ตอนที่ 133 กู้ฟางสี

ตอนที่ 133 กู้ฟางสี

พริบตาเดียวก็เข้าวันที่สองของเดือนแรก ซึ่งวันนี้มีธรรมเนียมคือลูกสาวที่แต่งงานแล้วจะกลับไปยังบ้านพ่อแม่เพื่ออวยพรปีใหม่

ในวันนี้ กู้เสี่ยวหวานพาน้อง ๆ ของนางฝึกเขียนที่บ้านตามปกติ

“ข้าไม่รู้ว่าอาหญิงจะกลับมาในปีนี้หรือไม่!” เมื่อครอบครัวเงียบ จู่ ๆ กู้หนิงผิงก็พูดประโยคนั้นขึ้นมา

เมื่อได้ยินคำพูดของกู้หนิง กู้เสี่ยวหวานก็รีบวางสิ่งที่อยู่ในมือและจมจ่อกับความคิดของตน

อาหญิงที่กู้หนิงผิงกล่าวถึงคือกู้ฟางสีลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลกู้ เมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ท่านพ่อและท่านแม่จะเสียชีวิต กู้ฉวนลู่และกู้ฉวนโซ่วก็ได้ให้กู้ฟางสีแต่งงานออกไป

ในตอนที่ยังไม่ได้แต่งงาน กู้ฟางสีมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกู้ฉวนฟู่ และเข้ากันได้ดีกับเถียนซื่อ กู้เสี่ยวหวานผู้จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ในเวลานั้นก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกู้ฟางสีเช่นกัน

กู้ฟางสีเป็นคนหน้าตางดงาม ขยัน ใจดี นิสัยอ่อนโยน และค่อนข้างใจกว้าง ในเวลานั้น มีชายหนุ่มที่ยังไม่แต่งงานจำนวนมากในหมู่บ้านอู๋ซีที่ต้องการแต่งงานกับกู้ฟางสี ถ้าทั้งท่านปู่กู้และท่านย่ากู้ยังมีชีวิตอยู่ กู้ฟางสีจะไม่มีวันได้แต่งงานไปหมู่บ้านอื่น เพราะมีคนที่ดีอยู่ในหมู่บ้านนี้ กู้ฟางสีจึงไม่สามารถไปอยู่ในที่ไกล ๆ ได้

หากลูกสาวแต่งงานไปอยู่ห่างไกล ยามใดที่ครอบครัวสามีมีเรื่องไม่สบายใจ ทั้งพ่อและแม่ก็จะไม่ทราบเรื่องและช่วยเหลือไม่ได้ และจะทำให้รู้สึกอึดอัดในใจ ดังนั้นในสมัยนั้นเมื่อท่านปู่กู้หาคู่แต่งงานให้กับกู้ฟางสี เขาก็มักเลือกครอบครัวที่ดีในหมู่บ้านอู๋ซีให้มาแต่งงานด้วย เช่นนี้นางจะได้มีพี่ชายคอยอยู่ข้าง ๆ เมื่อรู้สึกอึดอัดใจก็จะมีพี่น้องที่บ้านคอยสนับสนุน และเมื่อครอบครัวของสามีเห็นว่าครอบครัวฝั่งสะใภ้มีผู้คนมากมาย ก็จะไม่กล้าทำอะไรกับกู้ฟางสี

ต่อมาเมื่อกู้ฟางสีโตพอที่จะพูดคุยเกี่ยวกับการแต่งงาน ท่านปู่กู้ก็ถึงแก่กรรม ช่วงเวลาไว้ทุกข์นี้กินเวลาสามปี และเมื่อนางออกจากการไว้ทุกข์ นางก็ต้องการแต่งงานกับครอบครัวที่ดี

แต่กู้ฉวนลู่ไม่เห็นด้วย ต่อมาด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่อาจทราบได้ เขาก็พบชายอายุมากคนหนึ่งในวัยสามสิบซึ่งยังไม่ได้แต่งงานในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เมืองอื่น จึงรีบให้กู้ฟางสีแต่งงานออกไป

