บทที่ 182 เริ่มงานเลี้ยง

บทที่ 182 เริ่มงานเลี้ยง

ตอนที่อู๋ฝานเข้าสู่คฤหาสน์ ก็พบว่าด้านในโถงมีคนอยู่ไม่ใช่น้อยแล้ว ผู้คนเหล่านี้ถือแก้วไวน์ รวมกลุ่มกันสองถึงสามคน พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็ฉวยโอกาสที่ดีเช่นช่วงเวลานี้ เข้าหาคนอื่นเพื่อพูดคุยทำความรู้จักขยับขยายเส้นสาย

การมาถึงของอู๋ฝานไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใคร ยกเว้นหลี่ปิง ทั้งเขาเองก็ไม่ได้รู้จักใครในสถานที่แห่งนี้ และชายหนุ่มก็ไม่คิดใส่ใจ เพียงหามุมหนึ่งนั่งลง เพื่อรอคอยให้งานเลี้ยงวันเกิดเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ขณะอู๋ฝานกำลังรู้สึกเบื่อหน่าย ทันใดนั้นเองเสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นในหูของเขา

“อู๋ฝาน?”

อู๋ฝานเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นหวังจื่อหมิงเดินมาด้วยสีหน้ายินดีระคนประหลาดใจ แน่นอนว่าในมือของอีกฝ่ายไม่อาจขาดแก้วไวน์ไปได้

“มาที่นี่ด้วยเหรอ? ทำไมตอนกลางวันไม่บอกล่ะ?” หวังจื่อหมิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

แม้หวังจื่อหมิงจะค่อนข้างให้ความสำคัญกับอู๋ฝานพอสมควร แต่เขาก็ทราบดีว่าความสำเร็จในปัจจุบันของอีกฝ่าย ยังไม่มากพอที่จะดึงดูดความสนใจของตระกูลใหญ่อย่างเช่นตระกูลถังได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เชิญชายหนุ่มมาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้แต่อย่างใด

“ตอนกลางวันผมก็ไม่ได้ยินจากพี่หวังเหมือนกันว่าจะมางานเลี้ยงด้วย” อู๋ฝานหัวเราะตอบ “ถังอวี่เฟยเป็นนักเรียนของผมครับ เธอเป็นคนเชิญผมมา”

“แบบนี้นี่เอง” หวังจื่อหมิงพยักหน้าตอบรับ เพียงแต่ในใจก็ยังมีความสงสัยอีกมากมายปรากฏขึ้น

ถังอวี่เฟยมีอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยหลายคน แต่เชิญมาเพียงแค่อู๋ฝาน? ไม่ใช่ว่าทั้งสองคนนี้มีสัมพันธ์อะไรต่อกันหรอกเหรอ?

ทางด้านหลี่ปิงและเกิ่งหย่าเฟยก็เป็นอาจารย์เช่นกัน แต่เพราะสถานะทางบ้านจึงไม่แปลกที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ได้

“วันนี้มีคนมาเยอะเลย ให้ฉันแนะนำพวกเขากับนายไหม?” หวังจื่อหมิงบอกกับอู๋ฝาน

ผู้คนที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา อู๋ฝานวางแผนสร้างร้านอาหาร และกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคือชนชั้นกลางถึงสูงในเจียงโจว ดังนั้นการให้อีกฝ่ายได้รู้จักคนมากขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องแย่แต่อย่างใด

หวังจื่อหมิงแสดงความตั้งใจที่จะช่วยอู๋ฝาน

อู๋ฝานเข้าใจประเด็นนั้นเช่นกัน และนึกขอบคุณอีกฝ่าย “คงต้องรบกวนพี่หวังแล้วครับ”

“ฉันกับนาย ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกันขนาดนั้นหรอก” หวังจื่อหมิงตอบรับ

จากนั้นหวังจื่อหมิงก็พาอู๋ฝานไปพบปะแลกเปลี่ยนกับคนหลายคน พร้อมทั้งช่วยแนะนำตัวให้อีกฝ่ายได้รู้จักชายหนุ่ม

ไม่ไกลออกไป หลี่ปิงคอยจับตามองอู๋ฝานอยู่ตลอด ตอนเห็นว่าหวังจื่อหมิงกระตือรือร้นที่จะเข้าไปพูดคุยทักทายอู๋ฝานก่อน เขาถึงกับต้องแสดงอาการประหลาดใจออกมา

สองคนนี้ไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่? ครั้งก่อนที่ร้านคัลเลอร์แมน ท่าทีก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ ทำไมตอนนี้ถึงดูประหนึ่งเป็นมิตรสหายเก่าแก่ เหตุใดคนอย่างอู๋ฝานจึงสนิทสนมเท่าเทียมกับหวังจื่อหมิงได้?

