ตอนที่ 115 หากรักชีวิตก็ควรอยู่ให้ห่างจากบุตรสาวคนรอง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 115 หากรักชีวิตก็ควรอยู่ให้ห่างจากบุตรสาวคนรอง

“รสชาติเป็นอย่างไร ? อร่อยใช่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยแสดงสีหน้าตื่นเต้นยินดีขณะรอฟังคำตอบ

ส่วนเจียงโม่หานแสดงความเห็นอย่างตระหนี่ว่า “ใช้ได้ ! ”

“แค่ใช้ได้เองหรือ ? บัณฑิตน้อย เจ้าลองไตร่ตรองอีกสักรอบแล้วพูดอีกที ! ” หลินเว่ยเว่ยกัดฟันแล้วทำท่าทางราวกับว่าหากไม่ชมข้าก็จะยกปลาต้มราดพริกกระเทียมนี่ออกไป

เจียงโม่หานยกมือขึ้นจับหน้าอกข้างซ้าย จากนั้นก็พยักหน้าแล้วเอ่ยซ้ำประโยคเดิม “ใช้ได้ ! ”

หลินเว่ยเว่ยโมโหมากจนเกือบจะทุบโต๊ะ “นี่เจ้า ! รู้จักแต่ทำให้ข้าโมโห ! ! ”

เจียงโม่หานหันมาส่งสายตาให้นาง ใครกันแน่ที่ทำให้ผู้อื่นโมโห ? เจ้าลองใช้มโนธรรมแล้วพูดออกมา !

หลินเว่ยเว่ยพ่นลมหายใจเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ดีที่ข้ามีจิตใจโอบอ้อมอารีและเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างจึงไม่ถือสาหาความเจ้า ! ”

ต่อจากนั้นนางก็คีบเนื้อปลาส่วนท้องขึ้นมาชิ้นโตแล้วกวัดแกว่งมันตรงเบื้องหน้าบัณฑิตหนุ่ม ท้ายที่สุดก็ส่งเข้าปากของตน

หลินจื่อเหยียนเริ่มรู้สึกว่าประสาทรับรสไม่ทำงาน ให้ตายเถิด ! พี่รองถลำลึกไปแล้ว ทว่าศิษย์พี่เจียงยังเย็นชาไร้ความรู้สึก ข้ากังวลว่าพี่รองจะผิดหวังและต้องเจ็บปวดเหลือเกิน !

หญิงวัยกลางคนทำอาหารมังสวิรัติซึ่งผักยังสดใหม่เหมือนเดิม ทว่าด้านรสชาติไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษ หลินเว่ยเว่ยไม่ค่อยชอบกินอาหารมังสวิรัติแต่ก็ยังให้เกียรติกินเข้าไปไม่น้อยทีเดียว ราคาอาหารก็สมเหตุสมผล ปลาหนึ่งตัว อาหารมังสวิรัติสามอย่างกับหมั่นโถวอีกสองเข่งเมื่อรวมกันแล้วก็จ่ายเพียง 200 อีแปะเท่านั้น

หากเป็นตระกูลเจียงและตระกูลหลินในสมัยก่อนก็นับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่เลยทีเดียว บัณฑิตหนุ่มจึงแทบทำใจไม่ได้ที่จะจ่ายค่าอาหาร !

“การจะคบค้าสมาคมกับผู้ใด ในอนาคตยังต้องเผชิญเหตุการณ์เหล่านี้อีก ! ” หลินเว่ยเว่ยแกล้งเย้าจนทำให้เจียงโม่หานต้องหวนนึกถึงในตอนยากลำบากอีกครา

แม้ตัวเขาจะเป็นคนรักสันโดษและหยิ่งยโส ทว่าในสำนักศึกษาก็ยังคบหากับสหายที่มีนิสัยดีอยู่สองสามคน สหายทั้งหลายมีฐานะทางครอบครัวดีพอสมควร ดังนั้นจึงมักเชิญเขามานั่งที่ร้านของหญิงวัยกลางคนเพื่อถกเถียงเรื่องบทกวีและงานศิลปะต่าง ๆ

