ตอนที่ 173 จ้วนหลุนหวัง (ราชันวัฏฏะ)

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

สามกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ด!

บุกโจมตีแบบสายฟ้าแลบ ทั้งยังผนึกแกนวิญญาณ ในที่นี้แทบไม่มีใครตอบสนองได้ทัน

กระทั่งเจ้าสำนักยังรู้สึกเหมือนกำลังชมดูภาพยนตร์ มีแต่สีหน้าแววตาที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น

ตึกตักตึกตัก!

อันหยางปากอ้าค้าง หัวใจเต้นระรัวจนแทบกระดอนออกจากอก

“บังอาจ!” ท่ามกลางฝูงชนนับพันที่นิ่งค้างกันเป็นทิวแถว มีแต่อาวุโสใหญ่ที่เคลื่อนไหว ฝ่ามือเหี่ยวชราแหวกผ่านมิติกั้นขวางดาบโค้งทั้งสามเล่มเอาไว้

อันหยางปิดตาสนิทแน่น รับรู้ถึงความตายที่เฉียดผ่านใบหูไปเพียงสายใย ปลายดาบคมกริบที่สามารถเฉือนผ่านผิวหนังแขวนค้างอยู่เหนือศีรษะ แม้แต่ตัวมันเองยังไร้เรี่ยวแรงจะโต้ตอบขัดขืน

ผัวะผัวะผัวะ!

อาวุโสใหญ่ปล่อยหมัดออกไปสามครั้งติด กระแทกร่างผู้ลอบโจมตีจนกระเด็นออกไประเบิดอยู่อีกด้าน แกนวิญญาณกระเด็นออกจากหลิงไถ พร้อมตั้งท่าจะหลบหนี

มนุษย์มีไอพลังของมนุษย์ อสูรก็มีไอพลังของอสูร ผู้ฝึกวิชาปีศาจก็มีไอพลังของผู้ฝึกวิชาปีศาจ

ด้วยเคล็ดวิชาฝึกปรือที่แตกต่างกัน มรรคาสามพันวิถีก็มีข้อเด่นข้อด้อยแตกต่างกันไป

แกนวิญญาณของสามกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดถูกอาวุโสใหญ่เกาะกุมไว้ในมือ ไอขั้วลบแผ่ซ่านราวมหาสมุทร ชัดเจนว่าเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ

“มีคนดักซุ่มอยู่จริงๆ!” เจ้าสำนักคำรามอย่างตื่นตระหนก ไฉนตัวมันถึงไม่ได้รับรู้อะไรเลย

แหวกชำระกายาอีกหลายท่านเองก็รู้สึกไม่อยากเชื่อไม่ต่างกัน

พวกมันไม่ได้รับรู้ถึงการคงอยู่ของพวกผู้ฝึกวิชาปีศาจชั้นกลั่นดวงธาตุเหล่านี้เลยแม้แต่คนเดียว

แต่พอมาคิดดูก็อดกลัวขึ้นมาไม่ได้ เพียงแค่เดรัจฉานสามตัวนี้ ก็สามารถฆ่าล้างผู้เยาว์ภายในเมืองเทียนเอินมากกว่าแปดในสิบส่วนได้แล้ว

“เกิดอะไรขึ้น? ”

คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเลยเถิดมาได้ขนาดนี้ เรื่องราวชักจะพัฒนาไปในทางที่เหลือเชื่อมากขึ้นทุกที

ไป๋หลี่ชิงเฉิงเฝ้าถามตัวเองในใจว่าเหตุใดแผนที่นางวางไว้เสียดิบดีถึงได้มีจุดบกพร่องมากมายขนาดนี้

คิดล้อมสังหารขุมกำลังสุดยอดของเมืองเทียนเอินทั้งอย่างนี้คงยากแล้ว

“พวกเจ้าเป็นใคร? ” อาวุโสใหญ่ถามสามแกนวิญญาณในมือ นิ้วทั้งห้าคล้ายบรรพตห้าลูกสะกดทับ

“พวกเรา พวกเรา” ผู้ฝึกวิชาปีศาจใช่ว่าจะไม่กลัวตายเสมอไป จึงมีคนละล่ำละลักออกมา หมายจะสารภาพ

“เป็นวิธีที่ไม่เลว ยันต์ของสมาคมนักปรุงยาไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ ถึงกับตรวจจับไอปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในมิติได้ น่าสนใจ”

ในเมื่อถูกเปิดโปง จ้วนหลุนหวังที่เฝ้าดูเหตุการณ์อย่างเงียบๆ อยู่ในมิติมาตลอดจึงเผยตัวออกมา

ช่างเถอะ อย่างไรเสียที่นี่ก็ถูกปิดตายเอาไว้แล้ว แค่นี้ก็กวาดล้างขุมกำลังรบของเมืองเทียนส่วนใหญ่ได้อย่างเหลือเฟือ

โฟ่ววว!

