บทที่ 118 พูดกับลูกไปตรง ๆ ก็จบแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

หนังสือในห้องหนังสือตระกูลเหยาเหล่านั้น อาจื้อล้วนอ่านหมดแล้ว ความคิดมากมายของเขา ได้ผุดขึ้นมาอย่างช้า ๆ ในระหว่างที่อ่านหนังสือ

เหยาซูเคารพการตัดสินใจของเด็ก ๆ การที่อาจื้อมีความคิดเป็นของตัวเองย่อมเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว

นางคีบผักให้เด็กทั้งสองคน บอกให้พวกเขากินไปพลางพูดไปพลาง “พ่อของเจ้าไว้วานให้คนติดต่อสถานศึกษาในเมืองแล้ว วันหน้าแม่จะพาพวกเจ้าไปดู การได้อ่านหนังสือ ศึกษาเรียนรู้กับพวกเด็ก ๆ ในเมือง คบหาสมาคมกับสหาย คงจะเป็นเรื่องที่มีความสุขมากทีเดียว”

อาจื้อและอาซือต่างก็ไม่คัดค้านเรื่องเรียนหนังสือ ตรงกันข้ามกลับพึงพอใจเสียด้วยซ้ำ เมื่อได้ยินดังนั้นก็พากันพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

เมื่อกินมื้อเที่ยงเสร็จ เหยาซูก็พาซานเป่าออกไปเล่นข้างนอก อาจื้อและอาซือจึงขอติดตามไปด้วย

แม่และลูกทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังร้านขายผ้า เดินเตร่อยู่ในเมืองหนึ่งรอบ กระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดลงจึงซื้อซาลาเปาเนื้อร้อน ๆ กลับบ้านไป

เมื่อมาถึงหน้าบ้านก็บังเอิญเจอกับหลินเหราที่ขี่ม้ากลับมาจากหน่วยลาดตระเวนพอดี เด็กทั้งสองคนจึงพากันวิ่งเข้าไปกล่าวทักทายเขา “ท่านพ่อ ท่านพ่อ! ท่านกลับมาแล้ว”

หลินเหรากระตุกบังเหียนเล็กน้อย ม้ารูปร่างสูงใหญ่สีน้ำตาลแดงหยุดฝีเท้าลงอย่างเชื่อฟัง กีบเท้ายกขึ้นและวางลงอีกครั้ง ก่อนจะพ่นลมหายใจฟืดฟาดออกมา

ชายหนุ่มร่างใหญ่ลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ฉวยมืออุ้มอาซือและอาจื้อขึ้นมาบนแขนทั้งซ้ายและขวา

เขาก้าวเข้ามาใกล้เหยาซูและขานเรียกนางด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อาซู ข้ากลับมาแล้ว”

แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องทั่วทุกสารทิศ ดวงตะวันค่อย ๆ ลาลับเส้นขอบฟ้าที่ไม่อาจมองเห็น แสงสายัณห์สีแดงฉานย้อมทั่วผืนนภา

ในช่วงเวลาอาทิตย์อัสดง หลินเหราที่ยืนหันหน้าเข้าหาแสง ดวงตาเรียวดุจตาหงส์จับจ้องลงมาบนดวงหน้าอันงดงามของเหยาซู นัยน์ตาที่จ้องมองนั้นเปล่งประกายดุจดวงดวงที่พร่างพราวบนท้องฟ้า ทำให้รู้สึกมีเสน่ห์จนไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้

หัวใจของเหยาซูถูกสายลมอบอุ่นยามราตรีพัดผ่านร่างกายเบา ๆ พาให้รู้สึกคันยิบและชาวาบไปทั่วทั้งหัวใจ

หญิงสาวแย้มยิ้มและตอบรับ “อื้อ เรากลับบ้านกันเถอะ”

