ตอนที่ 114 แรงกดดันแสนยิ่งใหญ่

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 114 แรงกดดันแสนยิ่งใหญ่

เจียงโม่หานปรายตามองหลินจื่อเหยียนจากนั้นก็กล่าวว่า “ความสำเร็จในการศึกษาไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ หากยึดจากความสามารถของเจ้าในเวลานี้ การทดสอบระดับท้องถิ่นทั้งเซี่ยนซื่อและฝู่ซื่อไม่น่าจะมีปัญหาอันใด ขอเพียงอย่าเกิดเหตุไม่คาดฝันก็คงจะผ่านไปด้วยดี”

“อ้อ ! ที่แท้ก็กังวลก่อนสอบนี่เอง” หลินเว่ยเว่ยเริ่มเข้าใจจึงพูดปลอบ “บัณฑิตถงเซิงอายุสามสิบสี่สิบมีให้เห็นอยู่ทั่วไป เจ้าเพิ่งอายุสิบสามสิบสี่ สอบฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็แค่ไปลองสนามเท่านั้น ส่วนจะสอบติดหรือไม่ เจ้าก็เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวเราอยู่ดี ! ”

หลินจื่อเหยียนฟังแล้วไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นแม้แต่น้อย

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หันไปมองเจียงโม่หาน “ศิษย์พี่เจียง ท่านบอกว่าข้าเหลือเวลาอีกครึ่งปีให้ศึกษาอย่างหนัก แล้วท่านคิดว่าข้ามีโอกาสสอบติดซิ่วไฉหรือไม่ ? ”

เจียงโม่หานหันมามอง “ถ้าในครึ่งปีนี้เจ้าศึกษาตามที่ข้าบอก กอปรกับโชคช่วยแล้ว เจ้าก็น่าจะพอติดอันดับท้าย ๆ ”

เนื่องจากหัวข้อในการทดสอบปีหน้าเกิดการรั่วไหลและจับบัณฑิตที่โกงข้อสอบได้จำนวนมาก ผลการสอบที่ได้ยี่สิบอันดับแรกจึงเกือบเป็นโมฆะทั้งหมด ! ส่งผลให้บัณฑิตในสิบอันดับแรกของรายชื่อสำรองได้ผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ กลายเป็นบัณฑิตที่ติดอันดับต้น ๆ และได้รับตำแหน่งเป็นซิ่วไฉแทน

หลินจื่อเหยียนศึกษาตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าได้ค่อนข้างดี ด้านความจำก็ไม่น่ามีปัญหา ทว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ที่การเขียนกลวิธี หากนำหัวข้อในการทดสอบปีหน้ามาให้เขาฝึกฝนอย่างเข้มงวดก็อาจยังมีหวังในตำแหน่งซิ่วไฉอยู่บ้าง

ช่วงหลายวันมานี้หลินจื่อเหยียนติดตามศึกษาตำรากับเจียงโม่หานมาโดยตลอด ดังนั้นจึงมีความชื่นชมต่อศิษย์พี่เจียงเพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่น่าแปลกใจที่อาจารย์ฟ่านผู้รอบรู้จะปฏิบัติต่อศิษย์พี่เจียงต่างจากผู้อื่น เพราะศิษย์พี่เจียงทำให้เขารู้สึกเหมือนเห็นท้องทะเลที่ทั้งลึกลับซับซ้อนและอ้างว้างสุดบรรยาย คำตอบของศิษย์พี่เจียงมักทำให้เขาเข้าใจโดยฉับพลัน…ความรู้สึกเช่นนี้คือสิ่งที่เขาสัมผัสไม่ได้ในห้องเรียน !

ดังนั้นศิษย์พี่เจียงจะต้องไม่ใช่คนที่พูดอย่างเรื่อยเปื่อยแน่นอน ในเมื่อบอกว่าเขามีโอกาสที่จะสอบติดซิ่วไฉ เช่นนั้นตัวเขาก็ต้องสู้สุดกำลัง ต้องลองสักตั้ง !

“ต่อไปต้องรบกวนศิษย์พี่เจียงช่วยชี้แนะด้วย ! ” หลินจื่อเหยียนทำมือคารวะแล้วโค้งคำนับให้อีกฝ่าย เขาตัดสินใจแล้วว่าอีกครึ่งปีก่อนสอบระดับท้องถิ่น เขาจะไม่ไปศึกษาที่สำนักศึกษาแต่จะศึกษาตำราอยู่กับศิษย์พี่เจียงแทน เพียงแต่เขากลัวว่าจะเป็นตัวถ่วงให้อีกฝ่าย…

หลินจื่อเหยียนพึมพำในสิ่งที่กังวลด้วยเสียงแผ่วเบาแต่แล้วเจียงโม่หานก็กล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ด้วยสุขภาพร่างกายของข้า ปีหน้าจะร่วมสอบได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่ชัด อีกอย่างหากข้าคอยอธิบายหรือตอบคำถามของเจ้าก็ถือว่าได้ทบทวนให้ตนเองไปด้วย ดังนั้นไม่ถือว่าเจ้าเป็นตัวถ่วงอันใดทั้งสิ้น”

