บทที่ 159 เริ่มถ่ายทำ
บทที่ 159 เริ่มถ่ายทำ
เช้าวันรุ่งขึ้น
เฉินอันฉีสวมชุดกีฬาสีขาววิ่งไปตามเส้นทางริมทะเลสาบกับหม่าเซียวลี่ เธอไม่ได้แสดงอาการเหนื่อยหอบ ในขณะที่หม่าเซียวลี่กำลังเหงื่อแตกและเริ่มหายใจหนัก
เมื่อคืนที่ผ่านมา เธอใช้เวลาอธิบายอยู่นานกว่าหม่าเซียวลี่จะยอมเชื่อว่าเธอกับโจวอี้ไม่ได้มีอะไรเกินเลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนหม่าเซียวลี่ได้ย้ายไปที่ห้องของเฉินอันฉีเพราะเธอเลิกกับหลี่ลี่เฟิงแฟนหนุ่มของเธอแล้ว
“ไม่ไหว ฉันวิ่งไม่ได้แล้ว เธอวิ่งต่อเถอะ ฉันจะรอเธออยู่ที่นี่” หม่าเซียวลี่หอบหนัก เธอนั่งลงบนม้านั่งริมทะเลสาบและโบกมือซ้ำ ๆ
“เราวิ่งไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรด้วยซ้ำ เธอเหนื่อยมากเกินไปหน่อยไหม” เฉินอันฉีพูดอย่างหมดหนทาง
“ฉันเคยวิ่งมาก่อนที่ไหนล่ะ?” หม่าเซียวลี่ยิ้มอย่างขมขื่น
แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงผู้ชายดังขึ้น
“คนทุกคนต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดี พวกคุณยังเด็ก จะอ่อนแอขนาดนี้ไม่ได้”
“โจวอี้?”
“หมอโจว?”
เฉินอันฉีและหม่าเซียวลี่มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
โจวอี้วิ่งมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ และยิ้มให้ผู้หญิงทั้งสอง
เขายังมีนิสัยตื่นเช้า แต่เนื่องจากที่นี่ไม่สะดวกจะฝึกวิชา เขาจึงลุกขึ้นมาวิ่งออกกำลังกายแทน ใครจะไปคิดว่าหลังจากวิ่งไปรอบ ๆ ทะเลสาบแล้วจะได้พบกับเฉินอันฉีและหม่าเซียวลี่
“คุณยังมีอาการบาดเจ็บอยู่เลย คุณมาวิ่งได้ยังไง?” เฉินอันฉีถามด้วยความเป็นห่วง
“การวิ่งไม่ใช่ปัญหาเลย” โจวอี้โบกมือแล้วถามว่า “วิ่งด้วยกันไหม?”
เฉินอันฉีมองไปที่หม่าเซียวลี่ทันที
หม่าเซียวลี่อยากจะกัดฟันและร่วมวิ่งด้วย แต่เวลานี้ขาของเธอราวกับเต็มไปด้วยตะกั่วที่หนักอึ้ง ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าตกลง
“ไปกันเถอะ! ฉันรอพวกคุณอยู่ที่นี่ก็ได้”
“โอเค!” เฉินอันฉีพยักหน้า
โจวอี้และเฉินอันฉีวิ่งไปรอบ ๆ ทะเลสาบอีกหลายรอบก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหม่าเซียวลี่
“กินข้าวเช้าด้วยกันไหม” โจวอี้ถาม
“ดี!” หม่าเซียวลี่ตอบตกลงทันที
เดิมทีเฉินอันฉีคิดจะกลับไปที่โรงแรมเพื่ออาบน้ำ แต่เมื่อได้ยินคำตกลงของหม่าเซียวลี่ เธอก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้าในที่สุด
“ถ้างั้นมากับผม! หลังอาหารเช้า ผมจะคืนห้องโรงแรมเดิมแล้วไปพักโรมแรมเดียวกับพวกคุณที่พวกนักแสดงพักอยู่”
ผ่านไปไม่นานนัก ทั้งสามก็ไปถึงร้านอาหารของโรงแรมเฉิงถัง หลังอาหารเช้า เฉินอันฉีและ หม่าเซียวลี่ก็ขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับโจวอี้
“นี่คือห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทในตำนานเหรอ! หรูหราเกินไปหรือเปล่า!” เมื่อทั้งสามเข้าไปในห้อง หม่าเซียวลี่ก็มองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความประหลาดใจ
“มันหรูแต่ราคาก็สูงด้วย” โจวอี้ยิ้มและเริ่มเก็บข้าวของ
หม่าเซียวลี่พาเฉินอันฉีที่ทำอะไรไม่ถูกเดินไปทั่วห้องก่อนจะหยุดอยู่ที่ระเบียง เธอถามเสียงแผ่วว่า “อันฉี หมอโจวนี่คือนายน้อยรุ่นที่สองของตระกูลผู้ร่ำรวยใช่ไหม ห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทแบบนี้ราคาแพงมาก! ฉันคิดว่าหมอธรรมดา ๆ คงมีรายได้ไม่พอที่จะพักในห้องดี ๆ แบบนี้ได้!”
