“นี่เรียกกลยุทธ์ต่างหาก อย่างพวกเจ้าจะไปเข้าใจอะไร” ฉินจิ่วเกอเดือด มันเชื่อในตัวอาจารย์ เหมือนอย่างที่อาจารย์ก็เชื่อในตัวฉินจิ่วเกอ——ว่าลูกศิษย์ของมันคนนี้ไม่ใช่ตัวดี

ไม่ทำให้ผิดหวัง อาวุโสใหญ่สะกดความยั่วเย้า ยืนกรานเพื่อความชอบธรรมของเผ่ามนุษย์ “ข้าไม่เอาด้วย”

“ทำไม? ”

พรรคโลหิตนภาไม่เป็นรองใครด้านการชุบเลี้ยงอัจฉริยะ ส่วนพวกหัวกะทิ การปฏิบัติย่อมต้องดีที่สุด ไม่อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งคนของพวกมันครอบคลุมไปทั่วทวีปฉงหลิงได้ในระยะหนึ่ง

“เพราะ” อาวุโสใหญ่ปรายตา ขยับแส้ปัดฝุ่นในมือไว้ที่ท้องน้อย กระชับนิ้วมือขวาให้แน่น “พวกเจ้าหน้าตาอัปลักษณ์เกินไป หากข้าต้องเห็นหน้าพวกเจ้าทุกวัน ข้าต้องอ้วกแตกแน่”

“ว่าอะไร? ” รอยย่นบนใบหน้าจ้วนหลุนหวังถึงกับตึงเรียบขึ้นมาแวบหนึ่ง “เจ้าเล่นตลกกับข้า? ”

รู้สึกเหมือนตัวเองถูกหยามเกียรติอย่างแรง จ้วนหลุนหวังบันดาลโทสะ มันเป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่ง ถึงกับถูกกลั่นดวงธาตุผู้หนึ่งปั่นหัวเล่น นับเป็นความอัปยศของผู้ฝึกวิชาปีศาจโดยแท้

อีกอย่าง ใครว่าในหมู่ผู้ฝึกวิชาปีศาจไม่มีคนหน้าตาดี?

ในค่ายหลักเผ่ามนุษย์ ยังมีคุณชายด้อยคุณภาพนามฉินจิ่วเกอปะปนเข้าไปได้ แล้วทำไมในหมู่ผู้ฝึกวิชาปีศาจจึงจะมีชายหล่อหญิงงามโผล่ออกมาบ้างไม่ได้เล่า?

ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!

“หาที่ตาย! ” จ้วนหลุนหวังกวาดพลังท่วมโถม ภายใต้กลั่นดวงธาตุ เพียงพริบตาก็มีคนนับร้อยร่างระเบิดตายไปในทันที แม้แต่ศพยังไม่เหลือ

นี่ก็คือยอดยุทธ์เหนือโลกาที่แท้จริง เพียงแค่รัศมีพลัง ก็สามารถบดขยี้สรรพสิ่งได้

เหมือนอย่างจักรพรรดิที่ประทับอยู่ในพระราชวังจื่อเว่ย สามารถต้านทิศทั้งหกผนึกทะเลทั้งสี่ วิถีราชันแผ่พุ่งไปทั่วหล้า

“หมื่นบรรพตค้ำสมุทร! ” อาวุโสใหญ่เค้นพลังสะท้อนกลับ ไอพลังข้นหนาสุดแกร่งกร้าวเหมือนมหาปฐพี เพียงพริบตาก็สะกดพลังของจ้วนหลุนหวังเอาไว้

วิชายุทธ์แบบเดียวกัน คนแบบเดียวกัน

อาวุโสใหญ่ยามสำแดงพลัง นั่นจึงจะเรียกกวาดทิศทั้งหกทำลายทุกสิ่งจนสิ้นราพณาสูรอย่างแท้จริง

หันมามองคุณชายแซ่ฉิน อย่างมากก็สยบพิสุทธิ์ไพศาลสองสามคนได้ไม่กี่ลมหายใจ นั่นก็ถือว่าไร้คู่ต่อกรแล้ว

“กลั่นดวงธาตุทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้! ” รัศมีร้อยเมตรอบตัวอาวุโสใหญ่ล้วนถูกพลังหมื่นบรรพตสะกดไว้ กดดันจนแผ่นดินแตกระแหง แม้แต่กลั่นดวงธาตุก็ยังไม่อาจต้านรับไหว

แหวกชำระกายา คือขอบเขตที่เปิดขึ้นใหม่ของกลั่นดวงธาตุที่ไม่อาจทะลวงสู่กฎสรรพสิ่ง

ทะลวงแหวกชำระกายา เท่ากับสูญเสียหนทางในการเลื่อนระดับสู่กฎสรรพสิ่ง แต่กำลังรบ กลับเหนือกว่าเก้าดวงธาตุสูงสุดไปไกล นี่เองก็เป็นกฎแห่งการหักลบและกฎแห่งวิถีฟ้า

พรึ่บ!

