ตอนที่ 178 เกี่ยวกับหมอแผนจีนเย่
ตอนที่ 178 เกี่ยวกับหมอแผนจีนเย่
หล่อนยืนขึ้นพร้อมมองไปยังหลิวกุ้ยอิง และเอ่ยอย่างจริงใจ “แม่สะใภ้ ฉันอยากจะขอโทษคุณ เป็นฉันเองที่ทำเกินกว่าเหตุในตอนที่อยู่ที่บ้านเกิด”
จากนั้นก็กล่าวต่อ “เมื่อก่อนฉันเป็นคนมองอะไรด้านเดียว ซ้ำยังดื้อดึงเกินไป แต่ความเป็นจริงชี้ชัดให้เห็นแล้วว่าเซี่ยเซี่ยและเฉินเจียเหอนั้นเหมาะสมกัน พวกเขาไม่ได้เลือกคนผิด”
หลิวกุ้ยอิงระบายยิ้ม ก่อนเอ่ย “คุณแม่สามี ฉันดีใจอย่างยิ่งที่คุณยอมรับเซี่ยเซี่ย ขอบคุณนะคะ”
หล่อนมองไปยังครอบครัวตระกูลเฉินและเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ทุกคนคงทราบดีถึงภูมิหลังของเซี่ยเซี่ยแล้ว ฉันเองเป็นคนชนบท ไม่ได้มีความสามารถอะไรนัก ดังนั้นในอนาคตฉันอาจช่วยเหลือพวกเขาได้ไม่มากนัก แต่โปรดมั่นใจได้ว่าเราสามคนแม่ลูกจะไม่ทำให้เซี่ยเซี่ยและเจียเหอต้องลำบาก”
การที่หลิวกุ้ยอิงสามารถเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ทำให้มุมมองที่โจวลี่หรงเคยมีต่อตระกูลเซี่ยอยู่ในใจพลันแปรเปลี่ยนไป
ก่อนหน้านี้เป็นหล่อนที่มองอะไรด้านเดียวจนเกินไป หลิวกุ้ยอิงนั้นแตกต่างจากหลินเอ้อร์ฝูโดยสิ้นเชิง
ผู้เฒ่าเฉินถามขึ้นว่า “ฉันได้ยินมาจากเซี่ยเซี่ยว่าพวกเธอตั้งแผงขายอาหารงั้นหรือ?”
“ใช่ครับ”
“กิจการเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินจินซานตอบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ผู้เฒ่าเฉิน แม่กับน้องสาวของผมทำกำไรได้สามสิบกว่าหยวนต่อวันเชียวล่ะครับ”
ได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นของผู้เฒ่าเฉินก็ประดับด้วยรอยยิ้มประหลาดใจเล็ก ๆ “มากเพียงนี้เชียว? เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
ด้วยรายได้เท่านี้ การจะลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองไห่เฉิงในอนาคตย่อมไม่มีปัญหา
“ตอนนี้รายได้ค่อนข้างดี แต่ก็เหนื่อยอยู่บ้างค่ะ”
ผู้เฒ่าเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปยังหลิวกุ้ยอิง “แม่เซี่ยเซี่ย มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอาจต้องบังอาจเสียมารยาทถาม”
“เชิญถามมาได้เลยค่ะ”
“ในตอนนั้นคุณไม่รู้จริง ๆ หรือว่าอุ้มเด็กมาผิดคน?”
