บทที่ 139 รู้สึกตกตะลึง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 139 รู้สึกตกตะลึง

และเมื่ออู๋หยู่เหวินได้ยินคำพูดของมู่เซิ่ง หัวของเขาก็ชาจนแทบแตก ไอ้ลูกอกตัญญูคนนี้ หรือว่าไปล่วงเกินผิดใจอะไรกับมู่เซิ่ง?

ถึงจะเป็นอู๋หยู่เหวินคนอย่างเขา ก็เป็นได้แค่สุนัขรับใช้ตัวหนึ่งของมู่เซิ่งเท่านั้น อู๋เยว่คนนี้ ทำไมถึงกล้าไปล่วงเกินมู่เซิ่ง?

“คุณมู่ครับ เพราะผมสั่งสอนลูกไม่ดีเอง คุณจะให้เขาตายหรือรอด แล้วแต่คุณเลยครับ!”อู๋หยู่เหวินกล่าวแล้วทรุดตัวนั่งคุกเข่ากับพื้นดังตุ๊บทันที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

คนที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างพากันกลั้นหายใจ

ไป๋หงกวงที่คุกเข่าเห็นฉากนี้ ถึงกับตัวสั่นเทาไม่กล้าพูดอะไร ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโชคดี แม้แต่อู๋หยู่เหวินที่เป็นถึงคนใหญ่คนโตแบบนั้นยังต้องคุกเข่าสยบให้กับมู่เซิ่ง ดูท่าตนเองจะเดาไม่ผิด ภูมิหลังของชายหนุ่มผู้นี้ใหญ่คับฟ้า จะต้องเป็นคนที่เขาไม่อาจล่วงเกินได้อย่างแน่นอน!

“ยังไม่รีบคุกเข่าอีก!”

ในเวลานี้เอง ไม่ต้องให้ไป๋หงกวงพูดอะไร สองเข่าของไป๋เสี่ยวเสียนก็หมดแรง คุกเข่าลงกับพื้นเรียบร้อยแล้ว

เมื่อได้ยินพ่อเอ่ยปาก หน้าผากของอู๋เยว่ ก็มีเม็ดเหงื่อผุดออกมา

ตัวเขารนหาที่ตายอย่างงั้นหรอ?

ก่อนหน้าที่จะพบกับมู่เซิ่ง คำว่า‘ตาย’ มันห่างไกลจากเขามาก ถึงเขาจะเป็นลูกชายคนเล็กที่ตระกูลอู๋ไม่ให้ความสำคัญ แต่เขาก็ได้รับเงินเดือนจากตระกูลชั้นหนึ่ง คำว่าตาย มันมักเป็นการที่เขาพูดกับคนอื่นเสมอ คิดไม่ถึงว่าวันนี้ จะเป็นตาเขาที่ถูกคนอื่นพูดใส่

“คุณชายมู่ โปรดให้โอกาสผมสักครั้ง ขอแค่คุณไว้ชีวิตผม คุณจะให้ผมทำอะไรผมยอมทุกอย่างเลยครับ!”อู๋เยว่เอาหัวโขกกับพื้นดังปึ้งปังไม่หยุด เลือดและเหงื่อเย็นไหลหยดออกมา เขายังใช้ชีวิตได้ไม่หนำใจเลย เขายังไม่อยากตาย

“ช่วงนี้ พ่อของคุณทำงานได้ไม่เลว พยายามทำงานอย่างเต็มที่ ดังนั้นผมจะให้อภัยคุณสักครั้งแล้วกัน แต่ถ้าหักหลังผมขึ้นมาล่ะก็ ผมยังไม่ได้เรียนรู้การให้อภัยเลยนะ”มู่เซิ่งพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย

เสิ่นหยิงเซี่ยกับจางฮุยที่ยืนอยู่ข้างหลังสะดุ้ง หักหลัง เขาพูดถึงพวกเธออยู่ไม่ใช่หรอ?

