ตอนที่ 170 ของเล่นของเยี่ยนหัง

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 170 ของเล่นของเยี่ยนหัง

มู่เถาเยากลับถึงบ้าน รีบหยิบนกสัมฤทธิ์กับหน้ากากหมาสัมฤทธิ์ออกมากอดชนิดที่แทบทนรอไม่ไหว

ต่อมาขอบตาก็เริ่มแดง

ก่อนหน้านี้ทำใจเย็นได้มากแค่ไหน ตอนนี้ก็ตื่นเต้นดีใจมากเท่านั้น

นี่เป็นของที่เธอทำเองเลยนะ!

ตอนสิบขวบเธอทำกับเสนาบดีกรมทหารที่หลอมอาวุธเป็น เอาไว้ล่อหลอกเยี่ยนหังวัยสามขวบ

เนื่องจากทำเป็นครั้งแรก สภาพก็เลยไม่น่าดูเท่าไร

จากห่านป่าทำออกมาเป็นนกอ้วน เล่นเอาคล้ายแองกรี้เบิร์ดของสมัยนี้พอสมควร

หมาป่าทำออกมาเหมือนหมาบ้าน ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องบอกว่ามันคือหมาบ้าน ยกเว้นเยี่ยนหัง

อาจเพราะความรู้ใจกันของสองพี่น้อง ยังไม่ทันที่เธอจะบอกว่านี่คือหมาป่า เยี่ยนหังก็พูดขึ้นมาทันทีว่าหมาป่า

มู่เถาเยากอดรูปปั้นสัมฤทธิ์สองชิ้นนี้อยู่ประมาณสิบนาที จากนั้นก็ถ่ายรูปส่งให้เย่ว์เลี่ยงกับลู่หันซู

[เย่ว์เลี่ยง: เสี่ยวเยาเยา นี่ใช่ของโบราณหรือเปล่า ทำไมมันดูประหลาดจังล่ะ!]

มู่เถาเยาถามอย่างเกร็งๆ [มันน่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอคะ]

เธอเห็นจนชินแล้ว ไม่รู้สึกว่ามันขี้เหร่เลยสักนิด กลับคิดว่าสุดจะน่ารักด้วยซ้ำ

[เย่ว์เลี่ยง: ถึงแม้จะขี้เหร่เป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ส่งผลต่อมูลค่าของมันเลยสักนิด! เสี่ยวเยาเยา ไปขุดได้จากไหนมา เป็นของเก่าสมัยไหน ทำไมมันดูคล้ายของที่มาจากแผ่นดินจงโจวล่ะ แต่แผ่นดินจงโจวไม่มีแองกรี้เบิร์ดเสียหน่อย แต่หมาตัวนี้พอไหวอยู่]

มู่เถาเยารู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที

[อาคะ นี่ไม่ใช่แองกรี้เบิร์ด มันคือห่านป่า ส่วนหน้ากากอันนี้ก็ไม่ใช่หมาธรรมดา แต่เป็นหมาป่า หนูเพิ่งไปซื้อมาจากเมืองโบราณค่ะ เป็นของที่หนูเคยทำให้เยี่ยนหัง]

[เย่ว์เลี่ยง: !!!]

[อาคะ ของหลายอย่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นหลังจากพวกเรามา]

[เย่ว์เลี่ยง: หลานรัก…มันไม่ใช่ภาพลวงตาเพราะเธอคิดถึงน้องชายมากเกินไปใช่ไหม]

[ไม่ใช่ค่ะ หนูทำเองจริงๆ บนนี้ยังมีสลักชื่อเยี่ยนหังด้วยนะคะ]

มู่เถาเยาหันกล้องที่มีความละเอียดสูงไปตรงอักษรโบราณสามตัวที่บิดเบี้ยวอยู่ตรงมุมล่างซ้ายของหน้ากาก จากนั้นก็กดถ่ายแล้วส่งไป

ตอนนั้นเธอเพิ่งอายุสิบขวบ อีกทั้งยังทำของแบบนี้เป็นครั้งแรก แค่สลักชื่อกับวาดลวดลายลงบนเครื่องสัมฤทธิ์ได้ก็เก่งมากแล้ว ไม่มีทางเขียนได้สวยเหมือนทำบนกระดาษแน่นอน

[อาคะ นี่เป็นของเล่นของเยี่ยนหัง หนูทำให้น้องตอนสิบขวบ]

[เย่ว์เลี่ยง: มิน่าถึงได้ขี้เหร่แบบนี้!]