วันนี้ภรรยาของเขาแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีอ่อน รูปโฉมดูอ่อนโยนและอบอุ่น กำลังอุ้มซานเป่าที่ทำปากจ๊วบจ๊าบอยู่ในอ้อมแขน มืออีกข้างถือซาลาเปาที่กำลังร้อนกรุ่น

เป็นภาพที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่มีชีวิตชีวา ทำให้หลินเหราหลงใหลเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะหนึ่ง

หลินเหราและเหยาซูช่วยกันอุ้มลูก ๆ เดินเข้ามาในลานบ้านขนาดเล็ก เสียงหัวเราะและบทสนทนาถูกสายลมจากแดนไกลพัดผ่าน ส่งตรงมาถึงกิ่งหลิวที่โบกสะบัดพลิ้วไหวไปมาตามแรงลมอยู่หน้าลานบ้านในยามราตรี

…..

อาหารค่ำของครอบครัวไม่ได้มีสิ่งใดซับซ้อนนัก ก่อนออกจากบ้านเหยาซูได้ต้มโจ๊กข้าวฟ่างเอาไว้ตั้งแต่เช้า

เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ โจ๊กที่ถูกเคี่ยวจนได้ที่ก็ส่งกลิ่นหอมกรุ่น พุทราแดงไม่กี่ลูกที่อยู่ในนั้นได้ส่งกลิ่นหอมหวานปะปนกันจนกลายเป็นกลิ่นหอมรัญจวนใจลอยขึ้นมาแตะจมูก

เด็กทั้งสองคนเล่นกันจนเหน็ดเหนื่อย ทำให้รู้สึกว่าโจ๊กข้าวฟ่างหอมกรุ่นเข้ากันดีกับซาลาเปาเนื้อ แม้แต่ซานเป่าเองก็ยังกินโจ๊กหมดไปครึ่งชาม

ทุกคนได้กินซาลาเปาจนหมดหนึ่งเข่ง ส่วนหลินเหรากินซาลาเปาสองสามลูกสุดท้ายจนหมดเกลี้ยง เหยาซูเห็นเขากินเสร็จแล้ว แต่ก็ยังกลัวว่าเขาจะไม่อิ่ม “เป็นอย่างไรบ้าง? กินอิ่มหรือไม่? ให้ข้าไปต้มหมี่ให้ท่านสักชามดีหรือไม่?”

หลินเหราส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ดึกแล้วไม่ควรกินเยอะ วันนี้เจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน อย่าลำบากเลย”

เหยาซูถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ซาลาเปาหนึ่งเข่งนี้ เพียงพอสำหรับแม่ลูกอย่างพวกเขาในหนึ่งวัน คาดไม่ถึงว่าเมื่อมีหลินเหราเพิ่มมาอีกคน ก็เลยรู้สึกกินไม่พอ

นางประเมินปริมาณความอยากอาหารของอีกฝ่ายต่ำเกินไป

เหยาซูให้อาจื้อและอาซือดูแลน้องชาย ส่วนตัวเองและหลินเหรายกชามและตะเกียบเข้าไปในครัว

หญิงสาวจุดตะเกียงน้ำมัน เมื่อหันกลับไปพบว่าฝ่ายชายเริ่มล้างจานแล้ว จึงอดตะลึงไม่ได้ “ดึกดื่นมืดค่ำ ไม่จุดไฟแล้วท่านมองเห็นอย่างนั้นหรือ?”

หลินเหรากลับพยักหน้า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่โน้มตัวลงมายืนอยู่หน้าเตา ใบหน้าที่ล้ำลึกนั้นดูอบอุ่นอย่างประหลาดภายใต้แสงไฟสีส้มอันเรืองรอง

“ในค่ายฝึกไม่สามารถจุดไฟในเวลากลางคืนได้ กองกำลังจึงต้องอาศัยแสงจันทร์ที่สาดส่องทะลุผ่านภูเขาที่ตัดสลับซับซ้อนเหล่านั้น ทุกขั้นตอนห้ามส่งเสียงดังเลยแม้แต่น้อย….”

