บทที่ 119 เหยาเฉารู้ได้อย่างไร

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

เรื่องที่อาจื้อต้องการออกไปแสวงหาความรู้จำใจต้องหยุดลงชั่วคราว

เหยาซูเจียดเวลาออกไปหาอวี๋จือ เพื่อบอกความคิดของลูกชายกับเขา

อวี๋จือกลับไม่แสดงความคิดเห็นอะไร ตรงกันข้ามยังพยักหน้าอย่างชื่นชม “อาจื้ออายุยังน้อยนัก แต่สมองกลับเฉลียวฉลาด ทั้งยังมีความคิดเป็นของตัวเอง ในเมื่อตอนนี้ไปสำนักศึกษาไม่ได้ ข้าจะส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้ท่านปู่ เชื่อว่าเขาจะต้องชื่นชมสายตาอันยอดเยี่ยมของข้า เตรียมรับลูกศิษย์เพิ่มหนึ่งคนเพราะเขาเป็นแน่!”

หลังจากเหยาซูกล่าวลา อวี๋จือก็ก้มหน้าลงหยิบพู่กัน เขียนจดหมายอันยาวเหยียดถึงครอบครัวฉบับหนึ่ง

ในจดหมายกลับไม่ได้เขียนเรื่องของอาจื้อเพียงอย่างเดียว ทว่าบรรยายถึงเรื่องที่ประสบพบเจอตลอดหนึ่งเดือน รวมทั้งเงินเดิมพันที่เหล่าพี่น้องเสนอให้ ขบวนรถที่เจอตอนเดินออกมาจากบ้าน ค่าเดินทางที่ถูกขโมยไป… แล้วก็สถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเนื่องจากถูกขังอยู่ในเมืองชิงถงเฉกเช่นตอนนี้ สุดท้ายก็ความช่วยเหลืออย่างใจกว้างของเหยาซู

หลังจากที่ตระกูลอวี๋ได้รับจดหมายฉบับนี้ ทุกคนจะรู้สึกอย่างไรนั้น มันไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่อวี๋จือจะเก็บมาคิดพิจารณา

หลังจากเขียนจดหมายเสร็จ เขาก็ไหว้วานให้คนออกไปส่ง จากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้ามาอ่านหนังสือในห้องหนังสือ

อวี๋จือกำลังเตรียมตัวเพื่อสอบเข้าขุนนาง

ในช่วงสองสามวันนี้หลินเหรามักจะอยู่ในจวนตรวจการ ปรึกษาหารือถึงวิธีการปราบโจรเหล่านั้นกับทุกคนในจวน

เลี้ยงเสือให้กลับมาแว้งกัดแท้ ๆ

โจรภูเขาไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก ทั้งยังเติบโตแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ทุกคนจึงเหลือเวลาไม่มากนัก

วันนี้ถึงวันที่ต้องตัดสินใจ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ติดตามผู้ตรวจการลาดตระเวนได้เรียกรวมตัวผู้ใต้บัญชา มารวมตัวกันในห้องโถงด้านหน้า

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ติดตามผู้ตรวจการลาดตระเวนมีอายุมากแล้ว ทว่ากลับยังมีกำลังวังชา การพูดการจาก็ยังฉะฉานชัดเจน เมื่อได้ยินพวกเขาต่างแสดงความคิดเห็นและวิธีการของตนเอง สุดท้ายจึงพูดขึ้นว่า “ดูจากในตอนนี้แล้ว วิธีการของอาเหรามีความเป็นไปได้ที่สุด ภูเขาเฮยหู่และภูเขาไป๋หู่เลื่องลือในเรื่องของการเฝ้าระวังที่หละหลวม ทว่ายากต่อการโจมตี ตอนนี้พวกโจรคงมีการเตรียมตัวดีพร้อมแล้ว พวกเราทำได้แค่ชิงไหวพริบ ส่งกองกำลังแรกเข้าไปแทรกซึมในภูเขา การแทรกซึมเข้าไปในค่ายศัตรูเงียบ ๆ ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีมาก ดูลาดเลาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เจิ้งอันและผู้อื่นต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย ทว่ากลับมีแค่ชายวัยกลางคนประมาณสี่สิบปี แต่งกายด้วยชุดสีม่วงคนหนึ่งขมวดคิ้วก่อนพูดขึ้นว่า “ใต้เท้า สองสามวันที่ผ่านมาเราได้ปรึกษากันแล้ว วิธีการที่เสนอออกมาไม่มีความแตกต่างแต่อย่างใด การแอบเข้าไปในค่ายโจรเงียบ ๆ ก็เคยพูดถึงไปก่อนหน้านั้นแล้ว เพียงแต่หาวิธีการไม่ได้ มาพูดตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรเล่า?”

