น ยังเป็นระดับจิตวิญญาณใหม่แล้ว? โม่เทียนเกอแอบขบคิดในใจ ตั้งสติตอบว่า “ผู้อาวุโส ข่าวลือของอวิ๋นจงบอกว่าท่านไม่ได้นั่งละสังขารเลย ทว่าแปลงเทพลาจากโลก”

    “อ้อ?” ฝูเหยาจื่อประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยว่า “พูดอย่างนี้ ข่าวลือนั่นเป็นความจริงจริง ๆ ด้วย”

    “ข่าวลือ?” โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ ถึงแม้น้ำเสียงของฝูเหยาจื่อจะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มีท่าทีเหนือความคาดหมายมากเลย พูดอย่างนี้ ตอนที่เขาผนึกจิตหยั่งรู้เสี้ยวนี้ ตัวเขามีความหวังในการแปลงเทพแล้วหรือ 

    ฝูเหยาจื่อไม่ได้ตอบ ถามต่อว่า “เช่นนั้นปัจจุบันนี้เป็นยุคสมัยอะไรกันเล่า”

    โม่เทียนเกอตอบว่า “ตำนานบอกว่าท่านแปลงเทพได้เกือบแสนปีแล้ว”

    “แสนปี……” ฝูเหยาจื่อชะงักไป ถอนหายใจเอ่ยว่า “ถึงกับนานขนาดนี้ พูดอย่างนี้ ทุกสิ่งล้วนกลายเป็นตำนานแล้ว……”

    “มิผิด” โม่เทียนเกอเอ่ย “ปัจจุบันนี้นามฝูเหยาจื่อถึงอวิ๋นจงจะรับทราบกันหมด วีรกรรมกลับมีคนทราบน้อย”

    ฝูเหยาจื่อทอดถอนใจรอบหนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าเล่า ผู้เยาว์ เจ้าเป็นผู้ใด แล้วได้รับกระบี่ฝูเซิงนี้มาได้อย่างไร”

    คำถามนี้ทำให้โม่เทียนเกอลังเลครู่หนึ่ง คิด ๆ ดูแล้ว รู้สึกว่าฝูเหยาจื่อเป็นเพียงจิตหยั่งรู้เสี้ยวหนึ่ง ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ อย่าว่าแต่คนเขาอยู่ในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของนาง นางพูดความจริงหรือไม่ทราบได้ง่ายมาก จึงเอ่ยว่า “ผู้เยาว์อยู่ทางทิศเหนือของอวิ๋นจง เป็นชาวเทียนจี๋ หลายสิบปีก่อนได้ข้ามทะเลมายังอวิ๋นจง กระบี่ฝูเซิงของผู้อาวุโส เห็นว่าตอนสู้กับสิบประมุขมารใหญ่ได้ตกอยู่ที่แดนมาร ถูกกัดกร่อนหลายหมื่นปี ภายหลังถูกผู้ฝึกมารคนหนึ่งนำออกจากแดนมาร ผู้เยาว์บังเอิญแลกกระบี่ฝูเซิงมาจากมือเขา”

    “แดนมาร?” ฝูเหยาจื่อตกอยู่ในห้วงคิด “มิน่าเล่าในกระบี่ฝูเซิงมีปราณมารที่ขจัดไม่ออก ถึงกับเป็นเช่นนี้”

    วาจานี้ดึงดูดความสนใจของโม่เทียนเกอ “ผู้อาวุโสเจ้าคะ กระบี่ฝูเซิงอยู่ที่แดนมารถูกกัดกร่อนอยู่หลายหมื่นปี เหตุใดผู้อาวุโสกลับไม่ได้รับผลกระทบสักนิดเล่าเจ้าคะ” จากที่นางรู้ ธรรมชาติของเต๋าและมารขัดแย้งกัน ฝูเหยาจื่อเป็นผู้ฝึกเต๋า กำแพงอาคมของเขาอยู่ที่แดนมารก็จะต้องโดนกัดกร่อนเหมือนกับกระบี่ฝูเซิง แต่ตอนนี้ดูไปแล้วกลับไม่มีผลกระทบอะไรต่อจิตหยั่งรู้ของฝูเหยาจื่อ