“ศิษย์พี่เจียง ปีหน้าท่านจะไม่ร่วมสอบหรือ ? เช่นนั้นคู่แข่งของข้าก็ลดลงหนึ่งคนใช่หรือไม่ ? ” หลินจื่อเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงมีความสุขจากเรื่องน่าประหลาดใจนี้

แต่ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็หันมาเขกศีรษะเขา “เจ้าเด็กโง่ ในใจคิดอันใดอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาทั้งหมดหรอก ยังดีที่เราสนิทกับบัณฑิตน้อย หากเป็นผู้อื่นไม่มอบรองเท้าให้เจ้าก็แปลกแล้ว ! ”

หลินจื่อเหยียนลูบบริเวณที่โดนเขกพลางคลี่ยิ้มอย่างเขินอาย ศิษย์พี่เจียงไม่มีทางวางเป้าหมายไว้แค่ตำแหน่งซิ่วไฉหรอก ! ทันใดนั้นหลินจื่อเหยียนก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาอีกครา…ถ้าอยากไล่ตามอีกฝ่ายให้ทันก็ต้องพยายามให้มากกว่านี้ !

“ถึงแล้ว ! ” เจียงโม่หานหยุดยืนตรงหน้าบ้านที่แสนธรรมดาหลังหนึ่ง

หลินเว่ยเว่ยเดินตามเข้าไปในลานบ้าน นางกวาดสายตามองสิ่งของต่าง ๆ ด้วยความประหลาดใจแล้วมองไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก นี่คือลานบ้านธรรมดาที่มีห้องหลัก 3 ห้อง ซึ่งในแต่ละห้องมีห้องปีกทางซ้ายและขวา ในห้องปีกมีโต๊ะเก้าอี้วางประดับขณะเดียวกันก็มีกลิ่นหอมเย้ายวนลอยออกมาจากห้องครัว ที่แท้ในสมัยโบราณก็มีบ้านที่เปิดเป็นร้านอาหารด้วย !

“นี่ไม่ใช่บัณฑิตเจียงหรอกหรือ ไม่ได้เจอกันนานเลย ! ” หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งเดินออกมาจากห้องครัว “หู่จือ รีบออกมาช่วยแม่ต้อนรับลูกค้าเร็ว ! ”

เจียงโม่หานเลือกนั่งที่ห้องปีกตะวันตก จากนั้นก็พูดกับหลินเว่ยเว่ยและน้องชายว่า “หลังจากสูญเสียสามีไปแล้ว นางต้องดูแลบุตรทั้งสามเพียงคนเดียว นางมีฝีมือในการทำอาหารไม่เลว เพื่อดูแลลูกที่ยังเล็กและไม่อยากไปช่วยทำครัวให้ตระกูลใหญ่ นางจึงเปิดร้านอาหารที่บ้านเพื่อหารายได้เล็กน้อย เนื่องจากอยู่ใกล้สำนักศึกษาจึงทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักเรียนในสำนักศึกษา ปัญหากวนใจจึงมีไม่มาก ! ”

หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ! ต้องขอบคุณการสนับสนุนจากเหล่านักเรียนจึงทำให้ร้านเล็ก ๆ ของข้าอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ บัณฑิตเจียงอยากกินอะไร ? ที่อู๋หลี่อิงมีบ่อน้ำขนาดใหญ่กำลังแห้งเหือด พวกชาวบ้านที่นั้นจึงจับปลามาขาย ข้าซื้อไว้สองตัว บัณฑิตเจียงอยากจะลองชิมหรือไม่ ? ”

“มีปลาด้วยหรือ ? ” พอได้ยินแล้วหลินเว่ยเว่ยก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ปลาอะไร ? ใช่ปลาหลี1หรือไม่ ? ”

หญิงวัยกลางคนฟังออกจากน้ำเสียงว่าอีกฝ่ายเป็นสตรี จึงประหลาดใจว่าเหตุใดบัณฑิตทั้งสองมีสตรีแต่งชุดบุรุษอยู่ข้างกายได้ แต่นางก็อดกลั้นความสงสัยเอาไว้แล้วตอบพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ หนึ่งในนั้นมีปลาหลีหนักครึ่งชั่ง”

ปลาหลีหนักครึ่งชั่งสามารถทำปลาต้มราดพริกกระเทียมได้พอดี เมื่อชาติที่แล้วอาหารที่หลินเว่ยเว่ยชอบกินที่สุดคือปลาต้มราดพริกกระเทียม พอทะลุมิติมาก็ยังเป็นช่วงเกิดภัยแล้งรุนแรงจนแทบไม่มีปลาให้เห็นอีก คาดไม่ถึงว่านางจะได้มาเจอในวันนี้

“พาข้าไปดูหน่อยได้หรือไม่ ? ” จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็หันไปพูดกับบัณฑิตหนุ่มและน้องสาม “อีกประเดี๋ยวข้าจะทำของอร่อยให้กิน ! ”

ไม่เพียงหลินจื่อเหยียนเท่านั้น เพราะแม้แต่เจียงโม่หานก็ยังรู้สึกตั้งตารอว่า ‘ของอร่อย’ ที่นางกล่าวถึงจะต้องเป็นอาหารแปลกประหลาดและมีรสชาติไม่ธรรมดาแน่นอน !