“ลงมือเองเถอะ หวังว่าคุณจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับผมนะ ผมสามารถทำให้ตระกูลอู๋ก้าวไปสู่ความร่ำรวยได้ ก็สามารถทำให้คุณ หมดสิ้นทุกอย่างได้เหมือนกัน”

มู่เซิ่งพูดจบ ก็เดินออกจากงานทันที

“คุณมู่เดินทางดีๆนะครับ”

“คุณมู่เดินทางดีๆนะครับ”

อู๋เยว่กับอู๋หยู่เหวินทั้งสองที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น ด้วยแววตานอบน้อม ไม่กล้ามองตรงๆ ในใจของพวกเขารู้ดี คำพูดของมู่เซิ่ง ไม่ได้กำลังล้อเล่น

หากก้าวผิดพลาดเพียงก้าวเดียว ตระกูลอู๋ของพวกเขา ก็จะไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อีก!หากสามารถติดสอยห้อยตามมู่เซิ่งไปได้ตลอด คงจะมีรายชื่อของพวกเขา อยู่ในตระกูลที่ร่ำรวยในเยียนจิง

ได้ให้โอกาสถึงสองครั้งแล้ว จะไม่มีโอกาสครั้งที่สามอีกเป็นอันขาด!

“ทั้งสองท่านครับ กลับตระกูลอู๋กับผมเถอะ”

อู๋หยู่เหวินที่คุกเข่าอยู่นาน

จนกระทั่งทุกคนจากไป เขาค่อยๆลุกขึ้น และฟื้นคืนอำนาจของผู้นำแห่งตระกูลอู๋ เขาหันหลัง พูดกับเสิ่นหยิงเซี่ยกับจางฮุยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“พวกเขา พวกเขาไม่ไป”เสิ่นหยิงเซี่ยก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ด้วยความตกใจ

รัศมีของมู่เซิ่งเมื่อสักครู่ เธอยังคงตราตรึงใจ ตอนนี้จะให้เธอกลับตระกูลอู๋ด้วย นอกจากตาย เธอนึกจุดจบอื่นไม่ออกจริงๆ

เวลานี้เอง จู่ๆอู๋เยว่ก็เดินเข้ามา เขารู้ว่าตัวเองได้ล่วงเกินคนที่ไม่สมควรจะล่วงเกิน แต่เหตุผลของการล่วงเกิน ล้วนมาจากเสิ่นหยิงเซี่ย หากเธอไม่ยุยงปลุกปั่นเขา เมื่อวานเขาคงไม่มีวันล่วงเกินมู่เซิ่งด้วยซ้ำ และไม่มีทางมีจุดจบอย่างวันนี้

เขาสาวเท้าใหญ่ก้าวไปที่ข้างหน้าของเสิ่นหยิงเซี่ย แล้วคว้าไปที่หัวของเธอ“แม่งเอ้ย ยัยขี้เม้าท์เอ้ย แกอยากตายก็อย่าลากกูไปตายด้วยสิวะ!”

“คุณชายอู๋ ฉันสามารถช่วยขโมยสูตรจากสปาหรงเหมยได้นะคะ ปล่อยฉันไปเถอะ!”เสิ่นหยิงเซี่ยดิ้นทุรนทุรายในมือของอู๋เยว่

“ขโมยแม่มึงสิ!”

อู๋เยว่สีหน้าน่าเกลียดน่ากลัว“ของของคุณมู่ มีแค่เศษสวะอย่างแกเท่านั้นแหละที่อยากได้ในสิ่งที่ไม่สมควรได้รับ?”

ปึ้ง!

เขากดหัวของเสิ่นหยิงเซี่ยลง แล้วกระแทกไปที่พื้นอย่างจัง ราวกับปีศาจเข้าสิง เขากระแทกไปด้วยและคำรามไปด้วย“ฉันบอกให้แกล่วงเกินคุณมู่หรอ แกคู่ควรล่วงเกินเขาหรอกห้ะ?”

