เจียงโม่หานค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้า จากนั้นก็ไม่สนใจนางอีกเพราะประสบการณ์ได้สอนแล้วว่าหากเถียงกับนางต่อไป เขาก็จะตกสู่เงื้อมมือของเด็กตัวแสบและไม่รู้ว่านางยังจะพูดสิ่งใดออกมาอีก !
“บัณฑิตน้อย ในตัวเจ้าเหลือเงินอยู่เท่าไหร่ ? พอให้นำมาใช้ปรับปรุงโกดังหรือไม่ ? ถ้าไม่พอก็พูดออกมาเถิด ไม่ต้องอายเพราะพวกเรา…ความสัมพันธ์ของเราสองครอบครัวเป็นเช่นไร ไม่ต้องแบ่งแยกให้ชัดเจนถึงเพียงนั้นหรอก” เงินที่ใช้ซื้อห้องแถวล้วนเป็นเงินเก็บของครอบครัวทั้งสิ้น ตอนซื้อห้องแถวทั้งแปด หลินเว่ยเว่ยแทบไม่ต้องคิดมากเลย !
ห้องแถวสองห้องคิดเป็นเงิน 240 ตำลึง หากจะปรับปรุงเป็นโกดังก็ไม่มีสิ่งใดซับซ้อนมาก ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว สำหรับค่าวัสดุและแรงงาน เงิน 300 ตำลึงที่เจียงโม่หานได้จากเฝิงชิวฟานก็นับว่าเหลือเฟือ ! หากไม่พอจริง ๆ เงินขายผลไม้อบแห้งในบ้านก็ยังมีเหลืออยู่มากกว่าสองร้อยตำลึงแล้วยังจะต้องยืมผู้อื่นไปเพื่อเหตุใด ?
ทว่าเจียงโม่หานสามารถสัมผัสได้ถึงความจริงใจจากถ้อยคำของเด็กตัวแสบจึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถ้าไม่พอจริง ๆ ข้าจะบอกเจ้าแน่นอน ! ”
“ถูกต้องแล้ว ! มนุษย์ไม่ควรไร้ศักดิ์ศรีก็จริง ทว่าเจ้าศักดิ์ศรีนี้ควรปล่อยวางในเวลาอันเหมาะสม มนุษย์ต้องกินธัญพืชห้าชนิด ไหนเลยจะไม่เปื้อนมลทิน1 ? เจ้าเองก็ไม่ได้คิดจะเป็นเทพเซียนอยู่แล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยฉีกยิ้มจนหน้าบาน ดวงตากลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว
ฮึ ! เด็กคนนี้มีชะตาชีวิตเปี่ยมด้วยความวิตกกังวลเสียจริง ! ไม่เพียงเป็นห่วงตระกูลหลินของตน แม้แต่ตระกูลเจียงที่อยู่ข้างบ้านก็ยังโดนนางลากเข้ามาอยู่ในการดูแลด้วย เฮอะ ไม่รู้จักกลัวว่าจะแบกรับภาระมากเกินไปจนตัวเองล้มบ้าง ! มารดาของเขาแทบจะเห็นนางเป็นคนบ้านเดียวกันแล้วด้วยซ้ำ อ้าปากทีก็เรียกหาแต่เสี่ยวเว่ยหรือเจ้ารอง เอาใจใส่เสียยิ่งกว่าบุตรของตน !
แต่ก็น่าแปลกใจที่เป็นเช่นนี้ไปได้ เนื่องจากพฤติกรรมของนางช่างไม่เหมาะสม วาจาก็ทำให้คนโมโหจนแทบคลั่ง วันทั้งวันเอาแต่วิพากษ์วิจารณ์รูปโฉมบุรุษ ทว่าไม่ทำให้คนฟังเคียดแค้น แถมยังไม่ทำให้ผู้อื่นเบื่อหน่ายด้วย
ต่อจากนั้นเจียงโม่หานก็ไปหาช่างก่อสร้างในเขตเริ่นอันเพื่อสนทนาเรื่องการปรับปรุงโกดัง แม้ระยะเวลาในการทำงานห้ามเกินกำหนดสักวันเดียว แต่การหางานได้ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลวและอีกอย่างเงินที่นายจ้างให้มาก็ไม่น้อยเลย ถือว่าสูงกว่าค่าแรงของคนงานในท่าเรือด้วยซ้ำ
หัวหน้าคนงานก่อสร้างเลือกญาติและสหายที่สนิทก่อน จากนั้นก็ไปเลือกแรงงานจากท่าเรือโดยบอกว่าพวกเขาสามารถเริ่มงานได้ในวันรุ่งขึ้น
หลินเว่ยเว่ยคิดว่าเนื้อหมูป่าและเนื้อกวางแช่แข็งที่อยู่ในห้องใต้ดินยังเหลือเพียงพอให้กินได้อีกสามสี่วัน นางจึงเข้าเมืองมาคุมการก่อสร้างด้วยตนเอง
หลังกวาดสายตามองนางแล้ว เจียงโม่หานก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เจ้าแย่งงานไปทำหมดแล้ว ยังต้องการบุรุษเยี่ยงพวกข้าไปทำสิ่งใดอีก ? ”
“เก็บไว้เป็นอาหารตาไงเล่า” หลินเว่ยเว่ยขยิบตาให้เขา !
ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็สูดหายใจเข้าลึกพลางบอกตัวเองว่าอย่าโมโห ไม่อย่างนั้นจะโดนเด็กตัวแสบทำให้โมโหจนตายเข้าสักวัน ! เขาหันไปถลึงตาใส่นางแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะมาดูเอง ตกลงตามนี้ ! ”
“ได้ที่ไหนเล่า ? เจ้ายังต้องสอบซิ่วไฉแล้วข้าจะทำให้บัณฑิตซิ่วไฉในอนาคตต้องมาเสียเวลาได้อย่างไร ? ” หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้าราวกับปอล่างกู่2
เจียงโม่หานเข้าไปจับหน้าผากนางให้หยุดส่ายไปมา “หยุดเลย ! เจ้าไม่เวียนศีรษะ แต่ข้ามองจนเวียนศีรษะไปหมดแล้ว ! เอาตามนี้เถิด ! ข้ายอมรับว่าเจ้าเป็นสตรีที่เก่งมาก แต่เจ้าจะเอาภาระทุกอย่างมาไว้บนบ่าไม่ได้ ! เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งพาคนรอบข้างบ้าง เพราะทุกคนล้วนเต็มใจช่วยเจ้าแบ่งเบาภาระ ! ”
ดวงตาของหลินเว่ยเว่ยร้อนผ่าว นางใช้รอยยิ้มที่กว้างกว่าปกติปิดบังความรู้สึกซาบซึ้งใจเอาไว้ “ข้ามีแรงเยอะ ! ต่อให้ภาระหนักกว่านี้ก็แบกไหว ! ทว่าบัณฑิตน้อยเอาใจใส่และเป็นห่วงข้าถึงเพียงนี้ ข้าซาบซึ้งใจมาก ! ”
สายตาของเจียงโม่หานหยุดลงที่ดวงตาคลอด้วยน้ำใสของนาง จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เด็กโง่ ! ตระกูลหลินคือบ้านของเจ้า ในนี้มีทั้งแม่ของเจ้า พี่สาวและน้องชาย พวกเขาล้วนเป็นญาติที่ใกล้ชิดกับเจ้าที่สุด ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องปกปิดความรู้สึกของตนและไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเองด้วย ! เมื่อก่อนตอนที่เจ้าโง่เขลารู้จักแต่กิน พวกเขาก็ไม่เคยทอดทิ้งเจ้าใช่หรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยรีบก้มหน้าลงทันที นางพยายามซ่อนน้ำตาเอาไว้ แท้จริงผู้ที่เข้าใจนางที่สุดคือบัณฑิตหนุ่มซึ่งภายนอกดูเย็นชาและเย่อหยิ่ง ทว่าใส่ใจนางถึงเพียงนี้ หลังทะลุมิติมาอยู่ในร่างบุตรีคนรองผู้โง่เขลาแล้วนางก็ได้ลิ้มรสกับความอบอุ่นจากความรักของมารดาและได้พบความสุขของการมีครอบครัว
แต่นางกลัว กลัวว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นเพียงความฝันหรือฟองสบู่ ที่พอตื่นขึ้นมาแล้วฟองสบู่จะแตกสลายหายไป จากนั้นนางจะกลับไปเป็นเด็กกำพร้าที่แข็งนอกอ่อนในและไม่รู้สึกปลอดภัยคนเดิม !
“บัณฑิตน้อย เจ้าอย่าหลงเข้าใจผิดว่าข้าฟังไม่ออก เจ้ากำลังใช้โอกาสนี้เยาะเย้ยข้าใช่หรือไม่ ! ” เสียงของหลินเว่ยเว่ยเงียบไป หลังจากสูดลมหายใจเข้าเบา ๆ แล้วนางจึงจงใจรีบพูดขัดคออีกฝ่าย
เจียงโม่หานกลอกตาให้นาง “สุนัขกัดลู่ตงปิน3 ข้าเคยเยาะเย้ยเจ้าตอนไหน ? ”
“ก็เจ้าบอกว่าเมื่อก่อนข้าโง่เขลารู้จักแต่กิน ! ” หลินเว่ยเว่ยเถียงขาดใจ !