หลินเว่ยเว่ยมองปลาสดใหม่ในครัวด้วยความพึงพอใจ นางกล่าวกับหญิงวัยกลางคนว่า “ข้าทำปลาตัวนี้เองได้หรือไม่ ? ควรจ่ายเท่าไหร่ ข้าจะจ่ายไม่ให้ขาดแม้แต่อีแปะเดียว ! ”

หลังจากที่หญิงวัยกลางคนได้ยินว่าไม่ต้องลงมือทำเองแล้วยังได้ราคาอาหารตามที่ควร นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร ?

หลินเว่ยเว่ยฆ่าปลาและนำไปล้างจนสะอาดแล้วจัดการเลาะก้างโดยเฉือนเพียงไม่กี่ครั้ง ผ่านไปไม่นานพริกแดงแห้งก็ถูกหั่นเป็นท่อน กระเทียมและขิงสับละเอียด ต้นหอมซอยก็พร้อมสรรพ เมื่อเตรียมวัตถุดิบเสร็จแล้ว นางก็วางปลาลงในกระทะ เติมเหล้าปรุงอาหาร ขิงหั่นแว่นและต้มนานไม่ถึง 1 เค่อ ( ประมาณเจ็ดถึงแปดนาที ) จากนั้นก็ตักปลาใส่จาน ราดซอสที่เคี่ยวไว้แล้วบนตัวปลาตามด้วยขิงและกระเทียมสับ ส่วนกระเทียมที่เหลือและพริกแห้งก็ใช้น้ำมันผัดจนหอม จากนั้นก็ราดบนตัวปลาชั้นแล้วชั้นเล่าทำให้มีกลิ่นหอมแปลกใหม่ลอยคละคลุ้งไปทั่ว สุดท้ายโรยด้วยต้นหอมซอยก็เป็นอันเสร็จสิ้น

หญิงวัยกลางคนที่ทำอาหารอยู่อีกด้านหนึ่งก็อดเหลือบมองไม่ได้…แดง ๆ ขาว ๆ สีสดใส มองแล้วทำให้อยากอาหารขึ้นมาทันที กลิ่นหอมฉุนและกลิ่นกระเทียมรวมเข้าด้วยกัน คาดไม่ถึงว่าปลาก็จะนำมาทำอาหารเช่นนี้ได้ด้วย !

“จัง จั่ง จั้ง จั๊ง ! ” หลินเว่ยเว่ยนำปลาที่เพิ่งทำเสร็จแล้วมาวางบนโต๊ะ “มา มาชิมอาหารจานเด็ดฝีมือข้า…ปลาต้มราดพริกกระเทียม ! ”

หลินเว่ยเว่ยคีบเนื้อปลาส่วนท้องมาวางในถ้วยของบัณฑิตหนุ่มแล้วคีบให้น้องชายของตนเป็นลำดับถัดไป จากนั้นก็เริ่มลิ้มรสอย่างอดใจรอไม่ไหว เนื้อปลาหนึ่งคำทำให้สัมผัสกับรสชาติที่ขาดหายไปนาน นางมีความสุขจนน้ำตาแทบไหล !

ท่าท่างการรับประทานอาหารของเด็กตัวแสบทำให้คนมองอยากอาหารขึ้นพอสมควร เนื้อปลานุ่มและเค็มกำลังดี เผ็ดหอมอร่อยลงตัว แม้เจียงโม่หานจะเป็นผู้ที่เคยลิ้มลองอาหารชั้นเลิศในชาติที่แล้ว ทว่ายังไม่เคยกินปลาที่อร่อยถึงเพียงนี้มาก่อน

ขณะมองพี่รองกินปลา หลินจื่อเหยียนก็ขมวดคิ้วพลางถลึงตาใส่นางทันที จบกัน พี่รองถลำลึกไปแล้ว เนื้อปลาคำแรกไม่ให้น้องชายแต่คีบให้คนนอกแทน…ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าความรู้สึกกดดันบนบ่าทะยานขึ้นทันที ทำอย่างไรจึงจะอยู่เหนือศิษย์พี่เจียงแล้วทำให้พี่รองมีโอกาสและคุณสมบัติคู่ควรได้แต่งงานกับตระกูลเจียง น้องชายคนนี้ต้องพยายามให้มากกว่าเดิม !

1 ปลาหลี คือ ปลาไน

ตอนต่อไป