ตอนที่ 134

Silver Overlord

134 – กินแล้วชักดาบ

เอี้ยนลี่เฉียงเป็นเหมือนป้ายบอกทางเดิน ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนเขาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนบนท้องถนน

หลังจากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเอี้ยนลี่เฉียงก็ไม่ได้รู้สึกกังวลกับความสนใจอีกต่อไป

เนื่องจากนี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเขาในการเป็นศูนย์กลางของความสนใจในการดูหล่อเกินไป จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย

ตอนนี้ท้องของเอี้ยนลี่เฉียงกำลังคำรามอย่างบ้าคลั่ง และในกระเป๋าของเขาไม่มีเงินแม้แต่เหรียญเดียวความยากลำบากจึงเข้าปกคลุมจิตใจของเขาในทันที

เขาน้ำลายสอเมื่อเห็นซาลาเปานึ่งซึ่งราคากhอนละสองเหรียญทองแดงที่คนขายตามท้องถนน เขาเดินไปตามถนนพยายามไม่เหลียวมองทั้งสองข้างของmk’

จนกระทั่งมีร้านอาหารขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้าของเขา เอี้ยนลี่เฉียงเงยหน้าขึ้นสูง และยื่นอกออกมาขณะที่เขาเดินเข้าไปในสถานที่นั้นด้วยสีหน้าที่ไม่แยแส

เด็กรับใช้ในร้านกำลังให้บริการลูกค้าที่ทางเข้าร้านอาหาร ในตอนแรกเขาคิดที่จะหยุดเอี้ยนลี่เฉียงเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่

อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเอี้ยนลี่เฉียงใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทันที จากนั้นเขาก็โค้งคำนับและนำทางเอี้ยนลี่เฉียงไปนั่งที่ด้านในของร้าน

“นายท่านมาคนเดียวหรือเชิญนั่งทางนี้…”

ตอนเที่ยงลูกค้าในร้านอาหารไม่ค่อยเยอะ มีเพียงหนึ่งในสามของที่นั่งที่ถูกครอบครองและมีโต๊ะว่างจำนวนมาก หลังจากเอี้ยนลี่เฉียงมองไปทั่วร้านแล้วเขาจึงนั่งอยู่ที่ขอบหน้าต่าง

“จะสั่งอะไรขอรับนายท่าน” ท่าทีของเด็กรับใช้ประจำร้านค่อนข้างน่าพอใจ แต่สายตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่เสื้อผ้าเก่าๆที่ เอี้ยนลี่เฉียงสวมใส่อยู่สองสามครั้ง

เอี้ยนลี่เฉียงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเด็กรับใช้คนนี้กำลังคิดอะไรอยู่?

“ไม่ต้องยุ่งยาก แค่นำงานฉลองแปดสมบัติและผักผัดมาให้ข้าสักจานก็พอ…” เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวอย่างตั้งใจ กระตุ้นพรสวรรค์โดยกำเนิดที่มีความขี้อวดของเขาอย่างเต็มที่

“งานฉลองแปดสมบัติคืออะไร..?” เด็กรับใช้มองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงด้วยความสับสน

“เจ้าไม่ใช่เด็กรับใช้ที่นี่อย่างนั้นหรือ?” เอี้ยนลี่เฉียงขมวดคิ้ว

เด็กรับใช้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เหตุไฉนนายท่านไม่บอกข้อมูลเกี่ยวกับอาหารนี้ออกมาแล้วข้าจะนำไปบอกพ่อครัวต่อ!”

“ง่ายมากงานฉลองแปดสมบัติประกอบด้วย ส่วนผสมจากวัว แพะ กวาง กวางแม่น้ำ หมูป่ากับไก่ เป็ด ปลาหลีฮื้อ” ผู้รับใช้ทำหน้าแข็งทื่อ

“นายท่านร้านของเราเป็นร้านเล็กๆไม่สามารถให้บริการอาหารนี้ได้ นายท่านต้องการที่จะทานอย่างอื่นหรือไม่?”