[…สวยหรือขี้เหร่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ อาคะ อาว่าตอนนี้แผ่นดินจงโจวผ่านไปกี่ปีแล้ว เยี่ยนหังจะมาที่นี่ด้วยหรือเปล่า]

[เย่ว์เลี่ยง: เสี่ยวเยาเยา ไม่ว่ามันจะบังเอิญขนาดไหน พวกเราจะกอดความหวังแบบนี้ไปตลอดไม่ได้นะ ถ้าเยี่ยนหังมาด้วยจริง ก็ย่อมต้องมีวันได้พบกัน ก็เหมือนเธอกับอา แต่ถ้าเขาไม่ได้มา เธอกลับเอาเวลาไปตามหาจนมองข้ามเรื่องอื่น แบบนั้นก็เท่ากับเสียเวลาชีวิต]

[…หนูรู้ค่ะ]

[เย่ว์เลี่ยง: รู้ก็ปล่อยวางซะนะ เสี่ยวเยาเยา พวกเราต้องอยู่กับปัจจุบัน]

ในฐานะแม่ ไม่มีทางที่เธอจะไม่คิดถึงลูกชาย แต่คิดถึงแล้วจะทำอะไรได้

มีแค่สวรรค์ต้องการให้เธอเจอเท่านั้นเธอถึงจะเจอได้

เรื่องแบบนี้เกินกว่ากำลังมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงได้

[อาคะ หนูเข้าใจ ก็แค่มันมีความเป็นไปได้สูงมาก หนูจะไม่คิดก็ไม่ได้…]

[เย่ว์เลี่ยง: หลานรัก สบายใจได้ ถ้าเยี่ยนหังมาจริง เขาก็ต้องตามหาหลานเหมือนกัน อย่าคิดมากเลยนะ]

[ค่ะอา หนูแน่ใจแล้วว่าหมอหญิงเดินเท้าคนนั้นก็คืออาจารย์ของหนู เธอเหมือนกับชาติที่แล้ว ชาตินี้ก็กำลังตามหาพี่ชายเหมือนกัน พี่ชายของเธออาจเป็นอาจารย์อาเล็กของหนู]

[เย่ว์เลี่ยง: เจียงเฉาเหรอ]

[ค่ะ อาจารย์อาเล็กถูกลักพาตัวไปตอนหกขวบ ศีรษะได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง อาจารย์ปู่ของหนูรักษาเขาถึงสองปีกว่าจะหาย แต่ก็ยังคงสูญเสียความทรงจำ]

[เย่ว์เลี่ยง: บนโลกนี้มีเด็กถูกลักพาตัวตั้งเยอะแยะ ทำไมเธอถึงเดาว่าอาจารย์อาเล็กของเธอจะเป็นพี่ชายของอาจารย์เธอล่ะ]

[ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจหรอกค่ะ หนูส่งคนไปสืบที่บ้านเกิดของหมอลู่แล้ว อาเล็กกับอาสะใภ้เล็กของหมอลู่น่าสงสัยมาก หลังจากพี่ชายของหมอลู่หายตัวไปพวกเขาก็หายไปด้วย ไม่กลับมาอีกเลย]

[เย่ว์เลี่ยง: แล้วพ่อแม่ของหมอลู่ล่ะ]

[พ่อของหมอลู่ก็ออกไปตามหาหลังจากลูกชายหายไป ต่อมาก็ตายที่นอกบ้านเกิด ส่วนแม่ก็ตามหาต่อ แม่ของหมอลู่ตายไปตอนเธออายุสามขวบ…]

[เย่ว์เลี่ยง: …เสี่ยวเยาเยา ไว้เจออาจารย์เมื่อไร เธอต้องแสดงความกตัญญูให้ดีนะ]

[แน่นอนค่ะ]

[เย่ว์เลี่ยง: อืม มีอะไรให้ช่วยไหม]

[ไม่มีค่ะ หนูมีคนช่วยอยู่]

[เย่ว์เลี่ยง: ได้ ไว้เธอเจออาจารย์เมื่อไรอาจะไปเยี่ยมนะ]

[ค่ะ อาคะ ช่วงนี้ที่เผ่างานยุ่งเหรอคะ]

[เย่ว์เลี่ยง: อืม เพื่อสร้างบ้านเมืองที่แข็งแกร่งให้เธอ ชาติที่แล้วเธอเหนื่อยมามาก ชาตินี้ควรได้อยู่อย่างสบายใจ อยากไปไหนก็ไปได้ อยากทำอะไรก็ทำ]

เธอรู้มาตลอดว่าลูกสาวอยากตามน้าชายไปท่องเที่ยวให้ทั่วทุกหนแห่ง

แต่องค์หญิงจะออกจากวังเป็นเวลานานไม่ได้

[อาคะ…]

[เย่ว์เลี่ยง: ชาติที่แล้วอาปกป้องพวกเธอสองพี่น้องให้เติบโตอย่างปกติสุขไม่ได้ อารู้สึกผิด]

[เสด็จแม่…]

มู่เถาเยาสะอื้น

[เย่ว์เลี่ยง: เสี่ยวเยาเยา หลังจากที่รู้จักเธอ อานอนฝันทั้งน้ำตาอยู่หลายครั้ง ขอบคุณสวรรค์ที่พาลูกสาวกลับมาอยู่ข้างอาอีกครั้ง อาอยากให้เยี่ยนหังมาที่นี่มากกว่าเธอเสียอีก พวกเราจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน แต่ว่าเรื่องบางอย่างคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ เข้าใจไหมเสี่ยวเยาเยา]