ยังจำได้ว่าในตอนที่กู้ฟางสีปฏิเสธจะแต่งงานกับชายชราคนนั้น สะใภ้ทั้งสองอย่างซุนซื่อและเฉาซื่อที่มักขัดแย้งกันเสมอกลับมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในเรื่องการแต่งงานของกู้ฟางสีอย่างคาดไม่ถึง

พวกนางเกลี้ยกล่อมกู้ฟางสี โดยกล่าวว่าในเมื่อชายชราผู้นี้รักภรรยาของเขา นางจะต้องได้รับความรักจากเขาเมื่อแต่งงานกันอย่างแน่นอน อีกทั้งชายคนนี้ไม่มีพี่สะใภ้หรือแม่สามีที่บ้าน เมื่อกู้ฟางสีแต่งงานไปก็จะได้เป็นหัวหน้าครอบครัว มีอะไรที่ไม่ดีบ้าง เดิมทีกู้ฟางสีไม่เห็นด้วย ประการแรกเป็นเพราะว่าแต่งงานไปไกลเกินไป ประการที่สองคือกู้ฟางสีไม่เคยเห็นลักษณะของชายคนนั้นมาก่อน

แต่ต่อมา ไม่ว่าซุนซื่อหรือเฉาซื่อจะทำอย่างไร กู้ฟางสีก็ไม่เห็นด้วย และเฉาซื่อก็ไม่ได้มีความอดทนเช่นนั้น นางจึงจัดการคลุมถุงชนกู้ฟางสี และยังบอกกับทุกคนว่ากู้ฟางสีไม่รู้ผิดรู้ชอบ ถ้าไม่ได้แต่งงานผู้ชายดี ๆ คนนั้น นางที่เป็นพี่สะใภ้คงจะทนไม่ไหว

ในเวลานั้นกู้ฟางสีไม่มีใครอยู่รอบตัวที่สามารถพูดคุยได้ ภายใต้แรงกดดันอย่างสูงของครอบครัวกู้ฉวนลู่และครอบครัวกู้ฉวนโซ่ว นางไร้ความสามารถและทำได้เพียงให้เฉาซื่อคลุมถุงชนให้นางเท่านั้น

เดิมทีกู้เสี่ยวหวานชอบอาเล็กคนนี้มาก แต่บุคลิกของนางอ่อนแอเกินไป

“ตอนนี้อาหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?” หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานมาที่นี่ นอกจากความทรงจำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของอาเล็กคนนี้ที่หลงเหลืออยู่ในร่างเดิมของนางแล้ว นางก็ไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลย ดังนั้นนางจึงทำได้แค่ถามน้อง ๆ ของนางเท่านั้น

โดยไม่คาดคิด เด็กที่เหลือส่ายหน้าอย่างรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ข้าไม่รู้!”

ในความทรงจำของกู้เสี่ยวหวานที่โตกว่าคนอื่นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าท่านอาคนนี้จะไม่มีวันกลับมาอีกเลยตั้งแต่นางแต่งงานออกไป

เฮ้อ แต่งงานออกไปหลายปีแล้ว และไม่ได้เห็นหน้ากันอีกเลย ถ้าท่านปู่กู้และท่านย่ากู้ยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าหัวใจของพวกเขาคงจะแหลกสลาย

“ท่านอาแต่งงานไปที่ไหน?”

“ข้าได้ยินจากคนอื่นว่าดูเหมือนว่าจะเป็นหมู่บ้านที่ชื่อต้าหม่าในเมืองข้าง ๆ” กู้หนิงอันเคยได้ยินคนอื่นพูดถึงสถานการณ์ที่ท่านอาของเขาแต่งงาน ตอนนั้นกู้หนิงอันยังคงอยู่ที่นั่น แต่เขายังเด็กมากและไม่ค่อยรู้เรื่อง เลยจำเรื่องอะไรไม่ค่อยได้