เจียงโม่หานทอดถอนลมหายใจพลางกล่าว “หรือที่ข้าพูดไม่ใช่เรื่องจริง ? ”
“ข้า…ตอนนั้นข้าป่วยต่างหาก เจ้ากล้าเยาะเย้ยคนป่วยได้อย่างไร ? ” หลินเว่ยเว่ยยกมือกอดอกแล้วทำแก้มป่อง
เมื่อเจียงโม่หานเห็นดวงตาที่กลิ้งกลอกไปมาของนางก็รู้ทันทีว่าต้องไม่มีความคิดดี ๆ แน่นอน ขณะที่กำลังจะปรามนาง หลินเว่ยเว่ยก็ลูบใบหน้าของตนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดเพี้ยน “แต่พอลองลูบใบหน้าแล้วก็พบว่าข้าช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง ! บัณฑิตน้อย เจ้าหวังดีให้คำปลอบโยนข้าเช่นนี้ คงไม่ได้…แอบชอบข้าแล้วกระมัง ? ”
ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็หันหลังเดินออกไปโดยไม่ลังเล ในขณะเดียวกันก็ทิ้งประโยคสั้น ๆ ไว้ว่า “ข้าไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย ! ”
หลินจื่อเหยียนที่ยังเด็กจึงได้แต่ยืนตกตะลึงอยู่ด้านข้าง นี่…ผู้ใดคิดว่านี่ไม่ใช่คู่รักคู่แค้นกัน ? ท่าทีที่ศิษย์พี่เจียงมีต่อพี่รองทำให้เขาเดาไม่ถูก…ถ้าจะบอกว่าไม่สนใจพี่รอง แต่คนเย่อหยิ่งเยี่ยงศิษย์พี่เจียงกลับพูดปลอบใจนางเสียยกใหญ่ ถ้าบอกว่าในใจมีพี่รองอยู่แล้วจะพูดสื่อความหมายว่า ‘คนตาบอดถึงจะชอบเจ้า’ เพื่ออันใด มันน่าปวดใจจะตายไป !
แล้วก็พี่รองรู้สึกว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในตระกูลหลินเช่นนั้นหรือ ? นางจึงทำตัวลำบากตรากตรำขยันขันแข็งเพราะกังวลว่าครอบครัวจะทอดทิ้งหรือไม่ยอมรับ ? ใครเป็นผู้ปลูกฝังความคิดนี้ต่อนาง ? หรือคนในหมู่บ้านพูดจาไร้สาระลับหลัง ?
เมื่อก่อนตอนที่สมองของพี่รองยังไม่กลับมาเป็นปกติ เขา…เขาก็มีความคิดอยากทิ้งนางอยู่จริง เพราะกลัวว่าสหายในสำนักศึกษาจะรู้ว่าตนมีพี่สาวคนรองเป็นคนโง่เขลาแล้วจะเยาะเย้ย ดูถูกและทิ้งเขา…พอลองคิดดูแล้ว เขาไม่น่ามีความคิดเช่นนั้นเลย ยังมีพี่ใหญ่อีกคน นางไม่ชอบพี่รองมาโดยตลอด อยากกำจัดตัวภาระให้หายไป ความรู้สึกเช่นนี้เป็นเหตุให้พี่รองรู้สึกว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งอย่างนั้นหรือ ?
“พี่รอง ความจริงผู้ที่เป็นตัวถ่วงของครอบครัวมาโดยตลอดคือข้าเอง ! ” หลินจื่อเหยียนไม่รู้ว่าควรปลอบพี่รองอย่างไร เขาจึงพูดสิ่งที่เก็บกดอยู่ในใจออกมา “หลังจากท่านพ่อหายตัวไปในหุบเขา ครอบครัวก็ต้องพึ่งท่านแม่ที่ร่างกายไม่แข็งแรงมาโดยตลอด ในฐานะบุตรชายคนโตยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระให้ครอบครัวได้อย่างไร กลับต้องทำให้ครอบครัวต้องมีภาระเพิ่มกว่าเดิมแล้ว ! ”
“นี่คือเรื่องที่ผ่านมาแล้ว เหตุใดเจ้ายังจะเอ่ยถึงอีก ? ” หลินเว่ยเว่ยตบแผ่นหลังของหนุ่มน้อยเบา ๆ
“พี่รอง ท่านฟังข้าพูดให้จบก่อน ! ” หลินจื่อเหยียนสำลักเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวต่อ “ถ้าตอนนั้นข้าไม่ยืนกรานที่จะศึกษาต่อแล้วคอยช่วยท่านแม่หาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ข้าก็คงไม่ต้องผลาญเงิน 20 ตำลึงที่ท่านพ่อเหลือทิ้งไว้ ร่างกายของท่านแม่ก็คงไม่ต้องมาทรมานและกินยาเช่นนี้ พี่รองก็คงไม่ต้องหิวจนวิ่งไปหาผลไม้ป่ากินและพลัดตกไปในสระน้ำจนเกือบตาย…”
1 มนุษย์ต้องกินธัญพืชห้าชนิด ไหนเลยจะไม่เปื้อนมลทิน เปรียบเปรยได้ว่าคนธรรมดาย่อมเจ็บไข้ได้ป่วยและเจออุปสรรคในชีวิต ไม่ได้เดินบนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ไปเสียหมด
2 ปอล่างกู่ คือ กลองป๋องแป๋ง คำว่า ป๋องแป๋ง มาจากจังหวะเสียงกลองที่ตี
3 สุนัขกัดลู่ตงปิน เป็นวลีที่มาจากนิทานพื้นบ้าน หมายถึง การไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ
ตอนต่อไป