เขาไม่ค่อยเล่าชีวิตในชายแดนเท่าไรนัก ทุกครั้งที่เอ่ยก็มากพอจะดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเหยาซูได้

นางอาศัยแสงตะเกียงที่เงียบสงบ ลอบมองใบหน้าด้านข้างที่เห็นโครงหน้าชัดเจนของหลินเหรา ก่อนจะถามเขาว่า “เวลากลางคืนพวกท่านยังต้องฝึกอีกหรือ?”

มือของบุรุษตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า “อื้อ การเดินทางในตอนกลางคืนเป็นหนึ่งในความสามารถขั้นพื้นฐานที่ทหารจำเป็นต้องใช้ มาตรฐานการฝึกฝนของทหาร คือต้องเดินทางในเวลากลางคืนให้ถึงเจ็ดสิบลี้[1]”

น้ำเสียงของเขาไม่ได้สั่นเครือมากนัก ทว่าเหยาซูกลับสัมผัสได้ถึงความลำบากยากเข็ญในคำพูดเหล่านั้นได้

เส้นทางเจ็ดสิบลี้ เท่ากับสามสิบห้ากิโลเมตร ….. ทหารไม่เหมือนคนทั่วไป พวกเขาต้องก้าวอย่างว่องไวในเวลากลางคืน เพื่อรักษารูปแบบแถว จำเป็นต้องส่งคนไปจัดการเส้นทางตามป่าเขา ซึ่งมันไม่ง่ายเลย

นอกจากต้องฝึกฝนซ้ำไปซ้ำมาแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีทางอื่นให้เลือก

น้ำเสียงของเหยาซูอ่อนโยนลง ก่อนจะถามเขาเบา ๆ ว่า “การฝึกเดินทัพลำบากมากหรือไม่?”

ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ลำบาก”

เหยาซูกลับไม่เชื่อ “เดินทางทั้งคืนไม่กินไม่ดื่ม แม้แต่การเคลื่อนไหวก็ยังส่งเสียงดังไม่ได้ ไม่ลำบากงั้นหรือ? พวกท่านกลัวว่าในค่ายทหารจะมีคนที่ยืนหยัดได้เช่นนี้ไม่มากนักใช่หรือไม่?”

มือที่กำลังล้างชามของหลินเหราหยุดชะงักลง จากนั้นก็พูดด้วยความลังเลว่า “ในตอนที่เริ่มฝึกนั้น มีคนบ่นอุบอิบเป็นจำนวนมาก และมีทหารไม่น้อยที่ล้มเลิกกลางคัน….”

บางทีอาจเป็นเพราะคุณสมบัติของร่างกาย ไม่ก็ความสามารถในการอดทน ในระหว่างการฝึกฝนหลินเหราไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ล้มเลิกกลางคัน มีหลายครั้งที่การแสดงออกของเขาดีกว่าทหารที่ฝึกฝนมานานหลายปี

นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้บัญชาการให้ความสนใจเขา

เหยาซูทอดถอนใจ “ข้าเข้าใจหัวอกดี เหล่าทหารก็เป็นมนุษย์ พวกเขาล้วนเหนื่อยเป็น ย่อมต้องการพักผ่อนบ้าง”

หลินเหราขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับความคิดของเหยาซูทั้งหมด เขาจึงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เป้าหมายในการฝึกฝนไม่ใช่การทรมาน แต่เพื่อให้มีชีวิตรอดในสมรภูมิรบ หากอยากพักผ่อนเพราะเหนื่อย เพราะหิวแล้วต้องกิน มันจะเป็นการฝึกฝนได้อย่างไรเล่า? เมื่อถึงคราวลงสนามจริง พวกต่างแดนไม่ให้เวลาเราได้หยุดพักหรอก”