แม้ว่าผู้เฒ่าเฉินจะพอใจในตัวหลินเซี่ย ทว่าเรื่องที่หลินเซี่ยและเสิ่นอวี้อิ๋งถูกอุ้มไปผิดฝาผิดตัวในอดีตนั้นก็ค้างคาอยู่ในใจของเขา
ในเรื่องนี้ หลินเซี่ยเองก็ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน
แต่หากตัวการคือครอบครัวของเธอ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อได้ยินคำพูดขอ ผู้เฒ่าเฉิน หลิวกุ้ยอิงจึงอธิบายอย่างหนักแน่นเด็ดเดี่ยวว่า “ผู้เฒ่าเฉิน ฉันไม่รู้จริง ๆ ค่ะ จนกระทั่งตระกูลเสิ่นมาหา ฉันจึงได้รู้ว่าคนที่ฉันเลี้ยงดูมาไม่ใช่ลูกของตัวเอง ในเรื่องนี้ ทั้งฉันและลูกสาวของฉัน เราต่างก็ตกเป็นเหยื่อ”
เฉินเจียซิ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถากถางขึ้นเสียงเย็น “แต่ตระกูลเสิ่นพูดชัดเจนว่าเป็นคุณที่จงใจสลับตัวเด็กเพื่อที่จะให้ลูกสาวของตัวเองมีชีวิตที่ดี”
หลิวกุ้ยอิงโต้กลับอย่างมีน้ำโห “พวกเขาโจมตีใส่ร้ายฉันอย่างชั่วช้าสามานย์ ในเวลานั้นฉันไปคลอดลูกเพียงลำพังที่ศูนย์สุขภาพเสียด้วยซ้ำ จะมีความสามารถถึงเพียงนั้นเหรอ? อีกอย่างมีแม่ที่ไหนบ้างที่อยากจะสับเปลี่ยนลูกของตัวเองกับคนอื่น? ตอนที่ฉันไปที่ศูนย์สุขภาพก็ไม่รู้จักใครเลยสักคนเดียว แถมคลอดกะทันหันในวันนั้นอีก ฉันจะมีโอกาสรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคนในเมือง?”
เฉินเจียซิ่งยังคงไม่ยอม “เสิ่นอวี้อิ๋งบอกว่าตอนที่อยู่ในชนบท หล่อนถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณมาอย่างยาวนาน หากว่าไม่ได้สลับเด็กแล้ว ทำไมหล่อนถึงถูกพวกคุณปฏิบัติอย่างเลวร้ายได้?”
“เหลวไหลสิ้นดี” หลินจินซานโกรธจนผุดตัวลุกขึ้น
หลินจินซานมองไปยังเฉินเจียเหอแล้วถามว่า “หล่อนบอกว่าพวกเราปฏิบัติต่อหล่อนอย่างโหดร้ายทารุณงั้นเหรอ?”
เฉินเจียซิ่งยักไหล่ “หล่อนพูดเองกับปาก ทำไมคุณถึงมาโมโหผมแบบนี้? อับอายกลายโทสะหรือ?”
“หล่อนโกหก” หลินจินซานโกรธมากจริง ๆ ครอบครัวคนอื่นล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง มีเพียงพ่อของเขาที่โปรดปรานลูกสาวนัก ด้วยเหตุนี้ ลูกชายอย่างเขาจึงน้อยเนื้อต่ำใจมาตั้งแต่เด็ก
ต่อมาเมื่อหลินเยี่ยนเกิดมาและไม่ได้รับการดูแลเช่นเสิ่นอวี้อิ๋ง เขาจึงตระหนักได้ว่าพ่อของเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย พ่อของเขาเพียงรักเสิ่นอวี้อิ๋งมากกว่าคนอื่นเท่านั้น
ต่อมาเมื่อเขาถามพ่อว่าทำไมถึงรักและเอ็นดูหล่อนมากถึงขนาดนั้น พ่อของเขาบอกว่าร่างกายของเด็กหญิงนั้นอ่อนแอ กว่าจะช่วยชีวิตหล่อนกลับมาไม่ใช่เรื่องง่าย ก็ควรรักและทะนุถนอม
ตอนนี้ยายตัวแสบนั่นกลับมาอยู่ในเมืองแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะมาพูดแบบนี้อย่างไร้สำนึก
คนอกตัญญู
หลินจินซานกล่าวว่า “ผมอายุมากกว่าหล่อนห้าปี พอจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ตั้งแต่หล่อนเกิดมา ตั้งแต่หล่อนลืมตาดูโลก พ่อของผมก็อุ้มหล่อนเอาไว้ราวกับสมบัติล้ำค่า ตอนแรกเกิดหล่อนเหมือนหนูตัวน้อย ๆ หมอต่างบอกว่าคงไม่รอด อีกทั้งแม่ของผมไม่มีน้ำนม พ่อจึงตั้งใจเลี้ยงแพะนมไว้โดยเฉพาะหนึ่งตัวเพื่อเอาน้ำนมแพะมาให้หล่อนดื่ม ซึ่งแพะนมตัวนั้นผมก็ต้องเป็นคนคอยเลี้ยงหาอาหารให้มัน
ต่อมา เนื่องจากร่างกายหล่อนอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด ยิ่งนานวันยิ่งอ่อนแอขึ้นเรื่อย ๆ ร่อแร่จนเกือบจากไปก่อนวัยอันควร พ่อของผมจึงสืบเสาะไปทั่วและพบเข้ากับหมอแผนจีนเย่ อุ้มหล่อนไปให้หมอแผนจีนเย่รักษา ลมฝนใดก็ไม่อาจหยุดยั้ง ยืนหยัดทำอยู่แบบนั้นจนหล่อนอายุได้ห้าหกขวบ อายุยืนยาว หมอแผนจีนเย่ชื่นชมในความอุตสาหะของพ่ออย่างยิ่ง
คนในหมู่บ้านล้วนบอกว่าในชนบทไม่มีพ่อคนไหนที่จะปฏิบัติต่อลูกสาวแบบนี้ได้ ลูกสาวของหลายคนเกิดมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรงแต่กลับถูกพ่อแม่ทอดทิ้งก็มี แม้ว่าครอบครัวของผมจะไม่ได้ร่ำรวย แต่พ่อของผมก็ทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตของหล่อนเอาไว้และพยายามมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับหล่อน คุณบอกผมมาซิว่านี่เรียกว่าปฏิบัติต่อหล่อนอย่างโหดร้ายทารุณงั้นเหรอ?”