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าและจดจำชื่อสถานที่นั้นอย่างลับ ๆ ถ้ามีโอกาสในอนาคต นางต้องไปที่นั่นเพื่อพบท่านอาของนาง เพราะเมื่อครั้งนางยังเด็ก ท่านอาก็ใจดีกับนางมาก

ซุนซื่อและกู้ฉวนลู่พาลูกสองคนออกไปเยี่ยมบ้านทางแม่ เนื่องจากพวกเขาอยู่หมู่บ้านถัดไป การเดินทางจึงเวลาในการเดินทางไม่นาน สามารถไปในตอนกลางวันและกลับมาตอนกลางคืนได้

กู้ซินเถาปฏิเสธที่จะออกไปข้างนอกเพราะมีรอยแผลเป็นบนใบหน้า นางบอกว่าตนเองอับอายและกลัวที่จะออกไปข้างนอก เป็นเพราะพวกเขาจะกลับมาในตอนเย็น ซุนซื่อจึงเตรียมอาหารให้กู้ซินเถา แล้วพากู้จือเหวินกลับไปบ้านพ่อแม่ของนาง

ซุนซื่อไปพร้อมกับภารกิจในใจ ทันทีที่นางกลับไปบ้านแม่ นางก็ตรงไปที่บ้านแม่ของลูกพี่ลูกน้องของนางด้วยความคาดหวังและออกมาอย่างมีความสุข เมื่อนึกถึงประโยชน์ต่าง ๆ หลังเสร็จสิ้น หัวใจของซุนซื่อก็ไม่อาจเบิกบานไปกว่านี้แล้ว

ในช่วงนี้กู้เสี่ยวหวานทั้งรู้สึกตื่นเต้นและหดหู่มาก เรื่องที่ตื่นเต้นก็คือนางไม่คาดคิดมาก่อนว่ากู้หนิงอันจะมีพรสวรรค์ในการเรียนขนาดนี้ ช่วงวันส่งท้ายปีเก่านางได้สอนกู้หนิงอันให้อ่านและเขียนที่บ้าน และคาดไม่ถึงว่ากู้หนิงอันที่เคยดูนางเขียนอย่างเดียวจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วภายใต้คำแนะนำของนาง

“หนิงอัน ถ้าเจ้าอยู่ในช่วงเวลาของข้า เจ้าจะเป็นเด็กหัวกะทิ!” กู้เสี่ยวหวานมองดูกระดาษบนโต๊ะ สำเนาการคัดลายมือล้วนมีความประณีต เรียบร้อยเป็นระเบียบทุกตัวอักษร!

ครั้นกู้หนิงอันที่อยู่ใกล้ได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน เขาก็ไม่เข้าใจมันดีนัก

“ท่านพี่ เด็กหัวกะทิคืออะไรขอรับ?” กู้หนิงอันมองพี่สาวของเขาอย่างสงสัย

กู้เสี่ยวหวานได้ยินคำถามของกู้หนิงอัน นางก็ตอบอย่างรู้สึกอายเล็กน้อย “เด็กหัวกะทิคือนักเรียนที่เรียนดี”

“โอ้” แม้ว่ากู้หนิงอันจะไม่พูดอะไรเลย แต่เขาได้รับคำชมจากพี่สาวของเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีความสุขแค่ไหน เขาหยิบพู่กันขึ้นมาและฝึกเขียนตามหนังสือที่เขาซื้อมาเมื่อวันก่อน

ส่วนเรื่องที่กู้เสี่ยวหวานหดหู่ก็คือเด็กอีกคนหนึ่งที่อยู่ถัดจากนาง นางหยิบสำเนาการคัดลายมือที่ดูเหมือนสุนัขคลานขึ้นมาดูพลางถอนหายใจออกมา

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อย่างน้อยในครอบครัวนี้ก็พอมีญาติดี ๆ เหลืออยู่บ้างล่ะนะ แต่ไปอยู่ไกลเชียว

ลายมือของหนิงผิงคงจะไก่เขี่ยมากจนพี่สาวหนักใจสินะ

ไหหม่า(海馬)