บทที่ 160 กลิ้งไปตามเถาไม้เลื้อย 7 (1)

ตำหนักแสงตะวัน

มันถูกตั้งชื่อนี้เพราะสีของตำหนักส่องแสงคล้ายกับแสงจ้าของพระอาทิตย์

งานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง ซึ่งคาร์ลกำลังยืนอยู่ข้างๆโต๊ะที่เต็มไปด้วยขนมหวาน

~ มนุษย์!…มีแต่ของกินอร่อยๆทั้งนั้นเลย..คงจะดีถ้าพวกเราทั้งหมดอยู่ที่นี่ด้วยกัน! ~

กรุ๊บ!!!กรุ๊บ!!!กรุ๊บ!!!

เสียงเคี้ยวของราอนลอดเข้ามาในหัวของคาร์ล

~ มันคงจะดีถ้าท่านปู่มังกรทองอยู่ที่นี่ด้วย! ~

น่าเสียดายที่คาร์ลไม่สามารถพาเชวฮันและอูฮาเบ็นมาร่วมงานเลี้ยงฉลองในครั้งนี้ได้ อูฮาเบ็นที่ได้รับการสถาปนาจากราอนให้เป็นท่านปู่ของมันแจ้งว่าเหนื่อยและอยากนอนพักผ่อนมากกว่าจะมางานเลี้ยงในวันนี้

‘เชวฮันไม่สามารถมาได้เพราะปรมาจารย์ดาบของจักรวรรดิ’

สายตาของคาร์ลพุ่งไปที่คนๆหนึ่ง

คนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคนซึ่งกำลังพูดคุยกับองค์ชายเอดินตรงกลางห้องจัดเลี้ยง คนผู้นี้รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นอัศวินแห่งพระอาทิตย์และเป็นผู้ที่มีฝีมืออยู่ในระดับสูงสุดของเพลงดาบ

‘ฮูเต็น’ คือชื่อของชายผู้นี้

ระดับความสามารถของเขามาถึงระดับสูงสุดเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว แม้ว่าเขาจะดูเหมือนชายวัยกลางคนแต่อายุจริงๆของเขาคือ60ต้นๆ

‘เชวฮันแข็งแกร่งกว่าฮูเต็นมากนัก..แต่ระดับความสามารถที่ฮุเต็นมีอาจทำให้เขาประเมินความสามารถของเชวฮันได้’

แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะเป็นนักดาบเหมือนกันแต่ระดับความสามารถของเชวฮันสูงกว่าฮุเต็นหลายขั้น

เชวฮันคือคนที่สามารถสู้กับมังกรจนชนะได้

อาจเป็นเพราะราอนสังเกตเห็นสายตาของคาร์ลที่จ้องไปยังฮุเต็น มันจึงเริ่มพูดกับคาร์ลอีกครั้ง

~ นักดาบคนนั้นแข็งแกร่งกว่าโรสลินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น! แต่เขาอ่อนแอยิ่งนักหากเอามาเทียบกับข้า..ราอนผู้ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก! ~

‘แน่นอนว่าเขาอ่อนแอกว่าราอนหลายเท่า’

เว้นแต่ราอนจะเปิดเผยตัวตนหรือปล่อยพลังเวทย์ของมันไปให้กับคนๆนั้นเหมือนกับที่เคยทำกับเชวฮันและโรสลินเมื่อครั้งอดีต ฮูเต็นก็จะไม่มีทางสัมผัสได้ถึงตัวตนของราอนได้เลย

‘แล้วนั่นล่ะ?..เธอคงเป็นหัวหน้าหอระฆังเล่นแร่แปรธาตุสินะ?’