ภาพที่เหยาซูจินตนาการได้ เทียบไม่ได้กับหนึ่งในล้านที่ต้องทุกข์ทรมานอยู่ในสนามรบจริง มีแค่ผู้ตะเกียกตะกายคลานออกมาจากวงล้อมของดาบและเลือดสีแดงสด ถึงจะสามารถตระหนักได้ถึงความไร้ปรานีของสงครามอย่างลึกซึ้ง

แต่ไหนแต่ไรมาผู้บัญชาการไม่เคยกึ่งเล่นกึ่งจริงเวลาฝึก

สำหรับทหารที่ไม่ได้มาตรฐาน เขาย่อมฝึกฝนอย่างหนัก ถึงขนาดขับไล่ออกจากกองทัพ เพื่อหวังว่าคนของตัวเองจะมีชีวิตรอดอยู่ในสงครามได้

ส่วนขอบเขตที่ตัวเองไม่คุ้นเคย เหยาซูไม่สามารถคาดเดาสะเปะสะปะได้

นางพยักหน้า แสดงให้เห็นว่าเข้าใจ “ท่านพูดมีเหตุผล อาเหรา ท่านต้องลำบากแล้ว”

ความอ่อนโยนของเหยาซูผสมผสานอยู่ในความละเอียดอ่อน เหมือนกับน้ำพุที่ไหลรินไร้ซึ่งคลื่นที่รุนแรง แต่กลับมากพอที่ชโลมหัวใจคน

สายตาของหลินเหราพลันอ่อนโยนลงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“การปกป้องบ้านเมือง เป็นสิ่งที่ทหารทุกคนต้องทำ….”

เขามองไปทางเหยาซู นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววมุ่งมั่น

เหยาซูขยับเท้าเข้าไปใกล้หนึ่งก้าว และพูดเสียงเบาว่า “ใช่ พวกท่านมีหน้าที่ของตัวเอง แต่ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องปกป้องตัวเองด้วย … มิเช่นนั้น จะมีคนเป็นห่วง”

หลินเหราได้แสดงความรู้สึกบ่งบอกถึงความเข้าใจออกมาทางสีหน้า แม้แต่เหยาซูเองก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เปลี่ยนไปกะทันหันของเขาได้อย่างง่ายดาย “อาซู ที่เจ้าพูด เจ้าเป็นห่วงข้าใช่หรือไม่?”

เหยาซูไม่ได้หลบสายตาที่เปล่งประกายแวววาวของอีกฝ่าย หากแต่ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนและยืนหยัดพูดกับเขาว่า “ท่านปกป้องบ้านเมืองอยู่แนวหน้า ได้รับบาดเจ็บ หนาวจนเลือดแข็งตัว เสียสละชีวิตปกป้อง ก็เพื่อข้าและเด็ก ๆ ไม่ใช่หรือ? ไฉนเลยเราจะวางใจท่านได้?”

หากรอยแผลบริเวณขมับของเขายาวเพิ่มอีก 2 ชุ่น[2] นั่นสามารถทำให้เขาสูญเสียตาข้างซ้ายได้เลยทีเดียว…

นี่คือเหรียญอันทรงเกียรติของทหาร แต่กลับเป็นเครื่องพิสูจน์อันตรายของดาบและกระบี่ของจริง

บางทีอาจเป็นเพราะในอดีตเหยาซูไม่ได้รู้สึกอะไรเกี่ยวกับการลงสนามรบของหลินเหรา

แต่บัดนี้เขายืนอยู่ตรงหน้านางตัวเป็น ๆ อ่อนโยนและแข็งแกร่ง มีเลือดมีเนื้อ เป็นคนที่มีความรู้สึก

เมื่อนึกถึงความโหดร้ายและอันตรายที่เขาเคยประสบพบเจอมาก่อน เหยาซูไม่อาจหักห้ามความเจ็บปวดของตนเองได้

“เรื่องปราบโจร ท่านต้องเป็นผู้นำทหารไปทำลายรังของมันใช่หรือไม่?” หญิงสาวถามขึ้นด้วยความกังวล

หลินเหราพยักหน้าและปลอบใจเหยาซู “ต่อให้โจรภูเขาชั่วช้าสามานย์เพียงใด ก็กวาดล้างได้ง่ายกว่าพวกต่างแดน ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ข้าก็อยู่ในหน่วยงานลาดตระเวน พี่รองแสดงความคิดเห็นไปไม่น้อย เรื่องการปราบโจรไม่ได้โหดร้ายมากถึงเพียงนั้น”

ถึงจะพูดแบบนี้ก็เถอะ แต่ในสนามรบไฉนเลยจะแม่นยำอย่างที่พูด?