    ฝูเหยาจื่อยิ้ม เอ่ยอย่างอบอุ่นว่า “หากว่าถูกปราณมารกัดกร่อนได้ง่ายดายขนาดนั้น กำแพงอาคมนี้ของข้าก็ใช้ไม่ได้เกินไปแล้ว”

    “……” โม่เทียนเกอแอบคิดว่า พูดอย่างนี้ ทักษะลับอันนี้ของฝูเหยาจื่อถึงกับไม่กลัวปราณมาร? นี่ช่างทำให้คนจิตใจสั่นไหวจริง ๆ……

    “ผู้เยาว์” ฝูเหยาจื่อเอ่ยอีกว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นชาวเทียนจี๋หรือ”

    “มิผิด” โม่เทียนเกอตอบ “เทียนจี๋ตั้งอยู่ทิศเหนือของอวิ๋นจง มีทะเลกั้นกลาง แต่ว่า ทะเลนั่นอันตรายเกินไปจริง ๆ แสนปีมานี้แทบไม่มีการไปมาหาสู่ ผู้อาวุโส…… ด้วยณานศักดิ์สิทธิ์ของผู้อาวุโสน่าจะรู้จักเทียนจี๋กระมังเจ้าคะ”

    วาจานี้น่าสงสัยว่าเป็นการประจบ แต่ว่า สำหรับบุคคลในตำนานอย่างฝูเหยาจื่อการประจบเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ไม่นับว่าเกินเลยไปเลย คนอื่นอาจจะไม่ได้ แต่เขาได้รับการขนานนามเป็นผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของอวิ๋นจง การจะมีณานศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อยนี้ไม่น่าประหลาดใจเลย

    ตามคาด ฝูเหยาจื่อกล่าวว่า “เหล่าฟูรู้จักเทียนจี๋จริง ๆ ปีนั้นก็เคยข้ามทะเลไปรอบหนึ่ง ภยันตรายของทะเลเหนือไม่อาจคาดคะเน ผู้เยาว์เจ้าถึงกับสามารถมาถึงอวิ๋นจง ไม่น่าเชื่อจริง ๆ คิดว่าค่อนข้างมีณานศักดิ์สิทธิ์ โชคก็ดียิ่ง”

    ถูกบุคคลในตำนานอย่างนี้ชมประโยคหนึ่ง โม่เทียนเกอเขินอายอยู่บ้าง เอ่ยว่า “ไม่ปิดบังผู้อาวุโส ผู้เยาว์มาถึงอวิ๋นจงไม่ได้ข้ามทะเลมาโดยตรงเลย ทว่าค้นพบเส้นทางใต้ทะเลเส้นหนึ่ง……”

    “อ้อ?” ฝูเหยาจื่อหลังจากประหลาดใจก็ยิ้มเอ่ยว่า “มิน่าเล่า ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานคนหนึ่งอยากจะข้ามทะเลเหนือมันอันตรายเกินไปจริง ๆ”

    โม่เทียนเกอคิดในใจว่า เนี่ยอู๋ชางนั้นอาศัยระดับการฝึกตนก่อเกิดตานก็ข้ามทะเลใต้มาได้จริง ๆ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญเลย ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงต่อหน้าฝูเหยาจื่อ

    ฝูเหยาจื่อหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า “เจ้าเป็นผู้ฝึกตนอวิ๋นจงหรือว่าเป็นผู้ฝึกตนเทียนจี๋ก็ไม่สำคัญ  ในเมื่อเจ้าปลุกกำแพงอาคมของกระบี่ฝูเซิงแล้ว นั่นก็คือคนในลิขิตของเหล่าฟู”