บุคคลที่มีชื่อเสียงหลายๆคนต่างปรากฏตัวในงานเลี้ยงฉลองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่จักรวรรดิทำสงครามกับอาณาจักรวิปเปอร์

สายตาของคาร์ลขยับไปที่ ‘เมเทโลน่า’ผู้เป็นหัวหน้าและคอยดูแลหอระฆังการเล่นแร่แปรธาตุประจำจักรวรรดิแห่งนี้

หญิงวัยกลางคนในวัยเกือบ50ปี เธอสวมชุดคลุมอันหรูหราสวยงามและกำลังยืนอยู่ข้างๆองค์ชายเอดิน เธอแต้มรอยยิ้มสดใสเต็มใบหน้าดูแล้วคงจะเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยงในวันนี้พอสมควร

ฮูเต็นและเมเทโลน่า

คนทั้งสองทำให้คนอื่นยากจะเข้าไปหาองค์ชายเอดินได้

‘พวกเขาทั้งคู่คือฐานอำนาจของเอดิน’

ในตอนนี้อัลเบิร์กและคณะทูตจากอาณาจักรโรมันจำนวนหนึ่งก็ยืนอยู่ใกล้ๆกับจุดที่องค์ชายเอดินอยู่เช่นกัน

โดยนิสัยของคาร์ลแล้วเขาไม่ต้องการร่วมวงสนทนากับพวกเขาทั้งหมดจึงเลือกมาหลบมุมอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกที่เดินทางมาถึง

~ มนุษย์!..ส่งเค้กเข้ามาใต้โต๊ะที ~

คาร์ลเลือกหยิบเค้กสตรอเบอรี่ใส่จานก่อนจะส่งมันลงไปใต้โต๊ะ ราอนคว้าจานเข้ามาถือไว้อย่างมีความสุขและเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย

‘กินเยอะๆเข้าไว้..นายจะได้มีแรงทำงาน’

คาร์ลกำลังเติมพลังให้กับราอนเพราะจะให้มันช่วยหาเครื่องมือพระเจ้าในวันนี้

คาร์ลกวาดสายตาไปมองรอบๆ

ตำหนักแสงตะวันมีทั้งหมดสามชั้น ซึ่งชั้นหนึ่งและชั้นสองถูกจัดให้เป็นพื้นที่งานเลี้ยงในวันนี้ รวมถึงระเบียงชั้นสองด้วย ส่วนชั้นที่สามคาดว่าจะจัดเป็นพื้นที่ปิดเพื่อให้แขกคนสำคัญร่วมสนทนากันในนั้น

‘แต่พวกเขาไม่ได้แจ้งอย่างเป็นทางการว่าจะเปิดใช้งานชั้นสามในวันนี้’

สายตาของคาร์ลมุ่งไปที่เหล่าอัศวินซึ่งประจำการอยู่ชั้นหนึ่ง มีอัศวินยืนประจำการอยู่ประตูทางเข้าทิศตะวันออกและตะวันตก นอกจากนี้ยังมีอัศวินประจำการอยู่ในห้องโถงงานเลี้ยงอีกด้วย

อัศวินจากอาณาจักรโรมันก็ถูกส่งเข้าไปดูแลความปลอดภัยอีกแรงหนึ่งเช่นกัน

แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะดูผ่อนคลายแต่ก็แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งดังเดิม

‘ผู้ชายคนนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วย’

คาร์ลกำลังพูดถึงอัศวินแมวผมสีแดงนั่น

เขาประจำการอยู่ที่ห้องโถงทางทิศเหนือและกำลังจ้องมายังจุดที่องค์ชายแห่งจักรวรรดิประทับอยู่ สายตาของเขาคมกล้าและเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมุ่น คล้ายกับจะบอกว่ากำลังตั้งใจทำงานอย่างแข็งขันเพื่อป้องกันอันตรายใดๆที่จะเกิดขึ้นกับองค์ชายเอดิน

คาร์ลละสายตาออกจากอัศวินแมวเพื่อมองไปยังอัศวินคนอื่นๆ มันสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสายตาของอัศวินแมวผู้นี้คมกล้ากว่าคนอื่นๆยิ่งนัก

‘ถึงเวลาที่จะไปขโมยมันแล้ว…อ๊ะ!..ไม่ใช่สิ?..แค่ไปหยิบมันออกมาเฉยๆ’

ตรากล่าวโทษจากแสงตะวันควรจะอยู่ในสวนสวรรค์

คาร์ลค่อยๆขยับตัวออกจากโต๊ะของหวาน เขากำลังมุ่งหน้าไปยังชั้นสอง เขากวาดสายตาไปมองรอบๆด้วยท่าทีปกติเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจ

“อ๊ะ!..นายน้อยคาร์ล!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งร้องเรียกเขาขึ้นมา

เขาหันไปสบตากับองค์ชายเอดินที่กำลังส่งยิ้มน้อยๆให้เขา

‘ให้ตายเถอะ!’