ไอพลังทมิฬสามสายแผ่กลิ่นอายมรณะน่าพรั่นพรึงบดบังสุริยันฟ้าดิน

จากนั้น แกนวิญญาณสามดวงใจกลางฝ่ามืออาวุโสใหญ่ก็ระเบิดออก ดวงวิญญาณปลิวสลาย ชายอาภรณ์โบกพรึ่บคราหนึ่ง พลังตกค้างก็ถูกขจัดไป

เสร็จแล้วอาวุโสใหญ่ก็พาอันหยางมายืนร่วมกับศิษย์ของตน

เขาเหมิงซานตะวันออก เกิดแอ่งหลุมขนาดใหญ่ขึ้น ตระกูลสำนักผู้ฝึกตนต่างก็มารวมกันอยู่ในแอ่งหลุมนี้

หลังจากที่จ้วนหลุนหวังปรากฏตัว ปากหลุมอันดำมืดก็ปลดปล่อยขุมพลังกล้าแข็งอีกหลายสิบออกมา ปกครองเนินเขาสูงโดยรอบจนหมดสิ้น

จ้วนหลุนหวังพอเห็นสถานการณ์อยู่ในการควบคุม มันก็สลายไอมืดบนตัว เผยให้เห็นใบหน้าแก่ชราขาวเผือดออกมา

เป็นครั้งแรกที่อาวุโสใหญ่รู้สึกถึงแรงกดดัน ปลายเท้าขยับเกร็งขึ้น แต่ก็ยังรักษาท่าทีสงบนิ่งไร้แตกตื่น ฝ่ามือประกบท่าปางมือ

“พวกเราถูกล้อม! ” มีคนตะโกนขึ้น สร้างความแตกตื่นให้กับฝูงชน

พวกที่ยึดครองเนินสูงหลายสิบลูกรอบด้านล้วนเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจเจ็ดดวงธาตุขึ้นไปสิ้น

เพื่อบดขยี้เมืองเทียนเอิน วันนี้พรรคโลหิตนภาจึงส่งขุมกำลังรบชั้นสูงที่สามารถควบคุมได้ออกมาเป็นจำนวนมาก

“อย่าได้ตื่นตูมไป! ” เจ้าสำนักและประมุขพรรครีบสั่งการ ระเบิดพลังสยบความวุ่นวายรอบด้าน

ทุกคนพลันสงบจิตใจลง สายตาเพ่งมองเขาพิรุณเซียนและค่ายพรรคเดชมาร เฝ้ารอคำสั่งจากพวกมัน

ทางฝั่งพรรคทรราชหลังจากที่เห็นว่าพวกตนถูกล้อม ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นพักหนึ่งก่อนที่จะถูกแหวกชำระกายาสองท่านเข้าสยบ ส่วนสมาพันธ์อู่ซิ่ง เจ้าสมาพันธ์ยังคงยืนอยู่ใจกลางแท่นหยก สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน

จนกระทั่งไป๋หลี่ชิงเฉิงเอื้อนเอ่ยออกมา “ในฐานะเจ้าสมาพันธ์ ยังไม่รีบไปจัดการคนของเจ้า เข้าร่วมศึกกวาดล้างผู้ฝึกวิชาปีศาจในครั้งนี้”

อ๋า? เจ้าสมาพันธ์สับสนกลางอากาศ อย่าบอกนะว่าวันนี้ พรรคโลหิตนภาจะไม่สามารถบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ ก็เลยต้องรักษาฉากหน้าของสมาพันธ์อู่ซิ่งไว้อยู่?

“ข้าสังหรณ์ใจว่าเรื่องในวันนี้จะไม่เป็นไปตามที่เราหวัง เจ้ารีบไปจัดการซะ” ไป๋หลี่ชิงเฉิงส่ายหน้าเล็กน้อย ในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ของพรรค นางย่อมมีอำนาจเหนือจ้าวตำหนัก

“รับทราบ! ” เจ้าสมาพันธ์เหินตัวลงจากแท่นหยกอันทรงศักดิ์ในที่สุด จากนั้นก็เริ่มสั่งให้คนกระจายตัวเป็นค่ายกล เตรียมรับมือกับศัตรู