ชายวัยกลางคนชุดม่วงนั้นมีแซ่หลี่ นามว่าหยาง ตระกูลของเขาคือครอบครัวผู้ทรงอิทธิพลในเมืองชิงถง และมักจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในจวนตรวจการ ปกติแล้วจะค่อนข้างสนิทสนมกับคนที่มีความเกี่ยวข้องในจวน แต่กลับดูหมิ่นทหารที่ไม่มีภูมิหลังอย่างเจิ้งอันและหลินเหรา

เมื่อเจิ้งอันเห็นเขาพูดจาเช่นนี้ จึงยกเท้าก้าวเดินไปด้านข้างเงียบ ๆ อยากจะพูดแทนหลินเหรา แต่กลับถูกสายตาของเหยาเฉาห้ามปรามไว้

ขุนนางติดตามประจำจวนตรวจการไม่ปริปากแต่อย่างใด นอกจากถามว่า “อ้อ? ผู้บัญชาการหลี่คิดเห็นอย่างไรเล่า?”

อายุของหลี่หยางไม่น้อยแล้ว ทว่าตำแหน่งผู้บัญชาการของเขากลับอยู่ในระดับเดียวกับหลินเหราที่ยังอ่อนเยาว์

ขุนนางผู้ติดตามเรียกเขาเช่นนี้ คงไม่ได้จะยั่วยุเขาหรอกกระมัง

เมื่อหลี่หยางได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกโกรธเคืองอยู่ในใจ ใบหน้าเผยความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย

เขาส่งเสียง ‘หึ’ ออกมา แล้วใช้หางตาชำเลืองไปมองหลินเหราแวบหนึ่ง ส่วนปากก็พูดว่า “ไฉนเลยข้าจะกล้าแสดงความคิดเห็น! หากอยากให้แสดงความคิดเห็นของตัวเอง ควรต้องเป็นผู้บัญชาการหลิน ถึงอย่างไรผู้บัญชาการหลินก็เคยผ่านศึกสงคราม ในจำนวนศพที่นับไม่ถ้วน อย่างน้อยคมมีดในมือก็สังหารคนต่างแดนมาแล้ว ไม่เช่นนั้นไฉนเลยจะเติบโตได้เร็วถึงเพียงนี้!”

เจิ้งอันทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงพูดออกมาด้วยเหตุผล “พี่หลี่โปรดระวังคำพูดของท่านด้วย พี่หลินเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงแม้จะลงสนามรบมาไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้อาศัยการฆ่าคนในการเลื่อนตำแหน่ง!”

ทุกคนต่างรู้ดีว่าหลินเหรามีสติปัญญาและความกล้าหาญ นำพาทหารนับสองร้อยนายบุกลึกเข้าไปถึงในเมืองซีเป่ย ครั้งแรกคือแกล้งพ่ายแพ้ จากนั้นก็ค่อยแอบซุ่มอยู่แนวหลังของศัตรูอยู่นาน แค่รอให้แม่ทัพนำพาทหารต่างแดนส่วนใหญ่ออกไป ค่อยกรูเข้าไปในซ่องโจรของซยงหนูโดยตรง นั่นถึงจะรักษาชัยชนะยิ่งใหญ่ภายใต้สถานการณ์อันแข็งแกร่งของพวกเขา