ด้วยนิสัยของเจียงโม่หานจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ปล่อยให้ผู้อื่นเลี้ยงอยู่ฝ่ายเดียว เพราะไม่ว่าอย่างไรระหว่างสหายก็ต้องมีมารยาทและเอาใจใส่กันอยู่แล้ว เพื่อมื้ออาหารมื้อหนึ่งในแต่ละเดือน อย่างน้อยเขาจะต้องคัดลอกตำราให้ได้สองเล่มหรือแม้แต่อดอาหารเป็นเวลานานก็ว่าได้…พอย้อนนึกถึงแล้วเขาก็รู้สึกว่าความทรงจำช่างแตกต่าง…ไม่ใช่ความทรงจำสิ มันคือคนละชีวิตเลยต่างหาก

โชคดีที่ในชาตินี้ หลังได้พบเด็กตัวแสบแล้ว ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป ไม่ต้องทุกข์ทรมานเพียงลำพัง ไม่ต้องดิ้นรนในความหนาวเหน็บ ไม่ต้องพลัดพรากจากสหายและไม่ต้องยอมจำนนต่อชื่อเสียงและความมั่งคั่งอีกแล้ว…

พอตระหนักได้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งดูเหมือนจะเริ่มตั้งแต่ที่เด็กตัวแสบช่วยชีวิตเขาไว้ เขาจึงเริ่มคิดว่านางอาจเป็นเช่นที่มารดาพูดไว้จริง ๆ

นางเป็นดาวนำโชคของตระกูลเจียงจริงหรือ ?

หากว่า…ตัวตนของนางไม่ได้มีสิ่งใดที่ผิดปกติและเป้าหมายที่นางเข้ามาใกล้ชิดเขากับมารดาไม่ใช่การทำร้าย เช่นนั้นเขาก็คงไม่ปฏิเสธที่จะเข้าใกล้นาง…

ทันใดนั้นถ้อยคำของเฝิงชิวฟานก็ผุดขึ้นมาในสมอง แต่แล้วมันก็ถูกเขาลบหายไปอย่างรวดเร็ว…หากเขารับเด็กตัวเหม็นไว้เป็นอนุภรรยา นางคงเลาะกระดูกเขาทิ้งแน่นอน !

“บัณฑิตน้อย เจ้าคิดอันใดอยู่ ! ได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ ? ” ฝ่ามือของหลินเว่ยเว่ยตบไปที่แผ่นหลังของเจียงโม่หาน

ดูเถิด ด้วยร่างกายและพละกำลังนี้ แค่การหยอกล้อกันก็ยังมือหนักได้ถึงเพียงนี้ หากรักชีวิตก็ควรอยู่ให้ห่างจากบุตรสาวคนรองตระกูลหลิน ! เจียงโม่หานกระแอมไอประมาณสองสามคราจากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงโมโห “แค่พูดก็ได้นี่ เหตุใดต้องลงไม้ลงมือด้วย ? ”

หลินเว่ยเว่ยยกฝ่ามือที่ก่อปัญหาขึ้นมา จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “จะโทษข้าไม่ได้นะ มันขยับไปเองต่างหาก ! อีกอย่างข้าก็แค่ขยับมือ ไม่ได้ขยับไม้เสียหน่อย ! ”

ทำไม ? เจ้ายังอยากทุบข้าอีกหรือ ? ข้าไปมีความแค้นอันใดต่อเจ้า ? เจียงโม่หานโมโหจนควันออกหู