ตอนนี้ ไม่มีใครบุ่มบ่ามลงมือ ทุกสายตาจับจ้องไปทางอาวุโสใหญ่และจ้วนหลุนหวัง

สองคน หนึ่งขาวหนึ่งดำ เหมือนหมากดำหมากขาวบนแผ่นกระดาน คือกุญแจสำคัญที่จะตัดสินว่าจะได้เดินก้าวต่อไปหรือไม่

ฉินจิ่วเกอลอบวาดวงกลมเอาไว้อย่างลับๆ ในใจสาปส่งจ้วนหลุนหวังให้ท้องร่วงจู๊ดๆ ท่านอาจารย์ของตนจะได้ชนะ

อาวุโสใหญ่ล้วงเอาแส้ปัดฝุ่นสีเทาออกมาจากหลิงไถ ปลายแส้สลักลางมงคลประดับไว้ สัญลักษณ์แห่งความรักแท้จริงของมนุษย์ เป็นตัวแทนของความสงบสุขมงคล

แส้ปัดฝุ่นนี้ยาวมาก ขนแส้เป็นสีเงินยวงเช่นเดียวกับเส้นผมของอาวุโสใหญ่ มือซ้ายเกาะกุมมือขวาประคองกระชับ ขนแส้แตะจรดพื้นเหมือนม่านน้ำตกสีเงินยวงที่กระเพื่อมไหวตามสายลม

“เจ้าเป็นใคร? ” อาวุโสใหญ่เอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงเปี่ยมพลัง

“เคี๊ยกๆ ข้าคือหนึ่งในสิบจ้าวตำหนักพรรคโลหิตนภา จ้วนหลุนหวัง*! ” (หวัง = ราชัน)

ราชัน!

ยอดฝีมือมากมายในที่นั้นเป็นต้องหน้าถอดสี แตกตื่นจนขวัญผวา

สมัยไท่ฮวงปลายบรรพกาล ผู้มีพลังสูงส่งที่สุดในหมู่ชนชั้นสุญตาได้รับการขนานนามว่าจักรพรรดิ ส่วนผู้ที่มีพลังสูงส่งที่สุดในหมู่ชนชั้นกฎสรรพสิ่ง ได้รับสมญาว่าราชัน

และจ้าวตำหนักทั้งสิบของพรรคโลหิตนภา ต่างก็เป็นจ้าวในหมู่ชนชั้นกฎสรรพสิ่ง ถือครองพลังวิเศษอันยิ่งใหญ่ สถาปนาตนเป็นราชัน

อาวุโสใหญ่ถือแส้ปัดฝุ่นท่วงท่าเหนือโลกหล้า นัยน์ตาดั่งเทพเซียนเบิกขึ้น สลายกลิ่นอายโลหิต “เจ้าก็แค่ร่างจำแลง ต่อให้เป็นขอบเขตสุญตา ด้วยสภาพนี้จะไปมีพลังแห่งกฎเกณฑ์ได้ยังไง เจ้าก็แค่กลั่นดวงธาตุเท่านั้น”

“เคี๊ยกๆ หากร่างหลักของข้าอยู่ที่นี่ เพียงดีดนิ้วเมืองเทียนเอินก็ป่นเป็นธุลีแล้ว แม้วันนี้จะมาในลักษณ์นี้ ล้างบางเก้าดวงธาตุสูงสุดจะต่างอะไรกับล้างบางสุนัขสุกร ไยต้องทุ่มสุดตัวด้วย”

ใบหน้าตายซากของจ้วนหลุนหวังดูเหมือนแผ่วผิวหนังแห้งๆ โปะไว้บนเบ้ากระดูกที่เปียกน้ำศพเน่าเฟะ

ไอปีศาจจับตัวหนาแน่น เพียงแค่มองก็ต้องใช้ความกล้ามหาศาล

“ข้าจะบอกให้เอาบุญ ที่นี่ถูกพรรคโลหิตนภาข้าล้อมไว้หมดแล้ว พวกเจ้าเลิกฝันว่าจะรอดชีวิตไปได้ ทั้งหมดฆ่าตัวตายซะ เราราชันอาจเห็นใจที่พวกเจ้าทั้งหลายฝึกฝีมือมาอย่างยากลำบาก นำวิญญาณของพวกเจ้ากลับคืนสู่วัฏฏะ”

น้ำเสียงคร่ำคร่าไม่ชัดเจน ราวกับคนที่ถูกฝังพร้อมน้ำปรอทแต่ยังไม่ตาย ยามกระทบโสตประสาทบันดาลให้เกิดความรู้สึกเนื้อหนังใกล้จะขาดวิ่น หนังศีรษะใกล้จะถลกออก

“พี่ฉินท่านกลัวหรือไม่? ” อันหยางมือกุมทวน ร่างตั้งมั่นไม่สั่นคลอน

ฉินจิ่วเกอยิ้ม “จอมทัพราชันมิใช่เป็นแต่กำเนิด ชายชาตรีย่อมต้องไขว่คว้าพัฒนาตนไม่หยุดยั้ง แล้วข้ายังจะกลัวไปทำไม?”