คาร์ลอยากจะสบถออกมาดังๆแต่ทำได้เพียงส่งรอยยิ้มอ่อนโยนพร้อมท่าทีนอบน้อมไปให้องค์ชายเอดินและองค์ชายอัลเบิร์กที่ยืนอยู่ข้างๆกัน

องค์ชายเอดินเอ่ยถามคาร์ลขึ้นเมื่อคาร์ลเดินไปหยุดตรงหน้าพวกเขาแล้ว

“นายน้อยคาร์ล..เจ้าอยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้างล่ะ?..สนุกดีหรือเปล่า?”

“พะยะค่ะ…หม่อมฉันมีความสุขยิ่งนักที่ได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าในจักรวรรดิแห่งนี้”

ทีมสืบสวนของอาณาจักรโรมันไม่ได้รับประโยชน์ใดๆจากการเดินทางมาเยือนจักรวรรดิในครั้งนี้แต่เมื่อเห็นว่าคาร์ลยืนยันว่าตนมีความสุขดีและได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าในจักรวรรดิ ก็ทำให้องค์ชายเอดินรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาไม่ได้ เอดินละสายตาไปยังปรมาจารย์ดาบเพื่อแนะนำคาร์ลให้รู้จัก

“ดยุกฮูเต็น..นี่คือนายน้อยคาร์ล เฮนิตัส…วีรบุรุษหนุ่มจากอาณาจักรโรมัน”

“อ่า…นายน้อยผู้นี้คงเป็นขุนนางที่ปกป้องอาณาจักรโรมันจากเหตุการณ์ก่อการร้ายสินะพะยะค่ะ”

ดยุกฮูเต็นหันมามองคาร์ลด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนในขณะที่คาร์ลก็ก้มศีรษะของตนลงเล็กน้อย อัลเบิร์กตบมาที่ไหล่คาร์ลเบาๆเมื่อเห็นคาร์ลทำเช่นนั้น

“เขาเป็นบุคคลที่อาณาจักรโรมันจะขาดไปไม่ได้”

องค์ชายเอดินเอ่ยสำทับตามอัลเบิร์กทันที

“ข้ามั่นใจ..ว่าเขาจะต้องกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างแน่นอน”

นักการทูตของอาณาจักรโรมันพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเมื่อเห็นว่าคาร์ลเป็นคนที่หายากทั้งท่าทาง บุคลิกและความคิดอ่านต่างๆ เขาเป็นคนที่อาณาจักรโรมันจะขาดไปไม่ได้อย่างแท้จริง

คาร์ลแต้มยิ้มจางๆเมื่อฟังทุกคนเอ่ยในสิ่งที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับตัวตนของเขาเลยสักนิด

ตอนนั้นเองที่เสียงของราอนดังเข้ามาในหัวของเขา

~ พวกเขาคิดผิดแล้ว!..เจ้าเป็นเพียงมนุษย์อ่อนแอเท่านั้น!..อืม?..แต่เจ้าก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมเช่นกันตรงนี้ข้าเห็นด้วย!~

‘ไออิกู….’