    ได้ยินฝูเหยาจื่อเอ่ยถึงคำว่า “คนในลิขิต” นี้อีกครั้ง โม่เทียนเกอใคร่รู้ขึ้นมา ถามว่า “ขอบังอาจถามผู้อาวุโส เหตุใจต้องผนึกจิตหยั่งรู้ของตนเองลงบนกระบี่ฝูเซิงเจ้าคะ คนในลิขิตหมายความว่าอะไร ยังมี ผู้อาวุโสเพิ่งจะพูดว่า ผู้เยาว์เป็นร่างแห่งต้นกำเนิดจึงสามารถปลุกกำแพงอาคมของผู้อาวุโส เช่นนั้นผู้อาวุโสท่าน……” ในสมองนางมีคำถามนับไม่ถ้วน สมมติว่ากำแพงอาคมของกระบี่ฝูเซิงใช้โลหิตกระตุ้น จะคงอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร ก็เหมือนกับ รากวิญญาณต้นกำเนิดของนางจึงเป็นกุญแจสำคัญ สมมติว่ากระบี่ฝูเซิงก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นฝูเหยาจื่อเล่า

    ฝูเหยาจื่อหัวเราะเสียงแผ่ว เอ่ยเสียงเนิ่บ ๆ ว่า “ผู้เยาว์ เจ้าเดาไม่ผิด เหล่าฟูเป็นเหมือนกับเจ้า คือมีรากวิญญาณต้นกำเนิด แล้วก็ฝึกจนกลายเป็นร่างแห่งต้นกำเนิด ดังนั้น กำแพงอาคมบนกระบี่ฝูเซิงนี้มีเพียงผู้ฝึกตนที่มีร่างแห่งต้นกำเนิดเช่นกันจึงสามารถกระตุ้นขึ้นมา”

    คล้ายกับจะรู้สึกถึงความประหลาดใจของโม่เทียนเกอ เขาเอ่ยว่า “เจ้าอย่าใจร้อนไปเลย เรื่องนี้ข้าจะบอกกับเจ้าช้า ๆ”

    ฝูเหยาจื่อเริ่มเล่าเรื่องราวชีวิตของตนเองช้า ๆ ตอนยังเด็ก เขาถูกผู้ฝึกตนอิสระผู้หนึ่งพาเข้าเส้นทางแห่งการฝึกเซียน จากนั้นก้าวไปบนเส้นทางเซียน เหมือนกับนาง ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นลูกรักของสวรรค์ เพียงเอ่ยว่าเขาเป็นรากวิญญาณสวะห้าธาตุ ด้วยเหตุนี้ไม่มีสำนักที่เต็มใจจะรับเข้าสำนักเลย ฝูเหยาจื่อฝึกตนอย่างยากลำบากในสภาพแวดล้อมอย่างนี้

    เขามีนิสัยไม่ย่อท้อ จิตใจเข้มแข็ง อีกทั้งเฉลียวฉลาดยิ่ง วิชาเวทมักจะแค่นิดเดียวก็มองทะลุปรุโปร่ง ถึงแม้จะขาดแคลนโอสถ แล้วก็ไม่มีสภาพแวดล้อมฝึกตนที่ดี แต่ยังอาศัยโชคและนิสัยใจคอฝึกมาถึงระดับสร้างฐานพลัง

    ถึงระดับสร้างฐานพลังแล้วระดับการฝึกตนของเขาก็หยุดนิ่ง ผู้ฝึกตนที่มีห้ารากวิญญาณอย่างเขาถึงจะโชคดียิ่งจนสร้างฐานพลังสำเร็จ โดยปกติก็จะยิ่งชะงักอยู่ที่ระดับสร้างฐานพลัง ยากจะคืบหน้าอีกสักนิ้วเดียว