“ท่านช่างองอาจนัก ข้าสู้ท่านไม่ได้จริงๆ ” อันหยางส่ายหน้าด้วยสำนึกเสียใจอยู่บ้าง แต่หลังจากได้ยินคำชายชาตรีไขว่คว้าพัฒนาไม่หยุดยั้ง ความกล้าขุมหนึ่งพลันชำแรกขึ้นสู่ศีรษะ ฉีกทึ้งสัตว์อสูรยักษ์อันเกิดจากความกลัวภายในจิตใจทิ้งไป

ฉินจิ่วเกอไม่ได้เอ่ยคำ เพียงคิดในใจ ข้าพเจ้านับเป็นคนของพรรคโลหิตนภาไปแล้วครึ่งตัว วันนี้ไม่ว่าจะหัวหรือก้อย มันก็ปลอดภัยไร้เรื่องราวทั้งนั้น

ว่าแต่เจ้าหนุ่มอันหยางผู้นี้ ไฉนจู่ๆ ถึงได้ฮึกเหิมคึกคักขึ้นมาได้ หรือเมื่อครู่ตนจะพูดอะไรผิดไป?

และแล้วเจ้าสมาพันธ์ก็เอ่ยวาจาปลุกใจออกมา “ทุกคนอย่าห่วงไปเลย ฝ่ายเรามียอดฝีมืออยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนพรรคโลหิตนภากลับมีเพียงไม่กี่คน คิดกำจัดพวกมัน ย่อมไม่เหลือบ่ากว่าแรง ตราบใดที่ทุกท่านร่วมมือร่วมใจกัน ไม่ว่าจะเป็นขวากหนามแหลมคมเพียงไรก็ไม่อาจเป็นอุปสรรคให้กับพวกเราได้”

เจ้าสำนักพลันรู้สึกหดหู่มืดมน ไฉนมันถึงถูกแย่งพูดตลอดเลยเล่า ประโยคปลุกขวัญเรียกน้ำตาแบบนี้ มันควรจะเป็นคนพูดต่างหาก

“งั้นเจ้ามีวิธีอะไร? ” ประมุขพรรคเดชมารน้ำเสียงไม่เป็นมิตร เหตุการณ์ในครั้งนี้คล้ายเกิดจากสมาพันธ์อู่ซิ่ง

เจ้าสมาพันธ์หันหน้ามาเอ่ยตอบ “ความเห็นข้าที่จริงกลับเรียบง่าย ทั้งยังได้ผลที่สุด”

“โอ้? ” ทุกคนเตรียมรับฟังคำสารภาพจากอีกฝ่าย ใครเล่าจะนึกว่าเจ้าสมาพันธ์กลับเอ่ยออกมาว่า “ความเห็นของข้าคือให้รับฟังความเห็นของยอดบุรุษท่านนั้น”

ยอดบุรุษที่ว่าก็คืออาวุโสใหญ่ อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่มากบารมี ผู้มีรัศมีพลังอันโอ่อ่า

อาวุโสใหญ่และจ้วนหลุนหวังที่อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพลังเกินครึ่งของเขาเหมิงซาน สองเท้าเหยียบลงบนก้อนศิลายักษ์ใหญ่ ท่วงท่าทระนงองอาจท้าฟ้าดิน เฉิดฉายสุดเปรียบปาน

สองคนจ้องตากันเนิ่นนาน ต่างประเมินตนเองกับอีกฝ่าย ควบรวมรัศมีพลัง

“เจ้าเล่าเป็นใคร?” จ้วนหลุนหวังค่อนข้างประหลาดใจ ภายในเผ่ามนุษย์ ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้เข้มแข็งเช่นนี้มาก่อน

ต่อให้เป็นตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์ ยังถูกพวกมันแทรกซึมหูตาบางส่วน ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีกลั่นดวงธาตุอันเข้มแข็งปานนี้ปรากฏขึ้น

ตนเองในยามนี้มาด้วยร่างจำแลงจากขอบเขตกฎสรรพสิ่ง ยังยากจะสะกดรัศมีพลังอันแหลมคมจากร่างของมันไว้ได้