กระแทกดังไปหลายสิบครั้ง จนหนังหัวถลอกหลุดออกมาแผ่นใหญ่ อู๋เยว่จึงเก็บมือ และพูดกับคนข้างๆว่า“พากลับตระกูลอู๋!”

“ครับ”

บอดี้การ์ดสองคนก้าวมาข้างหน้า และจับตัวเสิ่นหยิงเซี่ยที่จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ เดินไปยังลิฟต์

คนที่อยู่ในงานที่เห็น เงียบเหมือนจักจั่น

ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปช่วย

หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่าง อู๋เยว่มองไปยังจางฮุย แล้วพูดด้วยยิ้มตลกร้าย“แกล่ะ?จะไปด้วยตัวเอง หรือให้ฉันช่วยแก”

“ผะ……ผมไปเองครับ”จางฮุยยิ้มอย่างขมขื่น

ได้เห็นเสิ่นหยิงเซี่ยที่ได้รับบทเรียนก่อนหน้านี้ เขาจะกล้าต่อต้านได้อย่างไร?

หบังจากพูดจบ เขาก็ถูกบอดี้การ์ดสองคนหิ้ว พาออกไปด้วยกัน

ตระกูลอู๋จากไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็มีพนักงานทำความสะอาดหลายคน มาทำความสะอาดคราบเลือดที่พื้นจนสะอาด

ภายในห้องโถงในโรงแรมไป่ถัง กลับคืนสู่ความสะอาด เพียงแต่ภายในอากาศยังคงมีกลิ่นอายคาวเลือดจางๆ เป็นการย้ำเตือนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

กระบวนการทั้งหมดของการออกจากสถานที่นั้นเงียบสงบอย่างน่าอัศจรรย์ สองพ่อลูกตระกูลไป๋ยังคงคุกเข่า จนกระทั่งคนทั้งหมดเดินจากออกไป พวกเขาไม่กล้าลุกขึ้น เพราะว่ามู่เซิ่งยังไม่เอ่ยปากให้พวกเขาลุกขึ้นยืน

หลังจากผ่านไปนาน ก็มีพนักงานสองคนเข้ามา พยุงพวกเขาสองพ่อลูก ที่คุกเข่ามานานเกือบสิบชั่วโมงแล้ว ทั้งสองขาชาทั้งสองข้าง ไม่สามารถขยับลุกเดินได้ด้วยซ้ำ

“พ่อครับ เรื่องนี้เรียบร้อยรึยังครับ?”ไป๋เสี่ยวเสียนกล่าว ด้วยความตื่นเต้น

ฉากที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ เขายังเหลือคราบหยิ่งจองหองของลูกคนรวยที่ไหนกัน เขาตกใจคุกเข่ากับพื้นนานแล้ว ไอ้คนไม่เอาถ่านคนนี้ ไม่ใช่เศษสวะอย่างที่เขาคิด พลังที่อยู่เบื้องหลังของเขา มันใหญ่โตกว่าตระกูลอู๋ด้วยซ้ำ

พ่อคุกเข่าให้กับเขา แม้แต่อู๋หยู่เหวินยังต้องคุกเข่าสำนึกผิด และเขายังกล้าไล่คนแบบนี้ออกไปอีก?นี่มันเป็นเรื่องตลก?