หลินจินซานเอ่ยต่ออย่างกราดเกรี้ยว “ยังมีอีกนะ เรามีกันสามคนพี่น้อง แต่มีเพียงหล่อนเท่านั้นที่ได้เรียนหนังสือจนถึงมัธยมปลาย หลังจากที่พ่อของผมเสียชีวิต ทั้งแม่และผมก็ไม่ได้ทอดทิ้งหล่อน ตั้งใจว่าจะส่งหล่อนเรียนไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย มีบ้านไหนที่สลับตัวเด็กมาแล้วได้รับการปฏิบัติเช่นนี้บ้าง?”
เฉินเจียซิ่งยังหวังจะบ่อนทำลาย “นั่นก็เพราะว่าหล่อนเรียนเก่ง”
หลินจินซานสบถออกมา “เก่งกับผีน่ะสิ ถ้าเรียนเก่งจริงจะต้องเรียนซ้ำชั้นเหรอ? เอาเงินที่หามาได้อย่างยากลำบากของพวกเราไปแต่งตัวสวยแอบคบกับเด็กผู้ชายที่โรงเรียน หลอกลวงความรู้สึกของคนอื่น ยังนับว่าผลการเรียนดีอยู่ไหม?”
เฉินเจียซิ่งพลันพูดไม่ออกเมื่อถูกหลินจินซานเอ่ยถาม
เขายอมรับว่าตัวเองมีอคติต่อหลินเซี่ย และเมื่อครู่นี้เขาจงใจที่จะจ้องจับผิด
พูดกันตามตรงคือ หลังจากได้มีปฏิสัมพันธ์กับเสิ่นอวี้อิ๋งอยู่หลายครั้ง เขาก็สัมผัสได้ว่าหญิงสาวไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนที่หล่อนแสดงออกมา
“เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่เธอว่ายังไงนะ?” ผู้เฒ่าเฉินเบิกตากว้าง ก่อนจะมองไปยังหลินจินซานพร้อมเอ่ยถามอย่างร้อนรน
หลินจินซานตื่นตกใจกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของผู้เฒ่าเฉิน
แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาบอกตัวเองว่าจะหวาดกลัวไม่ได้
เขาเป็นพี่ชายคนโตของหลินเซี่ย เป็นเสาหลักเพียงคนเดียวของครอบครัว เขาต้องยืนหยัด
นอกจากนี้ พวกเขาถามใจดูแล้วรู้ว่าไม่มีสิ่งใดให้ละอาย ย่อมไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว
ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย แล้วเปิดปากเอ่ยอย่างหาญกล้า “ผมว่าในบรรดาเราสามคนพี่น้อง มีเพียงหล่อนที่ได้เรียนจนถึงระดับมัธยมปลาย”
“ไม่ใช่ ประโยคก่อนหน้านั้น”
หลินจินซานรู้สึกงุนงง ด้วยไม่รู้ว่าชายชราผู้น่าเกรงขามคนนี้มีหมายความว่าอย่างไร เขาจึงเอ่ยหยั่งเชิงไปว่า “เด็กผู้หญิงที่ไม่ได้มีอาการป่วยล้วนถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ประโยคนี้”
หลินจินซาน “???”