“งั้นก็เปลี่ยนอย่างอื่นเถอะ!” เอี้ยนลี่เฉียงมองไปรอบๆร้านอย่างพิถีพิถันก่อนจะพูดราวกับว่าเขาไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้

“งั้นก็เอากระเพาะปลามัตสึทาเกะ, ลูกชิ้นกุ้งสองรส, หม้อปลาเกล็ดหิมะ,มาก็พอแล้ว”

เด็กรับใช้จ้องมองเอี้ยนลี่เฉียงอย่างว่างเปล่า เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอาหารเหล่านี้มาก่อนเลย แม้ว่าเขาจะสามารถเดาส่วนผสมของอาหารบางอย่างที่เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวถึงได้ แต่เขาก็ไม่รู้วิธีปรุงอาหารเหล่านี้

“ท่านครับ ข้าเกรงว่าร้านเล็กๆของเราจะไม่สามารถทำอาหารจานนี้ได้!” เด็กรับใช้เหงื่อเย็นที่หน้าผาก เขาไม่กล้าที่จะสอบถามเกี่ยวกับอาหารอื่นๆต่อไป

“ลืมมันไปเถอะ แค่นำอาหารจานเด่นของร้านนี้มาสัก 2-3 จานก็พอ” เอี้ยนลี่เฉียงพูดโดยไม่มีทางเลือก

เด็กรับใช้เดินออกไปพร้อมกับห้อยไหล่ พลางบ่นพึมพำกับตัวเองเกี่ยวกับขุนนางรุ่นเยาว์จากตระกูลผู้มั่งคั่งที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าๆให้จงใจดูยากจน ดูเหมือนว่าจะเป็นความนิยมล่าสุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ และลูกขุนนางเหล่านั้นก็คิดว่าเป็นเรื่องตลกที่ ได้แกล้งคนอื่น

เด็กรับใช้เดินกลับไปอธิบายสถานการณ์ให้เจ้าของร้านฟัง เจ้าของร้านก็คิดว่าความคิดของเด็กรับใช้ค่อนข้างสมเหตุสมผล เขาจึงรีบสั่งครัวให้ปรุงอาหารที่ดีที่สุดของพวกเขามาขึ้นโต๊ะของเอี้ยนลี่เฉียง

เอี้ยนลี่เฉียงกินอย่างช้าๆ ขณะที่เขาเฝ้าดูสถานการณ์ภายนอกถนนผ่านหน้าต่างอย่างเงียบๆ และแอบฟังการสนทนาของผู้คนในร้านอาหารเล็กๆนี้

พ่อและลูกชายนั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ไกลจากเขามากนัก ทั้งสองกำลังพูดคุยกันขณะรับประทานอาหาร

จากเนื้อหาของการสนทนา เอี้ยนลี่เฉียงค้นพบว่าพ่อกำลังส่งลูกชายของเขาไปที่เมืองหูเพื่อสอบคัดเลือกเข้านิกายภูเขาวิญญาณ

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในนิกายหลักของโลก สำนักงานใหญ่ของนิกายภูเขาวิญญาณไม่ได้ตั้งอยู่ในแคว้นหูแต่ตั้งอยู่ในแคว้นหลิงของอาณาจักรฮั่นอันยิ่งใหญ่

นิกายหลักที่มีชื่อเสียงระดับโลกเช่นนี้มีสาขาหรือสถาบันกระจายอยู่ทั่วอาณาจักรฮั่นอันยิ่งใหญ่ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าที่แคว้นหูจะทำการสอบคัดเลือกศิษย์ใหม่เข้าศึกษาประจำนิกาย

เอี้ยนลี่เฉียงถูกล่อลวงเมื่อได้ยินข้อมูลชิ้นนี้ เขานึกถึงผลของเม็ดยาที่นิกายภูเขาวิญญาณมอบให้กับนายผู้เฒ่าลู่ซึ่งมันสามารถมอบชีวิตให้กับใครบางคนฟื้นจากความตายมาได้

หากเขาต้องการแก้แค้นเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะบางอย่าง หากเขาต้องการเรียนรู้ทักษะบางอย่างเขาต้องหาการสนับสนุนที่เชื่อถือได้…!

บางทีเขาอาจจะลองดูที่นั่น!