มีแหวกชำระกายาทั้งหมดสี่ท่าน เหินกายอยู่บนฟ้า ตอบโต้สังหารเหล่าผู้ฝึกวิชาปีศาจ

จากเขาพิรุณเซียนและค่ายพรรคเดชมารอย่างละหนึ่งท่าน และจากพรรคทรราชอีกสองท่าน

สมาพันธ์อู่ซิ่งไม่ได้ส่งตัวยอดฝีมือออกมา มีแต่เจ้าสมาพันธ์ที่เป็นเก้าดวงธาตุ กับผู้ใต้บัญชาในที่ทำการหลักและเหล่าอาวุโสเท่านั้น

ครืนนนน!

รัศมีพลังสุดไพศาลของอาวุโสใหญ่ปะทะกับไอพลังลบอันแหลมคมของจ้วนหลุนหวัง

ทั้งสองฝ่ายต่างขับเคี่ยวสูสี คลื่นพลังผลักกระแทกเมฆหมอกจนปลิวหาย ท้องฟ้าพลันกลับกลายเป็นมืดมิด เนิ่นนานคล้ายกำลังจะถล่มลงมา

“อาวุโส เรียกพวกมาหรือไม่? ” สี่แหวกชำระกายาไม่กล้าอวดโอ่ หากไม่จัดการเรื่องนี้ให้ดี น่ากลัวเมืองเทียนเอินจะสูญเสียขุมกำลังหลักไปมากกว่าครึ่ง

เพราะความเห็นแก่ได้ ทั้งสามเผ่าจึงไม่มีฝ่ายไหนรับทราบถึงข่าวการเปิดสุสานในครั้งนี้เลย

หากกฎสรรพสิ่งไม่เผยตัว ต่อให้ทางเมืองเทียนเอินเกิดการนองเลือดท่วมฟ้า ยอดฝีมือจากทั้งสามเผ่าก็ยังไม่ได้รับรู้อะไรด้วย

ดังนั้นทุกคนจึงเกิดสำนึกเสียใจขึ้นมา พาลให้ความมั่นใจลดถอยลง

อาวุโสใหญ่ทุ่มสมาธิไปกับการรับมือจ้วนหลุนหวัง อีกฝ่าย ไม่ใช่กลั่นดวงธาตุธรรมดาทั่วไป

ร่างจำแลงของกลั่นดวงธาตุ คู่ควรให้มันทุ่มสมาธิทุกหยาดหยด

ในขณะเดียวกัน จ้วนหลุนหวังเองก็ไม่กล้าสบประมาทอาวุโสใหญ่

“อาวุโส? ” สองแหวกชำระกายาจากพรรคทรราชร้อนใจ ท่านคงไม่คิดจะย้ายฝ่ายจริงๆ หรอกใช่ไหม

โชคดีที่คุณภาพบุคคลของอาวุโสใหญ่เหนือล้ำกว่าสุภาพบุรุษฉินไปไกลลิบ มันกล่าวอย่างหมดความอดทน “ผายลมเถอะ ตอนที่พวกเจ้ารีบร้อนจนตกหลุมศัตรู ไฉนถึงไม่ใจเย็นบ้าง? ”

สี่แหวกชำระกายาจนด้วยคำพูด ตอบอะไรไม่ได้

วันนั้นสามสุดยอดตายสองพิการหนึ่ง เรื่องนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วทวีปฉงหลิง ไม่มีใครกล้ามองข้าม

“ข้าจะจัดการเจ้าราชันกงล้อนี่เอง (จ้วนหลุนหวัง ราชันวัฏฏะ) ส่วนพวกเจ้าก็ไปจับหางที่โผล่ออกมานั่นไว้ให้ดีแล้วกัน” อาวุโสใหญ่ตวัดแส้ปัดฝุ่น ยามที่ยอดคนบันดาลโทสะขึ้นมา ศักดานุภาพของท่านย่อมยิ่งใหญ่เทียมฟ้า บารมีสูงส่งสุดสูง

สี่แหวกชำระกายาเหงื่อแตกซ่ก ราชันกงล้ออันใด นั่นคือราชันวัฏฏะนะ สัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งนะ!