หลิวกุ้ยอิงก็สับสนเช่นกัน
ผู้เฒ่าเฉินมองไปยังหลินจินชานด้วยแววตาเป็นประกาย แล้วเอ่ยถามอย่างเร่งรีบอีกครั้ง “เมื่อครู่เธอบอกว่าหมอคนไหนเป็นคนรักษาอาการป่วยให้น้องสาวของเธอนะ?”
หลินจินซานเอ่ยตอบ “หมอแผนจีนเย่ครับ”
“หมอแผนจีนเย่? ชื่อเต็มของเขาชื่ออะไร?”
ผู้เฒ่าเฉินมองเขาด้วยสีหน้าตื่นเต้นและเอ่ยถามอย่างเต็มไปด้วยความหวัง
โจวลี่หรงและคุณย่าเฉินเองก็มีปฏิกิริยาบางอย่างออกมาเช่นกัน ใบหน้าของพวกหล่อนสดใสขึ้น ก่อนจะจ้องมองไปยังหลินจินซาน
และหลินจินซานก็มองไปยังหลิวกุ้ยอิงอีกครั้ง
“แม่ครับ หมอแผนจีนเย่ชื่ออะไรนะครับ?”
หลิวกุ้ยอิงตอบว่า “ชื่อจริงของเขาคือเย่หงหรู”
“รู้ไหมว่าอักษรสองตัวในชื่อคือตัวไหน?” ผู้เฒ่าเฉินระงับความตื่นเต้นเพื่อสอบถามอีกครั้ง
“รู้ค่ะ ตอนนั้นพวกเราเคยส่งธงเกียรติยศไปให้เขา หงจากคำว่าหงเหยียน (ห่านฟ้า) หรูจากคำว่าหรูหย่า (มีวิชาความรู้บุคลิกสง่างาม)”
“คุณแน่ใจใช่ไหม?” ทันใดนั้นผู้เฒ่าเฉินก็ผุดตัวลุกขึ้น และจ้องมองหลิวกุ้ยอิงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยเข้ามาทันเห็นคุณปู่จ้องหน้าหลิวกุ้ยอิงด้วยสีหน้าตื่นเต้น ส่วนหลิวกุ้ยอิงนั้นดูเหมือนว่าจะตื่นตกใจ
ใบหน้าของหลินจินซานก็ดูไม่ดีนัก
“แม่คะ” หลินเซี่ยเอ่ยเรียก
เมื่อเห็นเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยเข้ามา คุณย่าเฉินก็โบกมือให้พวกเขาด้วยใบหน้าเมตตารักใคร่ “เจียเหอ เซี่ยเซี่ยทำงานเสร็จแล้วหรือ? รีบเข้ามานั่งสิ”
ทันทีที่เห็นหลินเซี่ย หลินจินซานก็ชี้ไปยังเฉินเจียซิ่งแล้วเริ่มเอ่ยฟ้อง “เซี่ยเซี่ย เมื่อกี้คนคนนี้บอกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งแพร่ข่าวลือให้คนในตระกูลเสิ่นฟัง หล่อนบอกว่าเมื่อก่อนครอบครัวของเราปฏิบัติต่อหล่อนอย่างโหดร้ายทารุณ แล้วยังบอกด้วยว่าแม่ของพวกเราตั้งใจสลับตัวเด็กในตอนนั้น”
“เซี่ยเซี่ย เธออย่าไปเชื่อถ้อยคำพวกนี้นะ ฉันได้อธิบายให้พวกเขาฟังแล้วว่าแม่และพ่อปฏิบัติต่อเสิ่นอวี้อิ๋งเป็นอย่างดี ทุกคนในหมู่บ้านสามารถเป็นพยานในเรื่องนี้ได้ รวมถึงหมอแผนจีนเย่ด้วยเช่นกัน แม้ว่าพ่อแม่ของเราจะเป็นคนชนบท แต่พวกท่านเป็นคนจิตใจดียิ่ง ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาสาดโคลนใส่พวกเขาเด็ดขาด”
หลินเซี่ยมองไปยังเฉินเจียซิ่งอย่างเย็นชา
เฉินเจียซิ่งกระแอมไอเบา ๆ พลางเหลือบมองปู่ของเขาแล้วพึมพำ “เรื่องนี้ผมไม่ได้เป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาเสียหน่อย”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พยานบุคคลสำคัญมาแล้ว หนังคนละม้วนเลยไหมล่ะเจียซิ่ง
ไหหม่า(海馬)