เอี้ยนลี่เฉียงตกลงใจทันที

เอี้ยนลี่เฉียงกินอาหารอย่างไม่เร่งรีบจนกระทั่งเขามองเห็นใครบางคนที่กำลังขี่ม้าแรดมังกรอยู่ในเมือง เขาจ้องไปที่ม้าแรดมังกรที่พุ่งออกไปและดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจพร้อมกับร้องว่า

“หยุดตรงนั้น ซูซาน เจ้าจะหนีไปไหน…!” เขาตะโกนเสียงดัง

ทันทีที่เอี้ยนลี่เฉียงตะโกนจบเขาก็กระโดดออกจากร้านอาหารทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไล่ตามม้าแรดนั้นด้วยความเร็วสูง…

คนที่อยู่บนม้าแรดก็ได้ยินเสียงตะโกนของเอี้ยนลี่เฉียงแต่เขาไม่ได้หยุดม้าลงเพราะเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือซูซาน เขายังคงควบม้าต่อไปโดยไม่รู้ตัวว่าเอี้ยนลี่เฉียงกำลังวิ่งอยู่ข้างหลังเขา

ทันทีที่เอี้ยนลี่เฉียงกระโดดลงจากหน้าต่างเด็กรับใช้ของร้านรู้สึกมึนงงอยู่ชั่วคู่แต่กว่าที่เขาไล่เขาออกจากร้านเอี้ยนลี่เฉียงก็อยู่ห่างออกไปไกลมากแล้ว เด็กรับใช้คนนั้นวิ่งตามมาพร้อมกับตะโกน

“คุณชายท่านยังไม่ได้จ่ายเงิน…!” เอี้ยนลี่เฉียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและวิ่งเร็วขึ้น

หลังจากไล่ตามเขาไปสักพักเด็กรับใช้คนนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองดูเอี้ยนลี่เฉียงไล่ตาม ‘ซูซาน’ ที่กำลังขี่ม้าแรดของเขาอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อเขากลับไปที่ร้านเขาจึงได้อธิบายให้เจ้าของร้านฟังเกี่ยวกับการที่เอี้ยนลี่เฉียงกระโดดออกจากร้านแบบนั้น

เจ้าของร้านไม่แน่ใจว่าเอี้ยนลี่เฉียงเป็นคนที่มากินแล้วชักดาบ หรือว่าเขากำลังไล่ล่าใครบางคนจริงๆ ในท้ายที่สุดเขาทำได้แค่มองเหตุการณ์ครั้งนี้และเป็นเรื่องโชคร้ายเท่านั้น

“ เถ้าแก่ไม่ต้องห่วงข้าจะจ่ายเงินค่าอาหารของเด็กหนุ่มคนนั้นเอง…”

เมื่อเจ้าของร้านถอนหายใจและคำนวณการสูญเสีย ลูกค้ารายหนึ่งก็เดินมาข้างหน้าเขาและหยิบเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะเสมียนที่อยู่มุมหนึ่งของร้าน

เจ้าของร้านมีความสุขมากและเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นชายสูงอายุในชุดสีน้ำเงิน

ชายชราคนนี้ก็เป็นลูกค้าคนหนึ่งในร้านที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งของชั้นแรก เขาสั่งสุราชั้นดีหนึ่งกาพร้อมกับถั่วลิสงทอดหนึ่งจาน

หลังจากชายชราชำระเงินแล้วเขาก็ออกจากร้านอาหาร เขามองไปยังทิศทางที่เอี้ยนลี่เฉียงหายตัวไปพร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆบนใบหน้า

เอี้ยนลี่เฉียงวิ่งออกจากเมืองนี้ประมาณห้าหรือหกลี้ในลมหายใจเดียว เมื่อเขาเห็นป่าไผ่ข้างทางเขาก็เลี้ยวเข้าไปและหยุดพักที่นั่นประมาณหนึ่งเค่อ

หลังจากนั้นเขาออกมาจากป่าไผ่อีกครั้งเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาเขาจึงเดินไปในทิศทางของเมืองหูตามที่คนขายกระจกบอก

เนื่องจากวันนี้เขาต้องทานอาหารและมีความจำเป็นต้องชักดาบเขาจึงต้องเลือกร้านอาหารที่ดีที่สุดเป็นธรรมชาติ

หากว่าเขาหยิบฉวยซาลาเปาจากร้านข้างทางมันจะไม่เรียกว่า ‘กินแล้วชักดาบ’ แต่จะเป็น ‘ความอัปยศ’ แทน

ในเวลาพลบค่ำ เมืองแห่งมณฑลหูอันยิ่งใหญ่ก็ปรากฏตัวต่อหน้าเอี้ยนลี่เฉียง