“ฉันก็ไม่รู้”
เฉินอันฉีส่ายหัว เธอรู้ว่าโจวอี้ออกมาจากภูเขา แต่เธอไม่รู้เรื่องครอบครัวของโจวอี้
หม่าเซียวลี่หันมองออกไปในระยะไกล และดวงตาของเธอก็ฉายแววแปลก ๆ
เธอเคยคิดว่าเฉินอันฉีมีความสัมพันธ์พิเศษกับโจวอี้ แต่เมื่อคืนนี้เฉินอันฉีได้อธิบายความสัมพันธ์กับโจวอี้อย่างชัดเจน และเธอก็ตระหนักว่าเธอเข้าใจผิดไปจริง ๆ
แต่!
ดีแล้ว!
ถ้าเฉินอันฉีและหมอโจวไม่ได้เป็นอะไรกันจริง ๆ ย่อมหมายความว่าเธอก็มีโอกาส!
หมอโจวมีฐานะทางสังคมและมีเงิน ถ้าเธอสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาได้…
แปดโมงเช้า
โจวอี้ตามเฉินอันฉีและหม่าเซียวลี่ไปยังโรงแรมที่ทีมงานพักอยู่ หลังจากพบโปรดิวเซอร์จินหมิงแล้ว อีกฝ่ายก็จัดเตรียมห้องให้โจวอี้ด้วยตนเอง
จากนั้น โจวอี้ก็ขึ้นรถบัสไปพร้อม ๆ กับพวกนักแสดงเพื่อไปยังสถานที่ถ่ายทำ
พิธีบวงสรวงเปิดกองละครกำลังภายในเรื่อง “Crossing the Jianghu” นั้นยิ่งใหญ่มาก นักแสดงและทีมงานหลายร้อยคนรวมตัวกัน โจวอี้เป็นหนึ่งในนักแสดงที่รับบทเป็น “มารพิณหกนิ้ว’”
กล้องถูกคลุมด้วยผ้าสีแดง กระถางธูปและเครื่องบวงสรวงมากมายวางอยู่โต๊ะที่ปูด้วยผ้าสักหลาดสีแดง
จากนั้นพิธีบวงสรวงก็เริ่มด้วยเสียงประทัด
เมื่อเปิดกล้องอย่างเป็นทางการ โจวอี้ก็ได้รับสคริปต์ของตัวเอง
เขามองดูกระบวนการถ่ายทำอย่างใกล้ชิด จากนั้นเขาก็เริ่มเข้าใจว่าการถ่ายทำละครทีวีเป็นอย่างไร และเขาได้อ่านสคริปต์ทั้งหมดของตัวเองจนจบในเช้านั้น
บทบาทของตัวละครที่เขาได้รับนั้นทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ดังที่ถังจี้โจวกล่าวเมื่อคืนนี้ บทของเขาจะโผล่มาแค่ห้าหรือหกครั้งเท่านั้น และยังพูดเพียงไม่กี่ประโยค แต่การโผล่ออกมาแต่ละครั้งนั้นโดดเด่นกว่าพวกตัวประกอบอยู่เล็กน้อยเท่านั้น
และในช่วงพักเที่ยง โจวอี้ก็ได้พบโปรดิวเซอร์จินหมิง
“หมอโจว ข้าวกล่องของทีมงานไม่อร่อยเหรอ?” จินหมิงนั่งใกล้อุปกรณ์ถ่ายทำพร้อมกับข้าวกล่องในมือ เมื่อเห็นโจวอี้เข้ามาใกล้ เขาก็ถามด้วยรอยยิ้ม
“ผมยังไม่ได้กินข้าวกล่องเลย ผมมาหาเพื่อถามว่าผมจะเข้าร่วมการแสดงเมื่อไหร่”
“บทละครของคุณคือ ‘มารพิณหกนิ้ว’ คงอีกมากกว่าครึ่งเดือนถึงจะเป็นคิวถ่ายทำฉากของคุณ” จินหมิงยิ้ม
“ครึ่งเดือน?” โจวอี้ตกตะลึง
เขามีเวลาอยู่ในเมืองภาพยนต์อีกสองสามวันเท่านั้น และเมื่ออาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้น เขาจะกลับบ้านไปเลี้ยงลูกสาวของเขา เขาจะเสียเวลามากมายที่นี่ได้อย่างไร!
นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่รบกวนจิตใจเขา
นั่นคือตอนนี้เขากำลังโด่งดัง!
เนื่องจากวิดีโอสั้นในแอปฯโต่วอินที่ถูกแชร์โดยเฉินอันฉี เกาชง หลี่เป่าเอ๋อร์ และคนอื่น ๆ ทำให้ตอนนี้มันยุ่งเหยิงไปหมด ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ จำนวนแฟน ๆ ที่ติดตามเขาเพิ่มขึ้นหลายล้านคน และจำนวนไลก์ก็เพิ่มสูงขึ้น
เมื่อเช้านี้มีคนเดินเข้ามาหาเขาอย่างน้อยสิบคน และถามเขาเกี่ยวกับวิดีโอการเล่นกู่เจิง และยังมีหลายคนที่ขอให้เขาเซ็นชื่อให้
“หมอโจว ถ้าคุณต้องการกลับไปทำงานที่โรงพยาบาล คุณสามารถกลับไปก่อนได้นะ เอาไว้ถึงคิวตอนที่ ‘มารพิณหกนิ้ว’ จะถ่ายทำ ทีมงานจะโทรหาคุณล่วงหน้าสองวัน แล้วคุณค่อยกลับมาก็ได้” จินหมิงยิ้ม
“ทำแบบนั้นก็ได้เหรอ? แล้วทำไมเฉินอันฉีที่มีฉากไม่เยอะแต่ยังต้องอยู่กับทีมงานตลอดด้วย” โจวอี้ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“เธอเป็นนักแสดงพิเศษ เธอมีบทบาทมากกว่าที่คุณเล่น ส่วน ‘มารพิณหกนิ้ว’ ที่คุณได้รับ…หากให้พูดตรง ๆ มันเป็นเพียงตัวละครประกอบที่เด่นกว่าตัวประกอบอื่น ๆ ขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น” จินหมิงอธิบาย
โจวอี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
แค่ตัวประกอบที่ไม่สำคัญงั้นเหรอ…เยี่ยมเลย!
ภรรยาของเขาเป็นคนดังอยู่แล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนเธอก็มีออร่าเปล่งประกายเสมอ เขาไม่ต้องการมีชื่อเสียงอีกต่อไปแล้ว เขาต้องการที่จะมีชีวิตที่สะดวกสบายในแบบที่ไม่ใช่คนสำคัญหรือโด่งดัง
เขายังคงไม่ได้รีบออกไป และยังอยู่ที่กองถ่ายต่อถึงบ่ายโมง
เขาทำความรู้จักกับสมาชิกในกองถ่ายเป็นอย่างดีแม้กระทั่งทีมงานตำแหน่งเล็ก ๆ
มื้อเย็นยังคงเป็นข้าวกล่อง
โจวอี้นั่งยอง ๆ พูดคุยขณะรับประทานอาหารกับนักแสดงหลายคนที่มีบทบาทไม่สำคัญมากนัก การกระทำนี้ของเขาสร้างมิตรได้มากมาย เขาทำให้ทุกคนหัวเราะได้หลายครั้ง
“หมอโจว! หมอโจวอยู่ที่ไหน?” เสียงตะโกนอย่างเร่งร้อนดังมาจากระยะไกล
“ผมอยู่นี่!” โจวอี้ตอบเสียงดังและยกมือขึ้น
“หมอโจว มีบางอย่างเกิดขึ้น คุณช่วยมากับผมที!” จินหมิงรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาหาชายหนุ่ม