ไป๋หงกวงถอนหายใจยาว“ในเมื่อเขาไม่ได้ลงมืออะไรกับเรา น่าจะไม่มายุ่งกับตระกูลไป๋ของเราแล้วล่ะ เป็นวาสนา ไม่ใช่คราวเคราะห์ ถ้าเป็นคราวเคราะห์ก็หลบไม่พ้น หากเขาอยากกำจัดตระกูลไป๋ของเรา เราก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้”

ไป๋เสี่ยวเสียนเงียบ แต่เขาก็ต้องยอมรับ การกำจัดล้างโคตรตระกูลไป๋ สำหรับมู่เซิ่งแล้ว มันเป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก

“ไปกันเถอะ มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เสี่ยวเสียน แกออกไปหางานทำเถอะ ต่อจากนี้ไปตระกูลไป๋ ทนแกก่อปัญหาแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”

ไป๋หงกวงถอนหายใจ ภายใต้การพยุงจากพนักงาน เดินเซไปยังลิฟต์ ด้วยสีหน้าเจ็บปวด ราวกับเขาแก่เพิ่มขึ้นอีกสิบปี

ไป๋เสี่ยวเสียนก้มหน้า ด้วยความละอายใจ

“บอสคะ สุดยอดไปเลยค่ะ สามารถจัดการเถ้าแก่ที่ฉลาดหลักแหลมแบบนั้นได้ ถือว่าเป็นโชคดีของถังเสี่ยวเยว่ค่ะ”ตอนที่ถังเสี่ยวเยว่เดินออกมาจากหน้าประตู ดวงตาของเธอเป็นประกาย ฉากเมื่อสักครู่ มันทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นมากๆ

มู่เซิ่งหน่ายใจ เดิมทีเขาอยากมาร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างถ่อมตัว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายขนาดนี้

ตระกูลอู๋พยายามแทบตาย อู่เยว่ถือได้ว่าเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง มู่เซิ่งไม่ได้โค่นล้มเขาตรงๆ สำหรับจางฮุยนั้น นับตั้งแต่ที่เขาหักหลังสปาหรงเหมย ขโมยสูตรลับไป ก็ได้กลายเป็นคนตายไปแล้ว

“ผมก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้”มู่เซิ่งส่ายหัวไปมา

“ตอนนี้ชื่อของคุณ คนทั้งงานแถลงข่าว รู้จักหมดแล้ว เป็นเกล็ดทองที่อาศัยอยู่ในบ่อน้ำ บอสคะ ตกลงคุณเป็นใครกันแน่?”ถังเสี่ยวเยว่กะพริบตาปริบๆ ร่างโอนอ่อนส่วนที่ไร้กระดูก แนบชิดไปที่ตัวของมู่เซิ่ง

“ผม?ผมก็คือเขยไม่เอาถ่านที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิงไง”มู่เซิ่งพูดติดตลก

ถังเสี่ยวเยว่เบะปาก เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เชื่อ

แค่โบกมือก็สามารถกำจัดตระกูลชั้นหนึ่งได้ ถ้าคนแบบนี้ถูกเรียกว่าไม่เอาถ่าน งั้นทั่วทั้งเจียงหนาน ก็กลายเป็นคนไม่เอาถ่านทั้งเมืองน่ะสิ

มู่เซิ่งขี้เกียจอธิบายกับเธออะไรให้มากความ ความสัมพันธ์ของตระกูลมู่ในตอนนี้ยังคงไม่ชัดเจน หากมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ปัญหามากมายจะเกิดขึ้น

ในขณะนี้ที่เมืองเยียนจิง หลังจากที่มู่จงหยุนได้รู้ข่าวการตายของเย่ปู้เฟิงแล้ว เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และพ่อของเขาก็กำลังป่วยหนักเช่นกัน เขาได้รับเพียงแค่ยากับวิธีการใช้ หลังจากที่สกัดเป็นเม็ดยาแล้ว ก็จะสามารถนำไปรักษาอาการป่วยของพ่อ ที่เยียนจิงได้

“สิบสี่ปีแล้ว”

มู่เซิ่งมองไปที่ท้องฟ้า เผยให้เห็นแววตาเศร้าสร้อยเจ็บปวด

เขาไม่ได้เจอหน้าพ่อมาสิบสี่ปีแล้ว กระทั่งหน้าตารูปร่างของเขา มันได้เลือนรางไม่ชัดเจนในความทรงจำของเขาไปแล้ว