    แต่ว่า ในเวลานี้ วาสนาเซียนของเขามาถึงแล้วในที่สุด

    จากในมือของผู้ฝึกตนที่ตกต่ำผู้หนึ่ง เขาแลกวิชาเวทขาดวิ่นที่หลงเหลือมาจากโบราณกาลได้เล่มหนึ่ง วิชาเวทเล่มนี้คือศาสตร์แห่งต้นกำเนิดที่พูดถึงพื้นฐานของต้นกำเนิด

    ศาสตร์แห่งต้นกำเนิดเล่มนี้ไม่นับว่าโดดเด่นเลย อีกทั้งยังขาดวิ่น สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือ มันไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมการฝึกเซียนของยุคปัจจุบัน ดังนั้น แม้จะมีผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณต่ำต้อยมากมายเคยกอดมันเอาไว้อย่างมีความหวัง แต่สุดท้ายล้วนไม่สามารถฝึกสำเร็จ วิชาเวทเล่มนี้ก็กลายเป็นวิชาเวทขยะ

    ฝูเหยาจื่อแลกวิชาเวทนี้มาด้วยราคาที่ต่ำยิ่ง แล้วจึงทราบว่ารากวิญญาณของเขาเรียกว่ารากวิญญาณต้นกำเนิด แล้วก็เป็นลูกรักของสวรรค์ของช่วงโบราณกาล

    หลังจากนั้น เขาเริ่มศึกษาวิชาเวทนี้อย่างละเอียด แล้วก็เป็นความสามารถในการหยั่งรู้อันน่าทึ่งของตัวเขาด้วยที่อาศัยศาสตร์แห่งต้นกำเนิดอันขาดวิ่นเล่มนี้ถึงกับหยั่งรู้เต๋าแห่งการฝึกตนที่แท้จริงของรากวิญญาณต้นกำเนิดออกมา จากนั้นเดินไปทีละก้าว ค่อย ๆ เสริมวิชาเวทจนสมบูรณ์ 

    เพราะวิชาเวทนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าสภาพแวดล้อมการฝึกเซียนของสมัยโบราณกาลที่แท้ไม่เหมือนกับยุคปัจจุบันโดยสิ้นเชิง เขาเกิดความสนใจอย่างลึกล้ำต่อปฐมกาลอย่างเป็นไปตามธรรมชาติมาก เริ่มสำรวจประวัติศาสตร์ของปฐมกาลจนถึงโบราณกาลอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

    เพื่อสำรวจตำนานโบราณเหล่านี้ เขาเข้าออกสถานที่ลับต่าง ๆ นานา ได้รับสมบัติฟ้าดินมากมายจากที่นั่น ระดับการฝึกตนรุดหน้ารวดเร็ว อีกทั้ง เนื่องจากคุณธรรมที่เขายึดถือไม่เหมือนกับคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ค่อย ๆ มีชื่อเสียงมากขึ้นมา

    โม่เทียนเกอจับจุดสำคัญได้หนึ่งอย่างผ่านการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายของฝูเหยาจื่อ ถามว่า “ผู้อาวุโส ผู้ฝึกตนอวิ๋นจงล้วนบอกว่า คุณธรรมที่ท่านยึดถือแตกต่างจากคนอื่นมาก ๆ ผู้เยาว์ก็เคยได้ยินมาคร่าว ๆ รู้สึกไม่เข้าใจถึงสิบส่วน เพราะอะไรท่านจึงคิดว่าผู้ฝึกตนครอบครองพลังอำนาจก็ควรจะแบกรับความรับผิดชอบที่มายิ่งกว่าเล่าเจ้าคะ นี่กับโลกฝึกเซียนในยุคปัจจุบันไม่สอดคล้องกันอย่างสิ้นเชิง!”

