คราวที่แล้วนางแต่งกายเป็นผู้ชาย และยังมีหนวด อีกทั้งยังปกปิดด้วยการแต่งหน้า แต่โครงกระดูกมนุษย์ไม่อาจตบตาคนได้

จ้าวมู่เหยียนมั่นใจว่าสตรีที่อยู่ข้างหน้าเขาตอนนี้ คือคนที่เตะเปิดประตูห้องส่วนตัวของเขาในอาคารหย่าชิงในคืนนั้น และถามเขาว่าเขาเป็นโสเภณีชายหรือไม่

ฉินปู้เข่อแทบจะสำลักเนื้อวัวที่เต็มปากของนาง และนางก็หัวเราะอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ “น้องชาย วิธีในการเข้าหาผู้หญิงของเจ้านั้นหยาบคายเกินไป”

ดวงตาของจ้าวมู่เหยียนหรี่ลง ดูเหมือนว่าคืนนั้นนางจะดื่มมากเกินไป และคาดว่านางอาจจะลืมแม้กระทั่งการเตะประตูห้องของเขาด้วย

ฉินปู้เข่อชี้ไปที่ขนมแป้งทอดของนางแล้วพูดว่า “พี่สาวคนนี้แต่งงานแล้ว และไม่มีแผนที่จะหย่ากับสามีของข้าในช่วงไม่กี่ปีนี้ เจ้าควรหาผู้หญิงคนอื่นเพื่อฝึกฝนวิธีการจีบสาวของเจ้า”

“ดูเหมือนว่าข้าต้องขอคำแนะนำจากพี่ชายของข้าจริง ๆ ข้าคิดว่าวิธีนี้ยังธรรมดาเกินไป” จ้าวมู่เหยียนไม่ได้ขุ่นเคืองและมองฉินปู้เข่อที่กำลังเคี้ยวอย่างเมามันแล้วเผยรอยยิ้มร่าเริง “แค่ได้รู้จักแม่นางที่เป็นสหายนักชิมก็ถือเป็นมิตรภาพที่บังเอิญอย่างหนึ่ง ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะไม่อาจทำอะไรที่นี่ได้แล้ว และหากข้ากินเช่นเดียวกับที่แม่นางกิน ข้าก็คงจะหมดตัว”

“ฮ่า ๆ” ฉินปู้เข่อวางจานเปล่าในมือแล้วยืนขึ้นเพื่อหยิบจานที่วางอยู่ไกล

จี้หยกที่เอวกระแทกโต๊ะจนเสียงดังชัดเจน จ้าวมู่เหยียนมองดูมันอย่างละเอียด สายตาของเขามีความรอบคอบ และทันใดนั้นเขาก็สอดส่ายสายตาไปมาระหว่างใบหน้าของฉินปู้เข่อและจี้หยกหลายครั้ง

หลังจากความตื่นเต้นลดลงเล็กน้อย จ้าวมู่เหยียนก็คลายกำปั้นที่กำไว้ในแขนเสื้อของเขา แล้ววางลงบนโต๊ะและเคาะเบา ๆ ราวกับกำลังผ่อนคลายอยู่ในบ้าน

“เมื่อสักครู่นี้ข้าได้ยินว่าแม่นางแต่งงานแล้วหรือ? ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าครอบครัวที่ร่ำรวยครอบครัวใดในเขตหลินเป่ยสามารถให้สินสอดทองหมั้นมากมายได้ในตอนที่แม่นางแต่งงาน? เพราะดูจากวิธีการกินของแม่นางแล้ว คนธรรมดาก็คงจะไม่อาจจ่ายได้”

“ครอบครัวของข้าไม่ใช่คนท้องถิ่น ข้าแค่ผ่านมาที่นี่และมันก็ไม่ใช่เงินของเจ้าด้วย ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้”

จ้าวมู่เหยียนหัวเราะเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นบอกลา

“นายหญิง อย่าพูดกับชายแปลกหน้าเช่นนี้อีกในอนาคตนะเพคะ” ซวงหวนพูดเบา ๆ หลังจากเห็นคนผู้นั้นจากไปแล้ว “ท่านอ๋องจะไม่พอใจได้นะเพคะ”

“เป็นแค่คนรู้จักธรรมดาที่สัญจรไปมา หากไม่ได้บังเอิญเจอกันอีกในอนาคตก็ไม่ได้ติดต่อกันหรอก” ฉินปู้เข่อกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

ในที่สุดหลังจากที่ฉินปู้เข่ออิ่มแล้ว แขกทุกคนในสวนหลังบ้านก็จากไปกันหมดแล้ว

หญิงสาวตัวเล็กในร้านส่งฉินปู้เข่อไปที่ประตูอย่างมีความสุข และนำซุปเนื้อและขนมแป้งทอดสองสามชิ้นมาให้นาง

เมื่อฉินปู้เข่อหันหลังกลับและยกกระโปรงยาวขึ้นเพื่อขึ้นรถม้า เมื่อมือของนางสัมผัสถึงน้ำหนักที่เบากว่าปกติ นางก็รู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย นางจึงมองลงมาและตะโกนว่า “ซวงหวน ข้าทำจี้หยกของข้าหล่นหาย ไปที่สวนหลังบ้านเพื่อค้นหามันที”

“เอ๊ะ ๆ”

ซวงหวนรีบหันหลังกลับและวิ่งไปที่สวนหลังบ้านของร้านขายเนื้อหลังจากวางกล่องอาหารไว้ และสักพักก็กลับมาพร้อมกับจี้หยก

“นายหญิงโปรดอย่ารีบร้อน มันตกอยู่ในตำแหน่งที่ท่านนั่งในตอนนั้น และคาดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับอะไรบางอย่างเมื่อท่านลุกขึ้นเพคะ”

ฉินปู้เข่อรับจี้หยกและมองมันอย่างถี่ถ้วนแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก นี่คือของขวัญจากหมี่โม่หรู่ที่นางไม่อาจทำหายได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือทาสใบ้ในวังรู้จักจี้หยกนี้ บางทีอาจมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ในจี้หยกก็เป็นได้

“มัดมันให้แน่นกว่านี้”

ซวงหวนรับจี้หยกมาและสาละวนอยู่ที่เอวของนาง และทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองฉินปู้เข่อด้วยใบหน้าซีดเผือด

“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินปู้เข่อสังเกตเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของนาง “ระดูมาแล้วหรือ?!”

“จี้หยกของนายหญิงแตกแล้วเพคะ”

ฉินปู้เข่อก้มหน้าลง จี้หยกที่เดิมทีสมบูรณ์ทั้งชิ้นแตกออกเป็นสองส่วน และหยกขาวเรืองแสงเพราะแสงอันอบอุ่นในมือของซวงหวน

“นายหญิง นี่เป็นลางร้ายหรือเปล่าเพคะ ท่านอ๋อง… คงจะไม่เป็นอะไรนะเพคะ”

……………………………………………………………………