อาวุโสใหญ่ถลึงตาอย่างดูแคลน โทสะพุ่งปรี๊ด “พวกขยะ เลี้ยงเสียข้าวสุกกันจริงๆ พวกเจ้าบรรลุแหวกชำระกายามาได้ยังไง ใช่ถูกทัณฑ์สวรรค์ฟาดผ่าจนพิการทางสมองหมดเลยหรือไม่? ”

“ออกมา! ” อาวุโสใหญ่จู่โจมดุจสายฟ้า ฟาดกระแทกมิติไกลออกไป

มิติส่ายไหว ท่ามกลางระลอกชั้นที่สั่นกระเพื่อม พลันปรากฏเงาดำไร้ลักษณ์ไร้กลิ่น คนทั้งสี่เป็นต้องหน้าเปลี่ยนสี

“แล้วนี่ราชันอะไรอีกล่ะ หรือจะเป็นหนึ่งในสิบจ้าวตำหนักอีก? ”

ผู้ฝึกวิชาปีศาจทระนงองอาจ ฆ่าคนเหมือนฆ่าปลา ในพรรคโลหิตนภา มีแต่กฎสรรพสิ่งจึงกล้าสถาปนาตนเป็นราชัน

“เคี๊ยกเคี๊ยก จ้วนหลุนหวัง ข้ากลัวว่าเจ้าจะยึดเมืองเทียนเอินไม่สำเร็จ ก็เลยส่งคนมาช่วยอีกแรง ดูท่าจะไม่ผิดจากที่คิด เผ่ามนุษย์นี้ยังมีพวกที่ควรค่าแก่การจับตา น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้ทะลวงกฎสรรพสิ่ง ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงฝุ่นละออง”

คนผู้นี้วาจาเขื่องโขไม่เลว ดูท่าจะเป็นกฎสรรพสิ่งเหมือนกันแน่แล้ว ทั้งยังคุ้นเคยกับจ้วนหลุนหวังอีกด้วย

นี่จึงเรียกว่า ใกล้ชาดเป็นสีแดง ใกล้หมึกเป็นสีดำ

ผู้มาใหม่ หน้าตาอัปลักษณ์ไม่ต่างจากจ้วนหลุนหวัง ร่างผอมซูบดุจเดียวกัน ระหว่างพวกมันสมควรมีความเกี่ยวดองกันอยู่

สี่แหวกชำระกายาเป็นต้องหัวใจวายอีกครั้ง มารดามันเถอะ อาวุโสท่านนี้ถึงกับจะให้พวกมันไปรับมือกับร่างจำแลงของกฎสรรพสิ่งอีกท่าน นี่ท่านจะมองพวกเราสูงไปแล้วกระมัง

ไปก็ตาย ไม่ไปก็ตาย เพราะงั้นก็ต้องกัดฟันสู้มันลูกเดียว

“ข้าไม่ใช่หนึ่งในสิบจ้าวตำหนัก” คนผู้นั้นมีใบหน้าเหมือนเปลือกส้มเน่าเปื่อย เขี้ยวคมแหลมเผยเด่นยามเอ่ยคำ

อาวุโสใหญ่เอ่ย “อ้อ ที่แท้ก็พวกหางแถว รีบๆ ไสหัวไปเล่นกับพวกสวะสี่ตัวนั่นไป ส่วนพวกที่อยู่ข้างล่างก็อย่าได้วุ่นวาย ล้วนลงมือให้แก่ข้า”

“ยังไงหรือท่าน? ” ประมุขจวงไม่ทำให้ผิดหวัง โพล่งถามขึ้น

อาวุโสใหญ่คำราม “เจ้าโง่! แยกย้ายเป็นกลุ่ม กลุ่มละสองคน แต่ละกลุ่มต้องเป็นเจ็ดกลั่นดวงธาตุขึ้นไป แล้วรีบห้อมล้อมพวกมันไว้ซะ ส่วนพวกที่ต่ำกว่าเจ็ดดวงธาตุ ให้ทำหน้าที่ปกป้องศิษย์สำนักและคนที่เหลือ อพยพออกจากเขาเหมิงซาน”

ฉินจิ่วเกอชูมืออย่างดีใจ “ข้าเป็นพิสุทธิ์ไพศาล พี่อันหยาง ท่านรีบมาคุ้มกันข้าเร็ว”

อันหยางปาดเหงื่อ “พี่ฉิน สหายเขาแหลมด้านหลังท่านผู้นั้นก็เป็นกลั่นดวงธาตุมิใช่รึ ไม่ต้องให้ข้าแบ่งสมาธิมาคอยปกป้องท่านด้วยหรอก”