เพราะเธอเคยลองมาก่อน สุดท้ายกลับไม่ได้ก็คือกลับไม่ได้

โชคดีที่สวรรค์เมตตา ส่งสองคนมาเป็นเพื่อนเธอ

เยี่ยนหังรอก่อนนะ

ความบังเอิญมากมายขนาดนี้ทำให้เธอก็เชื่อว่าลูกชายจะได้มาพบพวกเธอที่โลกนี้ ก็แค่ไม่รู้ว่าเมื่อไรและที่ไหน

พวกเธอจำต้องเก็บเขาไว้ในส่วนลึกของหัวใจก่อน เอาแต่นั่งคิดถึงตลอดเวลาไม่ได้

เพราะชีวิตคนเรายิ่งนึกถึงอะไรก็ยิ่งไม่ได้สิ่งนั้น ยิ่งทำเฉยมองข้ามไป กลับยิ่งกลายเป็นสมหวัง

[หนูเข้าใจแล้วค่ะเสด็จแม่]

[เย่ว์เลี่ยง: เสี่ยวเยาเยา ทำเรื่องที่ตัวเองควรทำ เรื่องอื่นปล่อยให้เป็นลิขิตสวรรค์ ใช้ชีวิตให้ดี อย่าให้เสียทีที่ได้มาประเทศเหยียนหวง ในเมื่อแผ่นดินจงโจวกลายเป็นอดีตไปแล้ว งั้นก็ปล่อยให้มันผ่านไป]

[ค่ะ]

มู่เถาเยาออดอ้อนเย่ว์เลี่ยงอยู่สักพักก็ถูกไล่ให้ไปกินข้าว

เธอไม่อยากกินข้าว จึงกินพวกเนื้อตากแห้งกับถั่วต่างๆ ที่เอามาจากหมู่บ้านเถาหยวนซาน ทำน้ำผลไม้ดื่ม อิ่มไปหนึ่งมื้อ

เพิ่งดื่มน้ำที่ทำจากผลนมหมาป่าเสร็จ ลู่หันซูก็ตอบข้อความเธอ

[ลู่หันซู: เสี่ยวมู่ ขอโทษที เมื่อกี้ฉันทำการทดลองอยู่]

[ไม่เป็นไร ฉันเองก็ตอบข้อความช้าบ่อยๆ]

[ลู่หันซู: เธอส่งรูปนี้มาเพราะอยากให้ฉันส่งต่อให้อาจารย์ลู่เหรอ]

[ใช่ รบกวนด้วยนะ อาจารย์ลู่เห็นรูปนี้ก็จะรู้ว่าเป็นฉัน จะต้องถามหาฉันทันทีแน่นอน พอถึงตอนนั้นเธอค่อยบอกวิธีติดต่อฉันไป]

อาจารย์ย่อมจำของเล่นที่เธอทำให้เยี่ยนหังได้

[ลู่หันซู: ได้เลย ฉันจะส่งให้อาจารย์ลู่เดี๋ยวนี้]

[อืม ขอบใจนะ]

[ลู่หันซู: ไม่เป็นไร ขอถามหน่อยสิ นี่เป็นของโบราณเหรอ บ้านฉันมีอยู่หนึ่งชิ้น ดูเหมือนจะเป็นของยุคเดียวกับสองชิ้นนี้นะ]

[เธอสะดวกถ่ายให้ฉันดูไหม]

[ลู่หันซู: ตอนนี้ฉันอยู่มหา’ลัย ไว้สุดสัปดาห์กลับไปจะถ่ายให้ดูนะ]

[โอเค ของที่บ้านเธอเป็นยังไงเหรอ เป็นมรดกตกทอดเหรอ]

[ลู่หันซู: สมัยฉันเด็กๆ ปู่ทวดชี้มันแล้วบอกว่าทิ้งไว้ให้ฉันเล่น แต่มันใหญ่เกินไป เอามาเป็นของเล่นไม่ได้ มันเป็นเตาดอกท้อสัมฤทธิ์ เหมือนเตาที่สมัยโบราณเอาไว้ทำยาเลย]

[เตาดอกท้อ!]

มู่เถาเยาตื่นเต้นจบแทบอยากเข้าไปในโทรศัพท์ขอดูเตาดอกท้อ

[ลู่หันซู: ใช่ เป็นเตาทรงกลม มีสามขา ไม่มีหูจับ มีฝาปิด ขนาดได้มาตรฐานมาก ลวดลายก็ประณีต ทรงโบราณสมส่วน แต่ที่น่าแปลกคือ คนโบราณชอบพวกลายมังกร ลายเมฆอะไรแบบนั้นไม่ใช่เหรอ ทำไมของที่บ้านฉันถึงเป็นลายดอกท้อล่ะ อาจไม่ใช่ของโบราณหรือเปล่า]

มู่เถาเยาพยายามข่มความตื่นเต้นดีใจที่พลุ่งพล่านไปทั้งตัวเอาไว้ พิมพ์ตอบกลับด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย [เตาดอกท้อนั่นเธอขายไหม]