แต่หลินเว่ยเว่ยฉีกยิ้มไร้เดียงสาแล้วแสร้งทำท่าทางโง่เขลา “ไม่ว่าบัณฑิตน้อยเป็นเช่นไรก็ดูดีหมดเลย แม้แต่ท่าทางโมโหก็ยังทำให้ผู้อื่นหวั่นไหวได้ถึงเพียงนี้ ! ”

“หุบปาก ! ต่อไปห้ามพูดเช่นนี้อีกโดยเฉพาะกับผู้อื่น จำไว้ ! ” เจียงโม่หานจ้องนางและตำหนิด้วยความโกรธเคือง แต่ถ้ามองให้ดีแล้วใบหูของเขากำลังมีสีแดงก่ำเผยให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกอย่างชัดเจน

หลินเว่ยเว่ยยังคงพูดหยอกเขาต่อไป “เอาเถิด เอาเถิด ! ข้าจะพูดเช่นนี้กับผู้อื่นได้อย่างไร ? ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนเจ้าเสียหน่อยที่หน้าตาอ่อนหวานราวกับลูกท้อและลูกพลัม เยือกเย็นดุจน้ำค้างแข็ง1 ช่างงามล่มเมืองเสียเหลือเกิน ! ”

“เจ้า…อยากทำให้ข้าโมโหจนตายใช่หรือไม่ ? ” อ่อนหวานราวกับลูกท้อและลูกพลัม เยือกเย็นดุจน้ำค้างแข็ง งามล่มเมือง เหล่านี้เอาไว้ใช้สำหรับสตรี ! เล่นคำไม่เป็นก็อย่าพูดเรื่อยเปื่อย ! หากชาตินี้เขาต้องตายตั้งแต่เยาว์วัยก็ต้องเป็นเพราะนางตัวแสบชอบยั่วโทสะผู้นี้ !

หลินเว่ยเว่ยจึงรีบหาทางบรรเทาโทสะให้บัณฑิตหนุ่ม “เอาเถิด ! ข้าผิดเอง เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ ? ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นจริง ๆ ก็แค่อิจฉาที่เจ้ามีรูปโฉมงดงามกว่าเท่านั้นเอง ถ้ารูปโฉมของเจ้ามาอยู่บนหน้าของข้า ฮึ คำที่ว่ามัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนางจนกลายเป็นภัยต่อประเทศชาติบ้านเมืองต้องเป็นของข้าแน่นอน ! ”

หลินจื่อเหยียนที่เดินตามทั้งสองคนมาอย่างเงียบ ๆ ก็อดยกมือปิดหน้าไม่ได้ พี่รอง สู้ท่านไม่อธิบายเพิ่มยังจะดีเสียกว่า ยิ่งพูดก็ยิ่งผิด รีบเงียบเถิด !

เจียงโม่หานสูดหายใจเข้าลึก “อย่างเจ้าน่ะหรือ ? ยังคิดจะงามล่มเมืองอยู่อีก เป็นตัวหายนะยังพอว่า ! ใครแต่งกับเจ้าคนนั้นก็ต้องโชคร้าย เพราะไม่ช้าก็เร็วต้องโดนฝ่ามือของเจ้าตีจนตาย ! ”

“คราวหน้าข้าจะเบามือกว่านี้ไม่ดีหรือไร ? อย่าสาปแช่งตนเองสิ ! ” หลินเว่ยเว่ยคิดว่าการควบคุมแรงมือของตนเข้าขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ดังนั้นไม่มีทางเกิดเหตุน่าอนาถขึ้นแน่ !

ทว่าเจียงโม่หานได้ยินเป็นอย่างอื่น เขาหันมาชี้หน้านางทันที แต่ในขณะที่กำลังจะต่อว่านางเป็นคางคกคิดจะกินเนื้อห่านฟ้า ด้านข้างก็มีผู้คนเดินผ่านไปมา เขาจึงได้แต่ใช้นิ้วชี้หน้านาง จากนั้นก็สะบัดมือแล้วหันไปเดินอย่างเร่งรีบ เป็นอย่างที่คิดว่าเด็กตัวแสบไม่ได้บริสุทธิ์ใจต่อเขา ! อยากแต่งกับเขาเช่นนั้นหรือ ? ฮึ ไม่ดูตัวเองบ้าง !