ฉินจิ่วเกอร่ำร้องอย่างไร้เหตุผล “ไม่ได้ ข้าหน้าตาดีขนาดนี้ ง่ายต่อการตกเป็นเหยื่อของพวกมัน พวกเจ้ากลั่นดวงธาตุหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา คอยคุ้มกันความปลอดภัยข้าให้ดี”

หลังถ่ายทอดคำสั่งแบบรวบย่อ อาวุโสใหญ่ก็ไม่เปิดโอกาสให้พรรคโลหิตนภาได้ทำอะไร

ตะเกียบคู่เดียวหักได้ แต่ตะเกียบร้อยคู่นั้นเป็นคนละเรื่อง

ไม่มีใครสามารถหักได้ เพราะค่าทดลองสูงเกินไป

มองไปทางจ้วนหลุนหวังที่ถูกทิ้งให้เคว้งคว้างมานาน อาวุโสใหญ่จึงตะโกนถาม “ไอ้คนที่อยู่ด้านหลังเจ้าเป็นใคร ไม่จัดอยู่ในสิบจ้าวตำหนักด้วยซ้ำ”

คนถูกพาดพิงพลันส่งสายตาดุร้าย เหยียดมุมปากอัปลักษณ์ชั่วช้ากล่าว “เราคือเทพอารักขาซ้ายขวาจากพรรคโลหิตนภา ราชันหยินหยาง! ”

“โอ้ว” อาวุโสใหญ่ตื่นเต้น

“เจ้าเคยได้ยินชื่อข้า? ”

ราชันหยินหยางเองก็ตื่นเต้น อีกฝ่ายไม่เคยได้ยินชื่อจ้วนหลุนหวัง แต่กลับเคยได้ยินชื่อมัน ช่างตาถึงจริงๆ

โดยเฉพาะจ้วนหลุนหวังที่เป็นเพียงจ้าวตำหนักรั้งท้าย

อาวุโสใหญ่ท่วงท่าเหมือนยอดคน “ข้าเคยได้ยินแต่ ราชันสุนัขหยินหยางอ่ะ”

สี่แหวกชำระกายาเหงื่อแตกพลั่ก นั่นคือราชันหยินหยางนะ บุคคลที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน สมญาโดดเด่นมีความนัยลึกซึ้ง แต่พอออกจากปากท่าน กลับกลายเป็นราชันสุนัขหยินหยาง เป็นคนขายสุนัขยังไม่ได้?

“จะ จะ เจ้า” ราชันหยินหยางปากอ้าค้าง กล่องเสียงสั่นเครือ “มดปลวกกลั่นดวงธาตุอย่างเจ้ากล้ารนหาที่! ”

“ช่างเถอะ พวกเจ้าสี่คนไปจัดการราชันสุนัขหยินหยาง ราชันกงล้อนี่ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” อาวุโสใหญ่เดินส่ายอาดๆ ไม่เหลือบแลอีกฝ่ายที่กำลังเดือดปุดๆ แม้แต่น้อย

สี่แหวกชำระกายารู้สึกสมองลัดวงจร อาวุโสใหญ่ท่านนี้ ความทรงจำคล้ายมีปัญหาอยู่บ้าง คงจะไม่ได้เป็นโรคความจำเสื่อมหรอกใช่ไหม?

หากมันความจำเสื่อมไปชั่ววูบ ลืมว่าฝ่ายเป็นศัตรู ฝ่ายไหนเป็นพวกเดียวกันแล้วแทงมีดใส่พวกตนหนึ่งกะซวก ถึงตอนนั้นพวกตนจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมเอากับใคร?

“ข้าคือราชันหยินหยางต่างหาก! ”

ราชันหยินหยางพิโรธคลั่ง พุ่งเข้าใส่สี่แหวกชำระกายาทันที คนทั้งสี่ผนึกกำลังเข้าต้าน

“เออ รู้แล้ว สุนัขหยินหยาง!”