คุณงามความดีของเขามากกว่าเพียงแค่การเข่นฆ่าศัตรูในสนามรบ

ในทางกลับกันคนอย่างหลี่หยาง ก็เป็นได้เพียงแมลงเม่าในหน่วยงานลาดตระเวนเท่านั้น หลังจากที่เอ้อระเหยลอยชายมาทั้งชีวิต ก็เพิ่งได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการ ทั้งวันเอาแต่ข่มเหงผู้น้อย ปัญหาต่าง ๆ กลับไม่เคยเห็นเขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแก้ไขสักครั้ง

คนที่ทำงานโดยแท้จริงในจวนตรวจการล้วนขัดหูขัดตากับการกระทำของเขา

หลี่หยางได้ยินก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา และถามกลับว่า “หากไม่อาศัยผลงานฆ่าคน แล้วจะให้อาศัยอะไรเล่า?”

เจิ้งอันทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงพูดโพล่งออกไปว่า “พี่หลี่หยางวางแผนรบบนกระดาษเก่งยิ่ง เสนอความคิดอยากปราบโจรยุ่งเหยิงซับซ้อน แต่กลับไม่เคยจับดาบกระบี่ขึ้นหลังม้า! คาดว่าพี่หลี่คงไม่เคยเห็นเลือดเลยกระมัง?”

หลี่หยางโกรธจนหน้าแดงก่ำ พลันชี้หน้าด่าเจิ้งอัน “คนหยาบช้าเช่นพวกเจ้า ไฉนเลยจะเข้าใจแผนการ! ข้าไม่เคยเห็นเลือดแล้วอย่างไรเล่า? เจ้าเคยเห็นทหารของใครถือดาบขึ้นหลังม้าบ้างหรือไม่?”

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้ติดตามจวนตรวจการต่างพากันขมวดคิ้ว แสดงสีหน้าไม่พอใจ

หลินเหรายืนเด่นสง่าท่ามกลางการถกเถียง ราวกับกำลังเยาะเย้ยหลี่หยาง ผดุงความยุติธรรมให้กับเจิ้งอัน แต่คนพูดก็ล้วนไม่ใช่เขา

เหยาเฉานิ่งฟังอยู่ด้านข้างอยู่นาน กระทั่งเห็นเจิ้งอันโกรธจนหน้าแดงก่ำ นิ้วชี้ของเขางอเล็กน้อยจนเผยให้เห็นข้อต่อกระดูกอย่างชัดเจน เคาะพัดที่ยังไม่ได้กางออกในมือ พลางกล่าวกับเจิ้งอันโดยไม่เป็นเดือดเป็นร้อนว่า “น้องเจิ้ง ผู้บัญชาการหลี่ก็เป็นอาวุโสในจวนตรวจการเช่นกัน เหตุใดถึงพูดจาเช่นนี้?”

หลี่หยางขมวดคิ้วฉับพลัน

เขาไม่ชอบเหยาเฉาตั้งแต่ไหนแต่ไร หรือว่าที่คนผู้นี้มีความหวังดีเช่นนี้เพราะคำพูดของเขา?

ไม่นานก็เห็นฝ่ายตรงข้ามเลิกคิ้วสูงอย่างที่คิดไว้ สีหน้าที่แสดงออกบนใบหน้างดงามนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ฉะฉานว่า “ผู้บัญชาการหลี่อยู่ในจวนตรวจการมาหลายปีแล้ว ฝีมือและประสบการณ์อันโชกโชนมีพร้อมสมบูรณ์ เมื่อครั้งภัยแล้งในเมืองซีเป่ยปีก่อน ผลผลิตเก็บเกี่ยวไม่ค่อยดีนัก ผู้อพยพที่ได้รับการอนุเคราะห์ช่วยเหลือในเมืองชิงถงกลับมีผู้ยักยอกเงินเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ไม่ใช่เพราะผู้บัญชาการหลี่นั้นพลิกสถานการณ์ได้ทันเวลา ไม่ให้เรื่องราวมันร้ายแรงลงกว่าเดิมหรอกหรือ?”

เหยาเฉาไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ดี แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องผู้อพยพที่ได้รับการช่วยเหลือ สีหน้าของหลี่หยางก็เปลี่ยนไป

การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติเป็นเรื่องที่สร้างความฮือฮาอย่างมาก แม้แต่อดีตใต้เท้าในหน่วยงานลานตระเวนก็ยังถูกกระชากลงมาจากหลังม้า หากไม่ใช่เพราะหลี่หยางนั้นขี้ขลาด ไม่กล้าละโมบยักยอกเงินของผู้ประสบเคราะห์ภัย เกรงว่าตอนนี้ก็คงจะติดคุกหัวโตไปทั้งตระกูลแล้ว

สีหน้าเขาเคร่งขรึมลง พลางพูดด้วยความโมโหว่า “เหยาเฉา เรื่องในอดีตเป็นความผิดของใต้เท้าหน่วยงานลานตระเวนที่ละโมบโลภมากจนถึงขั้นบิดเบือนกฎระเบียบเพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่เกี่ยวกับข้า! เจ้าอย่ารังแกผู้อื่นเกินไป!”

เหยาเฉาแสดงสีหน้าไร้เดียงสา “การรับมือกับภัยแล้งของซีเป่ย ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือธัญพืช เมืองชิงถงของเราล้วนออกแรงอย่างเต็มที่ ข้าอยากบอกว่าความเป็นห่วงเป็นใยประชาชน ผดุงความยุติธรรมของท่าน ล้วนคุ้มค่าที่เราจะเลียนแบบ ผู้บัญชาการหลี่มีความคิดเห็นอย่างไรขอรับ?”

ทั่วทั้งบางต่างรู้ว่าหลี่หยางส่งน้องสาวแท้ ๆ ของตนไปใกล้ชิดอดีตใต้เท้าจวนตรวจการ หลังจากที่สายตรวจการตกจากหลังม้า หลี่หยางก็รีบบังคับให้น้องสาวหย่าร้างกับสามี

น้อยนักที่จะมีคนรู้ว่าเขาแอบส่งจดหมายลับ ๆ ให้ขุนนางในราชสำนักเพื่อส่งคนมาตรวจสอบเรื่องการยักยอกเงินของผู้ประสบภัยในทันที เปิดเผยการกระทำของใต้เท้าจวนตรวจการกวาดล้างตระกูลหลี่จนสะอาด

ตระกูลหลี่กลับสงบสุขไม่ประสบกับปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น หลี่หยางเองก็ได้เลื่อนขั้น

แต่ได้ยินว่าหญิงสาวตัดผมของตนเองหลังจากสามีตายไป ไม่นานตนก็ผูกคอตายตาม

เรื่องยักยอกเงินที่หลี่หยางต้องการเปิดเผยได้ดำเนินการอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครบอก แล้วเหยาเฉาจะรู้ได้อย่างไร?

หากเขารู้ ผู้ตรวจการก็คงจะทราบเรื่องที่เขารายงานความผิดถึงการกระทำของผู้บังคับบัญชาไปแล้ว?

“น้องเฉา….”

ในใจของหลี่หยางก็ตระหนักได้ว่าคำพูดตนไม่ได้ดูมีน้ำหนักมากเพียงนั้น “ข้าเองก็ว่ากันไปตามสถานการณ์ เรื่องของการช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ผ่านไปนานแล้ว เรามาพูดถึงวิธีการปราบปรามโจรภูเขาในตอนนี้เถอะ”

…………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

การทำงานแต่ละครั้งมันจะต้องมีพวกชักใบให้เรือหรือไม่ก็พวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำอยู่ตลอด ขอให้กันคนพวกนี้ออกจากงานนะคะ ไม่งั้นบรรลัยแน่

ไหหม่า(海馬)