บทที่ 166 ตามหาแสง

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ฉินปู้เข่อระงับความไม่สบายใจของนางแล้วหยิบจี้หยกขึ้นมาวางไว้ตรงหน้า จากนั้นก็มองอย่างละเอียดแล้วใช้นิ้วแตะส่วนที่หัก

มันเรียบเนียนมาก ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตกจากเอวแต่เหมือนถูกผ่าออกจริง ๆ

นางมองไปที่พื้นรองเท้าที่เปื้อนโคลนของตัวเอง และของซวงหวนก็เช่นกัน

สวนหลังบ้านของร้านขายเนื้อไม่ได้ปูกระเบื้องและเป็นพื้นดินแบบดั้งเดิม เจ้าของร้านมักทำซุปเนื้อหกใส่หรือเช็ดโต๊ะด้วยเศษผ้าชุบน้ำ ทำให้ดินที่ต้องเหยียบย่ำเปียกเล็กน้อยและกลายเป็นโคลนนิ่ม ทั้งสองนั่งอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานเท้าจึงย่อมเปื้อนคราบโคลน

จี้หยกจะแตกได้อย่างไรเมื่อมันตกลงไปบนพื้นโคลน?!

เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายผู้นั้นเป็นคนผ่าจี้หยกออกจากกัน?

ก่อนที่รถม้าจะออกไป ฉินปู้เข่อออกจากรถม้าและกลับไปที่ร้านขายเนื้อ “สาวน้อย ข้าขอถามว่าคุณชายจ้าวมู่เหยียนที่นั่งร่วมโต๊ะกับข้าเมื่อสักครู่นี้อาศัยอยู่ที่ใด?”

เมื่อพิจารณาจากความคุ้นเคยของจ้าวมู่เหยียนกับร้านนี้และเสื้อผ้าของเขาแล้ว เขาก็น่าจะเป็นคนจากครอบครัวใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเขตหลินเป่ยมาเป็นเวลานาน

“คุณชายจ้าวหรือ? เขาอาศัยอยู่ห่างไกล” หญิงสาวตัวเล็กคลี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “แม่นาง เขาคนนั้นอยู่ห่างไกล คนสกุลจ้าวเลี้ยงม้าศึกให้ราชสำนักมาหลายชั่วอายุคน และอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าทางตะวันออกของเขตหลินเป่ยมาโดยตลอด”

เลี้ยงม้าศึกให้ราชสำนักหรือ?!

ฉินปู้เข่อนั่งอยู่บนรถม้าพลางถือจี้หยกที่แตกออก ตอนนี้นางไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะบอกว่าจ้าวมู่เหยียนทำลายจี้หยกของนาง และนางก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปหาเขาเพื่อคิดบัญชี

ถ้ามันเป็นสิ่งที่จ้าวมู่เหยียนทำจริง ๆ เขาเป็นคนเลี้ยงม้าศึกและเขาไม่เคยพบนางมาก่อน แล้วเหตุใดเขาต้องทำลายจี้หยกของนางด้วยเล่า?

หมี่โม่หรู่ยุ่งมากจนต้องออกไปตั้งแต่เช้าและกลับมายามดึก และไม่มีใครเห็นเขาเป็นเวลาสองหรือสามวันแล้ว และฉินปู้เข่อก็พยายามหาโอกาสที่จะขอโทษเขาเรื่องทำจี้หยกแตก

อาจจะมีวิธีเชื่อมหยกที่แตกออกไม่ใช่หรือ?!

ฉินปู้เข่อนั่งอยู่ใต้แสงเทียนพร้อมกับจี้หยกสองซีก และขบคิดอย่างหนักเกี่ยวกับวิธีการซ่อมแซม ลมในยามราตรีพัดเข้ามาทางหน้าต่างจนเทียนสีเงินดับ และแสงจันทร์ที่นวลผ่องก็สาดส่องจี้หยกในมือของนาง

ขณะที่นางกำลังจะลุกไปจุดเทียนอีกครั้ง จี้หยกในมือของนางก็เรืองแสงสีเหลืองจาง ๆ ออกมาจากส่วนที่แตก เมื่อตรวจสอบดูใกล้ ๆ ก็พบว่ารัศมีของแสงเหล่านี้จะรวมตัวกันโดยเว้นระยะห่างและใกล้ชิดกันบางเส้น ราวกับว่ารัศมีของแสงแต่ละเส้นพุ่งไปยังทิศทางที่ต่างกัน

จี้หยกนี้มีความลับจริง ๆ

นางรีบนั่งลงตรงตำแหน่งเดิมและวางแผนจะดูว่าแสงนั้นรวมตัวกันเป็นคำว่าอะไร แต่ใครจะรู้ว่าจี้หยกนั้นจะกลับมาเป็นสีเดิมหลังจากนั่งลง และแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ฉายออกมารวมตัวกันเป็นคำก็หายไป

“เอ๊ะ?!”