เสียงของอาวุโสใหญ่แพร่สะพัดไปไกลนับพันลี้ ไอพลังหยินหยางหมุนวนอย่างพิสดารรวมกับถ้อยวาจาหมิ่นหยามดูแคลนขั้นสุดยอด กลับเป็นสี่แหวกชำระกายาที่ต้องร้องเสียงหลง กัดฟันต้านการรุกโจมตีดั่งพายุบุแคมของอีกฝ่าย

“ส่วนเจ้า” อาวุโสใหญ่หันหน้ามา ตามองไปทางบุคคลที่ลอยตัวอยู่กลางเวหา

“ข้าราชันวัฏฏะ! ”

“รู้แล้วๆ ราชันกงล้อ กงล้อราชัน วัฏฏะๆๆ กงล้อๆๆ กงล้อๆ วัฏฏะๆๆ กงล้อๆๆ ”

อาจารย์เด่นศิษย์เลิศล้ำ อาวุโสใหญ่ฝีปากจัดจ้าน พูดจาจนจ้วนหลุนหวังยังต้องวิงเวียน โลกแห่งผู้ฝึกตนช่างยากแท้หยั่งถึงจริงๆ

“หาที่ตาย! ”

“บิดาเกลียดพวกที่มาลอยค้ำหัวที่สุด ไสหัวลงมาซะ! ”

แส้ในมืออาวุโสใหญ่พลันยืดยาว เหมือนม่านน้ำตกที่ถล่มลงจากความสูงสามพันฉื่อ ผนึกเป็นทางช้างเผือกร่วงหล่นจากเก้าสวรรค์

ครอบคลุมแผ่ขยายเต็มน่านฟ้าราวเส้นหมี่มังกรบนโต๊ะแป้ง พุ่งจู่โจมห้อมล้อมใส่จ้วนหลุนหวัง

“วัฏฏะสี่ทิศ!”

จ้วนหลุนหวังลอยสูงขึ้นไปพันเมตร เขาสูงหมื่นเมตรใต้ฝ่าเท้ากลายสภาพเป็นเศษซากไปแล้ว

กงล้อวัฏฏะขนาดราวฝ่ามือปรากฏขึ้นบนศีรษะมัน เปล่งประกายราวดวงอาทิตย์

กงล้อสี่ทิศที่ตั้งต้นด้วยขนาดเท่าฝ่ามือเพียงพริบตาก็เพิ่มจำนวนเป็นร้อยพัน ก่อเป็นกำแพงฟ้าสูงสุดสวรรค์ หมุนวนไม่หยุดยั้ง

พร้อมกับกงล้อที่หมุนวนเร็วรี่ ลมพายุถูกม้วนสะบัดพัดกระหน่ำ กลายเป็นมังกรวายุดุร้าย พัดพาฝุ่นดินผงคลีพร้อมศิลายักษ์บนพื้นกลิ้งกระเด็นกระดอนราวใบไม้ร่วง ทั้งหมดถูกม้วนลอยสู่ท้องฟ้าก่อนพุ่งออกไป

ภาพปรากฏการณ์เช่นนี้ ราวมังกรพ่นน้ำ ทั้งน่าตื่นตะลึงและน่าหวาดหวั่น

แส้หางม้ามงคล ตรงหัวแส้แต้มขาวสัญลักษณ์โชคลาภ แปรทะเลเดือดเลือดพล่านให้กลายเป็นถ้วยน้ำอันสงบนิ่ง

อาวุโสใหญ่ไม่แยแสสนใจกระแสมหาวายุที่พัดกระหน่ำ เพียงสะบัดปัดแส้อย่างบางเบา ราวตะเกียงดวงน้อยภายใต้หัตถ์พระโพธิสัตว์ที่ส่องสว่างเส้นทางแกภิกขุอย่างไม่มีวันมอด

สรรพสิ่งแลฟ้าดิน ภายใต้แส้มงคลโบกสะบัด ธุลีทั้งหลายล้วนกลายเป็นไม่มี

ไม่มีเสียงการปะทะอันดุดัน จ้วนหลุนหวังที่มีหมื่นกงล้อรายล้อมร่าง ภายใต้แส้หางม้าสามพันเส้นกลับถูกกวาดรวบราวกลีบบุปผาร่วง “เราราชันดูถูกเจ้าเกินไป หากข้าอยู่ขอบเขตเดียวกับเจ้า อาจยากยิ่งจะจำแนกสูงต่ำ ทว่าแม้เราราชันเบิกทางสู่มหาวัฏฏะ ร่างจำแลงท่องออกนอกสังขาร แต่ก็มิใช่กลั่นดวงธาตุจสามารถเทียบได้”

“รากลับคิดทดลองดู ที่แท้เป็นเก้ามหาอเวจีใต้วัฏฏะอำมหิตกว่า หรืออานุภาพเซียนแห่งแส้หางม้าขาวเฉิดฉาย”

“เจ้าจะได้เห็นเอง!”

กงล้อสีทองหมุนติ้วบดขยี้ สั่นสะท้านห้วงมิติจนเดือดพล่าน