เรื่องไม่คาดฝันอาจจะเกิดขึ้นกับใครโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ในช่วงเวลาที่ชีวิตตกอยู่ในเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ย่อมอ่อนแอยากที่จะต้านทานได้

หญิงสาวเงยหน้ามองหลินเหรา รูปคิ้วอันงดงามได้ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยและพูดว่า “มีดดาบไร้ดวงตา[3] ท่านต้องระวังตัวให้ดี”

“อื้อ” ชายหนุ่มพูดเสียงต่ำว่า “อาซู ข้ารับปากเจ้า”

แสงตะเกียงสลัวในความมืด แต่หลินเหรากลับเห็นความรู้สึกเพียงเสี้ยวหนึ่งบนใบหน้าของเหยาซู

ความกังวลของนาง ความเจ็บปวดของนาง ล้วนกลายเป็นหนามที่เล็กละเอียด แม้จะเบาบางแต่กลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงลงมาบนหัวใจของเขา

แม้ว่าหลินเหราจะดีใจที่เหยาซูเป็นห่วงเขา ทว่าในชั่วพริบตาเดียวที่ความรู้สึกเห็นแก่ตัวได้ก่อเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลับถูกความรู้สึกที่ไม่อยากให้นางเป็นห่วงเข้าครอบงำ

เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาฉับพลัน “วันนี้ไปทำอะไรกันมาบ้าง? มีเรื่องราวใหม่ ๆ หรือไม่?”

การไปมาหาสู่ในช่วงสองสามวันนี้ ทั้งสองคนได้ฝึกฝนการเข้าใจซึ่งกันและกันไม่น้อย เหยาซูคล้อยตามเจตนารมณ์เขา จึงปล่อยวางเรื่องนี้ลง

เหยาซูยิ้มและพูดว่า “เมื่อเช้าอวี๋จือมาที่บ้าน เห็นท่านไม่อยู่แต่ก็ระมัดระวังตัวอย่างดี แทบไม่อยากเข้ามาในตัวบ้านด้วยซ้ำ”

หลินเหราวางชามที่ล้างจนสะอาดแล้วลงบนชั้นวางบนเตา จากนั้นก็เช็ดมือ เมื่อได้ยินดังนั้นก็พลันเงยหน้า “อวี๋จือ? สองสามวันนี้เคยชินกับความเป็นอยู่บ้างแล้วหรือยัง?”

ในหน่วยลาดตระเวนนั้นยุ่งทั้งวัน หากเหยาซูไม่พูดเขาก็คงลืมเรื่องของบัณฑิตหนุ่มคนนี้ไปแล้ว

เหยาซูพยักหน้า “อวี๋จือได้รับการดูแลเอาอกเอาใจมาจนเติบใหญ่ นอกจากการอ่านหนังสือแล้วก็ไม่รู้สิ่งใด แต่บนตัวเขากลับมีความดื้อรั้น ปรับตัวได้ไม่เลวเลย วันนี้ยังอยู่เล่นกับต้าเป่าและเอ้อเป่าสักพักด้วยนะ”

หลินเหรากลับแปลกใจ “หื้อ?”