    ฝูเหยาจื่อหัวเราะเบา ๆ เอ่ยว่า “เหล่าฟูเพิ่งจะพูดไปว่า สิ่งที่เหล่าฟูสำรวจคือเต๋าแห่งการฝึกตนของยุคปฐมกาลและโบราณกาล ย่อมจะไม่เหมือนกับยุคปัจจุบัน”

    โม่เทียนเกอได้ยินแล้วตะลึงไป “พูดอย่างนี้ สมัยปฐมกาลและโบราณกาล คุณธรรมของผู้ฝึกตนไม่เป็นเช่นนี้หรอกหรือเจ้าคะ”

    “มิผิด” ฝูเหยาจื่อกล่าว “พูดให้แน่ชัด คุณธรรมของยุคสมัยปฐมกาล ตอนโบราณกาลคุณธรรมประเภทนี้ได้ตกต่ำลงแล้ว ส่วนมาถึงยุคสมัยของพวกเรานี่ยิ่งไม่มีคนรู้เรื่อง”

    พูดถึงตรงนี้ ฝูเหยาจื่อถอนหายใจคำหนึ่ง “เหล่าฟูในปีนั้นไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่าเพราะอะไรโลกของพวกเราตอนนี้ไม่มีผู้ฝึกตนที่บรรลุแจ้งอีก เพียงแค่เพราะพลังวิญญาณไม่เข้มข้นพอหรือ ข้าไม่คิดเช่นนี้เลย ภายหลัง พร้อมกับที่ระดับการฝึกตนของข้าสูงขึ้นเรื่อย ๆ สถานที่ลับโบราณกาลที่ได้สัมผัสยิ่งมายิ่งมาก ในที่สุดสามารถยืนยันว่ามีความเกี่ยวข้องกับคุณธรรม”

    “คุณธรรม……” โม่เทียนเกอจิตใจสั่นไหวอย่างใหญ่หลวง เฟยเฟยเคยพูดแล้วว่า กฎเกณฑ์ของโลกมนุษย์ไม่เหมือนเดิม หรือว่าจะเป็นเรื่องเดียวกับที่ฝูเหยาจื่อพูด? เช่นนี้แล้ว โลกฝึกเซียนยุคปัจจุบันไยมิใช่เป็นการคงอยู่ที่บิดเบี้ยว?

    “ผู้เยาว์ ปัจจุบันนี้เจ้ายังไม่ได้เป็นจิตวิญญาณใหม่ เรื่องนี้ไม่ต้องไปพะวักพะวนจนเกินไป หลายปีขนาดนี้ มีเพียงเจ้าที่กระตุ้นกำแพงอาคมของกระบี่ฝูเซิงได้สำเร็จ นั่นก็คือคนในลิขิตของข้า ข้าขอถามเจ้า เจ้าเต็มใจจะสืบทอดภารกิจตกทอดของข้าหรือไม่ เดินต่อไปบนเส้นทางที่ข้าอาจจะไปไม่ถึงจุดสิ้นสุด”

    โม่เทียนเกอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากคำพูดนี้ ฝูเหยาจื่อเหมือนจะกำลังเสาะหาทายาทผู้สืบทอด หากนางรับปาก จะสามารถได้รับมรดกของผู้ฝึกตนที่มีความสามารถล้ำเลิศผู้นี้หรือไม่ เพียงแต่ เส้นทางที่ยังเดินไม่ถึงจุดสิ้นสุดที่เขาพูดหมายความว่าอะไรกันเล่า

    ราวกับจะสัมผัสได้ถึงความสับสนของนาง ฝูเหยาจื่อกล่าวอีกว่า “หากเจ้ารับปาก เจ้าจะเป็นผู้สืบทอดของข้า ข้าจะนำสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้มาทั้งชีวิตมาถ่ายทอดต่อเจ้าจนหมดสิ้น แต่ว่า เจ้าต้องรับปากข้าว่าจะสำรวจคุณธรรมของปฐมกาลต่อไป เสาะหาสัจธรรมของโลกฝึกเซียนใบนี้”

……………….

 

ตอนที่ 439 – ผู้สืบทอด