คาร์ลเกือบจะถอนใจยาวออกมาเมื่อได้ยินคำวิจารณ์ของราอนแต่ก็พยายามฝืนตัวเองเอาไว้ได้ เขาสบตาเข้ากับใครบางคนในตอนนั้น

อัศวินแมว

อัศวินแมวกำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาเป็นประกายจ้า คาร์ลไม่คิดที่จะสนใจเขาจึงเบือนหน้าหนีและเผลอไปสบตาเข้ากับเมเทโล่น่า

เธอยังคงแต้มยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของเธอในขณะที่คาร์ลก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

การทำงานเป็นทีม

นั่นคือคำจำกัดความที่ดีที่สุดในการบรรยายถึงการสนทนาระหว่างคนจากจักรวรรดิและอาณาจักรโรมันที่มีร่วมกัน

เหล่าขุนนางระดับสูงที่อยู่รอบๆคาร์ลในตอนนี้รวมไปถึงผู้คนที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงต่างเพลิดเพลินไปกับการฉลองสิ้นปีอย่างสนุกสนาน

อย่างไรก็ตามคาร์ลรู้เบื้องหลังของคนพวกนี้ดี

‘อย่างเช่นดยุกฮูเต็นที่ส่งยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน..ก็เป็นคนขายทาสให้กับเมเทโลน่าเพื่อนำพวกทาสที่น่าสงสารไปทดลอง’

“ข้าขอสวดอวยพรให้เจ้าไม่เปลี่ยนอุดมการณ์ที่เจ้ามีและยังคงเป็นขุนนางผู้สูงส่งเช่นนี้ต่อไป”

“ขอรับ!ข้าน้อยจะเป็นคนเช่นนั้นอย่างแน่นอน!”

นี่คือการสนทนาระหว่างดยุกฮูเต็นแห่งจักรวรรดิและนายน้อยคาร์ล เฮนิตัสแห่งอาณาจักรโรมัน

บทสนทนาของคนทั้งคู่ทำให้บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงดูมีชีวิตชีวาขึ้น อย่างไรก็ตามดยุกฮูเต็นสังเกตเห็นท่าทางของคาร์ลดูไม่ค่อยดีนัก

“อ่า…ข้าหวังว่าตัวเองคงไม่ได้พูดในสิ่งที่ทำให้เจ้าลำบากใจไปหรอกนะ?..ท่าทางของเจ้าดูไม่ดีเลย”

คาร์ลตอบข้อกังวลของฮูเต็นด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“หลังจากที่ทุ่มกำลังให้การสืบสวนในช่วง2-3วันที่ผ่านอย่างหนัก..ข้าน้อยเลยไม่ค่อยสบายนะขอรับ..”

“โอ้!..ไม่นะ”

เมเทโลน่าอุทานออกมาอย่างกังวลใจ

คาร์ลยิ้มราวกับรู้สึกเสียใจที่ต้องพูดเรื่องนี้ออกมาในสถานการณ์เช่นนี้

“ขออภัยขอรับ!..เราทุกคนควรจะสนุกกับงานเลี้ยงในตอนนี้แท้ๆ..ปกติร่างกายของข้าน้อยก็อ่อนแออยู่แล้ว..รวมกับที่คาดหวังว่าตัวเองจะสามารถสืบหาเบาะแสที่เกิดขึ้นกับอาณาจักรโรมันในการเดินทางมาจักรวรรดิในครั้งนี้ให้ได้..ข้าน้อยรู้สึกแย่มากที่ไม่สามารถแยกแยะความรู้สึกของตัวเองจนทำให้ตัวเองไม่สบายขึ้นมาเช่นนี้”

“ไม่เลย”

ดยุกฮูเต็นพยายามปลอบประโลมขุนนางผู้มีจิตใจสูงส่งผู้นี้

“วันหนึ่งเราจะสามารถสืบหาความจริงได้..และต้องจับคนชั่วพวกนั้นมาลงโทษได้อย่างแน่นอน”

“ใช่..เราสามารถทำได้อย่างแน่นอน..ว่าแต่นายน้อยคาร์ลร่างกายของเจ้าอ่อนแออย่างนั้นรึ?”