เหยาซูยื่นผ้าแห้งให้เขาเช็ดมือพลางพูดว่า “อยู่เล่นพันเชือกเป็นเพื่อนเอ้อเปาครึ่งวัน ดูท่าจะมีความอดทนสูงมาก ต่อมาก็มาพูดคุยกับต้าเป่า วัดระดับความรู้ของเด็ก ๆ ทั้งยังถามต้าเป่าอีกว่าอยากไปเรียนสำนักศึกษาในเมืองซูโจวหรือไม่…”

เมื่อฝ่ายชายได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไปเมืองซูโจว? อาจื้อยังเด็ก หากอยากออกไปแสวงหาความรู้ รออีกสักสองสามปีค่อยไปก็ได้”

เมื่อเหยาซูเห็นสองพ่อลูกคู่นี้คิดเห็นในทางเดียวกัน มุมปากจึงกระตุกขึ้น “สองพ่อลูกเชื่อมใจถึงกันจริงเชียว แม้แต่คำพูดก็ยังเหมือนกัน อาจื้อเองก็คิดเช่นนี้”

บางทียามราตรีอาจจะเงียบสงัดเกินไป แม้แต่คนที่ระมัดระวังตัวที่สุดก็ยังวางการป้องกันและเปิดใจโดยไม่รู้ตัว

หลังจากที่ยุ่งมาทั้งวัน เมื่อถูกรอยยิ้มที่ดูสบายใจดึงดูดความสนใจ หลินเหราได้ขยับเข้ามาใกล้แม้แต่น้ำเสียงก็อ่อนโยนลง

“แล้วเจ้าเล่า? เจ้าตัดใจให้เขาไปยังสถานที่ที่ไกลถึงเพียงนั้นได้หรือ?”

เหยาซูย่อมตัดใจไม่ได้อย่างแน่นอน

หญิงสาวเมินหน้าไปทางอื่น “ลูกมีความคิดเป็นของตัวเอง ในฐานะของคนเป็นแม่ ข้าสนับสนุนการตัดสินใจของเขา”

เมื่อหลินเหราเห็นดังนั้นก็ได้แค่ปลอบใจ “ยังมีเวลาอีกสองสามปี ถึงตอนนั้นค่อยพูดก็ยังไม่สาย ยิ่งไปกว่านั้นเมืองต้าเยี่ยนเองก็ก่อตั้งสำนักศึกษาขึ้นเช่นกัน ไม่ใช่มีแค่ซูโจวเสียเมื่อไร”

เหยาซูตอบรับเบา ๆ “ข้าหวังว่าต้าเป่าจะไปสำนักศึกษาที่ใกล้กว่านี้…”

ท้ายที่สุดก็ยังพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา หลินเหราเข้าใจความกังวลของเหยาซูดี

เขาขบขันอยู่ในใจ และถามนางว่า “พูดกับลูกไปตรง ๆ ก็จบแล้วไม่ใช่หรือไร?”

“อย่าพูดนะ” เหยาซูมองไปทางเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “หากเขาอยากไปสำนักศึกษาจิ้งหยางจริง ๆ เหตุใดจะต้องเพิ่มภาระด้วยเล่า?”

ชายหนุ่มก้มหน้าลง จัดผมเผ้าให้ภรรยาก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “แล้วแต่เจ้า”

ทั้งสองคนเก็บกวาดในครัวเสร็จแล้ว เหยาซูก็หยิบตะเกียงน้ำมัน จากนั้นก็เดินออกไปก่อน

หลินเหราตามออกไปติด ๆ กระทั่งมายืนบนทิศทางของสายลม ชายหนุ่มจึงใช้ร่างกายขวางสายลมที่หนาวเย็นในยามราตรีให้กับนาง

[1] 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร

[2] 1 ชุ่น เท่ากับ 1 นิ้ว

[3] มีดดาบไร้ดวงตา – การต่อสู้อย่างชุลมุนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทำให้มีโอกาสพลาดพลั้งบาดเจ็บได้

สารจากผู้แปล

อาเหราผ่านอะไรมาเยอะจริง ๆ ค่ะ สงครามไม่ปรานีใครเลย

ไหหม่า(海馬)