ฉินปู้เข่อนึกสงสัยและวางจี้หยกไว้ตรงหน้านาง แล้วมองอย่างระมัดระวัง “แสงนั่น”

อาจเป็นเพราะมุมแสงผิดหรือไม่? ฉินปู้เข่อมองดูดวงจันทร์นอกหน้าต่างผ่านหน้าต่าง ลุกขึ้นเล็กน้อยและทิ้งตัวลงนั่งที่มุมเมื่อครู่นี้ พยายามแล้วแต่ก็ไม่ตอบสนอง

หนึ่งเค่อผ่านไปนางก็ถือจี้หยกที่แตกออกกระโดดขึ้นลงในห้องมืด เพื่อตามหาแสงสว่างอย่างมุ่งมั่น

กลางดึกที่เงียบสงัด หมี่โม่หรู่ที่ยุ่งทั้งวันมองไปยังห้องที่มืดสนิทและผลักประตูเบา ๆ เพราะกลัวว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะปลุกพระชายาตัวน้อยที่กำลังหลับใหล

เขาไม่คาดคิดเลยว่าในระยะห่างออกไปเพียงสองก้าว เขาจะเห็นร่างเล็กกำลังเดินอยู่รอบ ๆ โต๊ะไม้โดยยกมือขึ้น และมีเสียงบ่นพึมพำอย่างวิตกกังวลอยู่ในปากของนางเป็นระยะ

“เสี่ยวเข่อ?” นางเดินละเมอตอนกลางคืนหรือ?

“ไอ้หยา! ข้าตกใจหมดเลย!”

ฉินปู้เข่อที่กำลังง่วนอยู่กับการตามหาแสง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงจึงตกใจมากจนหัวใจเต้นแรง และเหงื่อเย็นเยียบก็ไหลออกมาจากหลังของนาง

หมี่โม่หรู่รีบเข้าไปกอดนางและปลอบนางอย่างนุ่มนวล “ข้าเอง เจ้ากำลังหาอะไรอยู่หรือ?”

แสงเทียนในห้องถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ฉินปู้เข่อถือจี้หยกที่แตกออกแล้วลังเล “ก็… นั่น… หม่อมฉันทำจี้หยกที่ท่านให้มาเมื่อไม่กี่วันก่อนแตกเพคะ”

นางแบมือออกเผยให้เห็นจี้หยกสองซีกบนฝ่ามือ และกล่าวขอโทษจากใจจริง “หม่อมฉันต้องการจะบอกท่านตั้งแต่เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาแล้ว แต่ท่านยุ่งเกินไปและหม่อมฉันก็ผล็อยหลับไปก่อน…”

“แตกหรือ?”

น้ำเสียงของหมี่โม่หรู่ดูเหมือนจะมีอารมณ์ที่แตกต่างซ่อนอยู่ในนั้น และก่อนที่ฉินปู้เข่อจะสังเกตได้ น้ำเสียงของเขาก็กลับมาเป็นปกติ

“ไม่น่าแปลกใจที่เจ้านอนหลับไม่สบายในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ที่แท้เจ้าก็กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่” เขาหยิบจี้หยกที่แตกออกเป็นสองซีกมาถือไว้ในมือ ราวกับว่าเขากำลังนึกถึงอะไรบางอย่างแล้วยกยิ้มอย่างว่างเปล่า “ทิ้งมันไปเถิด บางทีมันน่าจะพังไปนานแล้วด้วยซ้ำ โยนมันทิ้งไป แล้ววันหลังข้าจะหาอันที่ดีกว่านี้ให้เจ้า”

“หากท่านสามารถหาช่างฝีมือได้ มันก็ยังสามารถซ่อมแซมได้” ฉินปู้เข่อคว้าจี้หยกมาเก็บไว้ในมือของนาง ดูเหมือนว่าหมี่โม่หรู่จะไม่รู้ว่าจี้หยกนี้สามารถส่องแสงได้

“เสี่ยวเข่อ เจ้า…”

บางทีอาจเป็นเพราะนางเคลื่อนไหวมากเกินไป หมี่โม่หรู่จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสับสน

ฉินปู้เข่อหน้ามุ่ย “นี่คือของขวัญชิ้นแรกที่ท่านมอบให้หม่อมฉัน มันจึงควรค่าแก่การหวงแหน ดังนั้นแม้ว่ามันจะแตกก็ไม่อาจโยนมันทิ้งไปได้ นอกจากนี้หม่อมฉันยังจำได้ด้วยว่าท่านบอกว่าสหายเก่าเป็นคนมอบให้ท่าน ดังนั้นก็ควรจะเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี แต่อย่างไรเสียหม่อมฉันก็สะเพร่าเกินไป!”