“เฮ้ ! เหตุใดจึงโมโหอีกแล้ว ? ข้าสัญญาว่าต่อไปจะไม่ตีเจ้าแล้วก็ได้ ยังไม่พอใจอีกหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยวิ่งตามเขาไป คนหน้าตาดีไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีล้วนมีนิสัยไม่แน่ไม่นอนเช่นนี้หมดหรือ ?

หลินจื่อเหยียนที่วิ่งตามทั้งสองคนก็โมโหจนควันออกหู พี่รอง ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้ ! เพราะจะยิ่งทำให้ศิษย์พี่เจียงตีตัวออกห่างมากขึ้น ! หืม ? หรือจะสอนพี่รองให้อ่านตำราสักหน่อยทุกคืน ให้นางอ่านตำราคุณสมบัติทั้งสี่ของสตรีเพื่อจะได้ปลูกฝังให้นางเป็นสตรีที่อ่อนโยนเสียบ้าง !

เมื่อทั้งสามคนกลับถึงห้องแถวที่เพิ่งซื้อ ดวงตาของหลินเว่ยเว่ยก็จับจ้องสินทรัพย์ชิ้นแรกของครอบครัว ! ต่อไปนางต้องเพิ่มสินทรัพย์ให้ครอบครัวมากกว่านี้ ทำให้พวกน้องชายได้ว่ายอยู่ในห้วงทะเลแห่งการเรียนรู้โดยไร้กังวล !

“บัณฑิตน้อย ข้าคิดจะปล่อยให้เช่าทั้งหกห้อง ข้าจะทำให้มันเป็นห้องที่ว่างเปล่าแล้วปรับเป็นโกดัง ! เสริมผนังเดิมให้แข็งแรงขึ้นแล้วแทนที่หลังคาด้วยกระเบื้อง ! ” หลินเว่ยเว่ยเท้าสะเอว จากนั้นก็ชี้นิ้วพลางร่ายถึงแผนการต่อไปในอนาคตอย่างภาคภูมิใจ

เจียงโม่หานมองโครงสร้างของห้องแถวแล้วออกความเห็นว่า “พวกเราสามารถสร้างโกดังไว้ข้างหน้าได้อีกหนึ่งแถว ตรงกลางปล่อยให้เป็นทางเดินของรถม้าจะได้สะดวกในการขนถ่ายสินค้า พอทำเช่นนี้แล้วโกดัง 6 ห้องก็จะเปลี่ยนเป็น 12 ห้อง ! ”

“ข้าก็กำลังคิดเช่นนั้นเหมือนกัน เราสองคนช่างมีใจตรงกัน…ไม่ไม่ไม่ ข้าจะพูดว่าบังเอิญใจตรงกัน ! เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ว่าสมองที่ชาญฉลาดจะเข้ากันได้ ! ” คำว่า ‘ใจตรงกัน’ จากปากของหลินเว่ยเว่ยทำให้เจียงโม่หานหันกลับมาจ้องโดยฉับพลัน

บัณฑิตหนุ่มเขินอีกแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะแกล้งเขานี่นา ! แต่ปล่อยเขาสักครั้งก็แล้วกัน เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นยั่วโทสะแทนและต่อไปพอเห็นหน้ากันเขาก็จะเอาแต่หลบหน้า ส่วนนางจะไม่มีอาหารตาไว้ให้มองอีก !

1 อ่อนหวานราวกับลูกท้อและลูกพลัม เยือกเย็นดุจน้ำค้างแข็ง ใช้เพื่ออธิบายสตรีที่มีลักษณะงดงามและมีทัศนคติที่จริงจัง

ตอนต่อไป