คาร์ลพยักหน้าให้กับคำถามของเอดิน

“ใช่พะย่ะค่ะ..หม่อมฉันต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะฟื้นฟูร่างกายของตัวเองกลับมาเป็นปกติได้หลังจากเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายนั่น”

“น่าเศร้าใจยิ่งนัก..เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นนายน้อยคาร์ลของเรา..ร่างกายก็อ่อนแอลงไปมาก”

อัลเบิร์กก็เล่นละครตามคาร์ลทันทีโดยไม่ต้องนัดแนะ

เอดินมีท่าทางแปลกๆไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

“ถ้าเช่นนั้น..ข้าคงรั้งให้คนป่วยอยู่สนทนานานกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ..ขอให้เจ้าเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยงในครั้งนี้และร่วมสนทนากับเหล่าขุนนางรุ่นเยาว์ของจักรวรรดิเราด้วยแล้วกัน”

“ขอบพระทัยพะยะค่ะ..เป็นเกียรติของหม่อมฉันยิ่งนักที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ในครั้งนี้”

คาร์ลแสร้งวางมาดขุนนางผู้สูงส่งอีกครั้งก่อนจะขอตัวจากไป

‘น่าเบื่อจริงๆ’

เขารู้สึกหงุดหงิดและเหนื่อยล้าหลังจากต้องสร้างปฏิสัมพันธ์กับจักรวรรดิ

เขาแค่อยากกลับห้องและนอนกลิ้งไปมาบนเตียงเท่านั้น

อย่างไรก็ตามเขายังฝืนตัวเองให้สนทนากับขุนนางรุ่นเยาว์ของจักรวรรดิอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะขอตัวขึ้นไปยังระเบียงชั้นสองเมื่อเห็นว่าพวกเขาต่างสนุกไปกับงานเลี้ยงจนไม่สนใจตนแล้ว

มีระเบียงจำนวนมากที่อยู่บนชั้นสอง

คาร์ลเปิดประตูสู่ระเบียงที่อยู่ไกลที่สุด

คลิ๊ก!

เขาเดินออกไปและล็อกประตูทันที

“ในที่สุด..ข้าก็สามารถหายใจได้สะดวกสักที”

มีสายลมหนาวพัดผ่านหน้าคาร์ลไป เขาจึงเบือนหน้าไปมองสวนสวรรค์ทันที

สวนสวรรค์มีชื่อเสียงในการส่องสว่างแม้จะเป็นเวลากลางคืนก็ตามแต่ในตอนนี้โคมไฟทั้งหมดต่างหยุดทำงานลงเพราะสงครามเพิ่งเสร็จสิ้นลง

ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีแสงสว่างจากเครื่องเวทย์ส่องแสงที่ส่องสว่างรอบๆน้ำพุเพื่อต้อนรับงานเลี้ยงฉลองในวันนี้

‘ไปเลยดีกว่า?’

คาร์ลเริ่มยืดแข้งยืดขาเพื่อเตรียมความพร้อม ทันใดนั้นเอง

ก๊อก!ก๊อก!ก๊อก!

คาร์ลเปิดผ้าม่านออกดูก่อนจะเปิดประตูออก

“ฮิลส์แมน”

“นายน้อยคาร์ล”

คาร์ลสั่งให้ฮิลส์แมนมาพบเข้าที่นี่เพื่อทำตามแผนที่วางไว้

“เฝ้าให้ดีล่ะ”

“ขอรับ!..นายน้อยวางใจกระผมได้!”

“ดี”

คาร์ลกวาดสายตาไปมองรอบๆหลังจากได้ยินคำตอบรับอย่างแข็งขันของฮิลส์แมน

มีคนจำนวนไม่มากที่อยู่บนระเบียงชั้นสองเพราะยังเป็นช่วงหัวค่ำ

ฟิ้วววววววว!!!

ลมขนาดเล็กถูกสร้างขึ้น ฮิลส์แมนจึงรีบปิดประตูและผ้าม่านลง เขายืนเฝ้าประตูด้านนอกราวกับรูปปั้นพลางกวาดสายตาไปมองรอบๆอย่างระวัง

ตุ๊บ!

คาร์ลยิ้มให้กับฮิลส์แมนเมื่อกระโดดขึ้นไปยังผนังกั้นระเบียงเรียบร้อยแล้ว

“แล้วข้าจะรีบกลับมา”

ฟิ้วววววววววววววว!!!