“เผ่ามนุษย์กระจ้อยร่อย แถวเมืองซวนอู่ก็หาเรื่องพวกเจ้าไปแล้ว ไม่กี่วันก่อนในเมืองเทียนเอิน ยังหยอกเล่นกับรุ่นเยาว์ไปอีกสี่คน”

ภูมิรู้ของอาวุโสใหญ่ต่อพรรคโลหิตนภาไม่คับแคบ เสื้อคลุมกระพือพรึ่บพรั่บ สะบัดฝุ่นผงออกจากร่างกาย

จ้วนหลุนหวังนัยน์ตาเหี่ยวย่น คนพลันเลิกเปลือกตาขึ้น “อา เป็นเจ้า เราราชันเองก็ได้ยินมาบ้าง วันนี้กลับได้พบตัว พรรคโลหิตนภาเรายินดีทุ่มเททุกสิ่งเพื่อโน้มความสนใจเจ้า มิใช่ประเสริฐเลิศกว่าปิดชื่อบังแซ่อยู่หรอกหรือ”

ความสามารถของอาวุโสใหญ่ ที่จริงสะดุดความสนใจของแผนกรับเข้าพรรคโลหิตจางแล้ว

ไม่ว่าจะข่มขู่หรือชักชวน ไม้อ่อนหรือไม้แข็ง พวกมันก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้คนที่ต้องการ

ผู้คนล้วนมีผลประโยชน์ของตน ผู้สังหารคนชั่วล้วนมีความชั่วร้าย เข่นฆ่ามารร้ายนับพันหมื่น ประหารมารร้ายเพื่อโปรดสัตว์

เส้นแบ่งของผู้ฝึกวิชาปีศาจ ที่จริงเพียงเป็นเส้นใยบางๆ เท่านั้น

“ไม่ทราบพวกเจ้าเสนอราคาเท่าใด?”

น่าประทับใจอย่างคาดไม่ถึง อาวุโสใหญ่ดีดใบไม้บนร่างออกไปปากก็เอ่ยถามด้วยความรอคอย

แหวกชำระกายาหลายท่านแทบร่ำไห้แล้ว

บัดซบ เวลาเช่นนี้ เจ้าสมควรตอบปฏิเสธอย่างหัวเด็ดตีนขาดสิ

จากนั้นชูธงคุณธรรม เดิมพันด้วยโลหิตและชีวิต

หันกระบี่ใส่คนร้ายเช่นจ้วนหลุนหวัง ไหนเลยจะไปต่อรองราคากับมันได

จ้วนหลุนหวังเองยังถึงกับเหนือความคาดหมาย ไอ้หยา ตาแก่นี่ตอบรับเร็วไปรึเปล่า เกรงว่าต่อให้ขึ้นหอแดงเยี่ยมแม่นางน้อยทั้งหลาย พวกนางยังรู้จักสะดีดสะดิ้งร่ำร้องสักคำสองคำ ไม่มีใครขวานผ่าซากอย่างเจ้าปานนี้

“พวกเราพรรคโลหิตนภาเมื่อรับคนเข้า รวมถึงศิษย์ของเจ้า” จ้วนหลุนหวังสื่อสารทางจิต ทราบว่าอาวุโสใหญ่เคยสังหารสามสุดยอดเมืองเทียนเอิน

“พวกเราสามารถช่วยเจ้าทะลวงด่านกฏสรรพสิ่ง ไม่ว่าโอสถระดับหกระดับเจ็ด ยังมีทักษะยุทธ์ชั้นเจตจำนงสวรรค์ ศาสตราศักดิ์สิทธิ์วิญญาณชั้นเลิศ พวกเราล้วนสามารถยกขึ้นมาถกกัน”

พรรคโลหิตนภาขุดคุ้ยข่วนเกาทั่วแผ่นดิน ล้วนเพื่อรวมรั้งเอาเหล่ายอดฝีมือ ระดับการผลาญทรัพยากรเช่นชนชั้นจ้วนหลุนหวังนั้นน่ากลัวยิ่ง

“จริงหรือ?”

อาวุโสใหญ่เบิกตาโต คิดไม่ถึงว่าในหมู่ผู้ฝึกวิชาปีศาจ กลับยังมีสุภาพบุรุษใหญ่ปานนี้อยู่ด้วย

ทุกผู้คนปาดเหงื่อ ในใจร่ำร้องหาพระยูไล ภาพนี้ไม่ถูกต้อง ขออย่าให้ขายพวกเราออกไปด้วยเลย

จากนั้น ใช้สายไม่เป็นมิตรจ้องไปทางหัวหน้าสมาพันธ์อู่ซิ่ง

ยังจะแอ็คท่าทำอะไร ผายลมชัดๆ!