“ก็ได้ ก็ได้ หากเจ้าต้องการก็รับไป” หมี่โม่หรู่ไม่ต้องการให้นางรู้สึกผิดและโทษตัวเอง

มันเป็นแค่จี้หยกของคนผู้นั้น ตอนที่เขายกให้พระชายาตัวน้อย เขาก็คิดว่ามันเป็นของเขาแล้วจึงอยากจะมอบให้คนที่เขาห่วงใยมากที่สุด

ตอนนี้เขาเพิ่งเริ่มต้นทำงานในราชสำนัก หลังจากที่เขามีส่วนพัวพันกับบุคคลนั้นมาหลายปี บัดนี้เขาได้ทำลายความสัมพันธ์ไปแล้วและเขาก็ได้ทำลายความทรงจำทั้งหมดของตัวเองด้วย สุดท้ายเขาก็ต้องก้าวต่อไปข้างหน้าโดยพึ่งพาตนเองเพื่อพลิกประวัติศาสตร์นี้

เมื่อได้รับอนุญาต ฉินปู้เข่อก็นำถุงอย่างดีมาเก็บหยกที่แตกอย่างระมัดระวัง นางจะต้องไปหาหมี่เฉินอี้หลังจากกลับไปแล้ว สัญชาตญาณของนางบอกว่าหมี่เฉินอี้จะต้องรู้จักกับเจ้าของจี้หยกนี้ และรู้เรื่องความลับที่เกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน

ขณะที่นางมัวแต่ก้มหน้ายุ่งอยู่ หมี่โม่หรู่ก็ดึงปิ่นปักผมบนศีรษะของนางออก ผมดำขลับราวขนนกกาสยายลงบนไหล่ของนางแผ่วเบา ทำให้ใบหน้าที่สดใสของนางดูกระจ่างขึ้นเล็กน้อย

จากนั้นใบหน้านี้ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพูหลังจากตระหนักได้ถึงความหมายอันลึกล้ำในสายตาของเขา และริมฝีปากสีแดงราวกับเชอร์รีก็เม้มเล็กน้อย

“ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือเพคะ?”

มือเรียวของชายหนุ่มลูบไล้ริมฝีปากอันบอบบาง หมี่โม่หรู่จับหลังศีรษะของนางและออกแรงเล็กน้อยทำให้ริมฝีปากของตนแนบชิดกับนาง “สองสามวันที่ผ่านมาข้าทนรบกวนเจ้าไม่ได้ เมื่อกลับมาแล้วเห็นว่าเจ้าหลับอยู่ แต่วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”

ฉินปู้เข่อจ้องเขาด้วยดวงตาสีดำราวกับนิล และพูดด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “ช่วงนี้หม่อมฉันมักจะรู้สึกว่าท่านกลายเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ซึ่งทำให้เหนื่อยมาก”

“ฮ่า ๆ” ลูกกระเดือกที่อยู่ใกล้แก้มของนางขยับขึ้นลงสองสามครั้ง หมี่โม่หรู่เอามือข้างหนึ่งลูบหน้าท้องแบนราบของนาง ส่วนอีกมือหนึ่งก็เลื่อนไปที่ชุดด้านหน้าของนางอย่างชำนาญ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย “นานแล้วที่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย หากไม่ทำงานหนักก็จะถึงเวลาที่ผู้อื่นจะถามถึงสมรรถภาพของอ๋องหลี่ชิน”

ฉินปู้เข่อมองลงไปที่หน้าท้องของนางแล้วหยิกเขาเบา ๆ “ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถิดเพคะ ไม่จำเป็นต้องบังคับ”

“ข้าต้องหาเหตุผลที่ไม่ได้เรื่องมาเพื่อโน้มน้าวเจ้าเสมอ”

รอยจุมพิตอันละเอียดอ่อนค่อย ๆ ถลำลึกลงไป เมื่อแสงเทียนดับลง หมี่โม่หรู่ก็เอามือลูบแผ่นหลังอันละเอียดและบอบบางของนาง หากพวกเขามีลูกด้วยกัน ความผูกพันระหว่างกันก็จะลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ห้องสลัว น้ำพุสาดกระเซ็นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ที่คอกม้าในเขตหลินเป่ยที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ จ้าวมู่เหยียนหยิบตะเกียงขึ้นมาและมองดูรายงานลับตรงหน้าเขา แล้วยกยิ้มให้ชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างเขา “คุณชายเฟิงไม่ต้องกังวล อีกไม่กี่วันหมี่เซวียนก็จะได้รู้ความลับของอ๋องหลี่ชิน และข้าก็เกรงว่าจะมีเหตุการณ์พลิกผันบางอย่างเมื่ออ๋องหลี่ชินกลับไป”

………………………………………………………………………….