ยิ่งหลี่ปิงครุ่นคิดเท่าไหร่ ความสับสนและความโกรธในใจก็ยิ่งมากมายขึ้นเท่านั้น อู๋ฝานที่ก่อนหน้านี้ตัวเขาดูหมิ่นมาตลอด ขณะนี้ไม่เพียงมีรถที่ดีขับขี่ แต่ยังมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหวังจื่อหมิง มันเป็นความจริงที่เขายากจะยอมรับ!

“หือ? นั่นอะไร?” จู่ ๆ หลี่ปิงก็เห็นกล่องสี่เหลี่ยมวางอยู่ตรงที่อู๋ฝานเคยนั่ง ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายนั่งตรงนั้นเพียงคนเดียว ดังนั้นกล่องดังกล่าวจะต้องเป็นสิ่งที่ชายคนนั้นทำหล่นเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย

หลี่ปิงมองอู๋ฝานที่กำลังไปทำความรู้จักกับคนอื่นพร้อมหวังจื่อหมิง จากนั้นไม่นานเขาก็เดินไปยังกล่องใบดังกล่าวด้วยความสงสัย

มันเป็นกล่องเครื่องประดับ หลี่ปิงเพียงมองก็ทราบได้ เมื่อเปิดกล่องออกมา จึงได้พบว่าเป็นสร้อยคอเส้นหนึ่ง

“มันจะต้องเป็นของขวัญวันเกิดที่อู๋ฝานเตรียมไว้ให้คุณหนูถังแน่ คนจนยังไงก็เป็นคนจน กับงานใหญ่โตแบบนี้ ยังกล้าให้ของขวัญผุพังแบบนี้ซะได้!” หลี่ปิงเอ่ยคำเหยียดหยามอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเตรียมวางกล่องใบดังกล่าวลงที่เดิม

ทันใดนั้นการเคลื่อนไหวของเขากลับหยุดชะงัก ราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาไม่วางกล่องกลับที่เดิม แต่เลือกที่จะวางมันไว้กับพื้น ก่อนจะเตะส่ง จนกล่องไถลไปอยู่ด้านล่างของโซฟาและหายวับไปจากระยะสายตามองเห็น

“ฮ่า! ฮ่า! อยากเห็นนักว่าหลังจากนี้นายจะให้ของขวัญยังไง” หลี่ปิงคิดอย่างภูมิอกภูมิใจ ราวกับได้เห็นฉากอู๋ฝานเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อีกฟากฝั่งหนึ่ง อู๋ฝานไม่ได้รู้ว่าของขวัญวันเกิดที่เตรียมเอาไว้ให้ถังอวี่เฟยนั้นถูกหลี่ปิงนำไปซุกซ่อน หลังติดตามหวังจื่อหมิงไปทำความรู้จักแล้ว สุดท้ายเขาก็กลับมานั่งที่เดิม

“พวกคนที่ฉันแนะนำให้นาย ถ้ามีโอกาสก็ติดต่อพวกเขาให้มากขึ้นนะ พวกเขาจะเป็นลูกค้าชั้นดีกับร้านของนายอย่างแน่นอน” หวังจื่อหมิงบอก พลางนั่งลงข้างอู๋ฝาน

“แน่นอนครับ” อู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ

ความจริงแล้วอู๋ฝานเพิ่งตระหนักว่าที่ผู้คนเหล่านั้นตอบรับอย่างสุภาพ ก็เพราะว่าเห็นแก่หน้าของหวังจื่อหมิง ทั้งที่จริงไม่ได้เก็บคำแนะนำอะไรของเขามาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ ยังไงอู๋ฝานก็เป็นตัวตนเล็กจ้อยที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน อีกทั้งร้านอาหารก็ยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ คนเหล่านั้นย่อมไม่รู้จักตน ไม่แปลกหากว่าภายนอกจะตอบรับอย่างสุภาพ แต่ภายในไม่ได้เก็บมาคิดเห็นเป็นจริงเป็นจัง

หวังจื่อหมิงรีบไปทักทายผู้คนต่อ ส่วนอู๋ฝานนั่งอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง ทว่าเขาก็ไม่ได้คิดใส่ใจอะไร กระทั่งรู้สึกว่าโล่งดีเสียด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้เกิ่งหย่าเฟยได้พบกับอู๋ฝาน และเป็นฝ่ายเข้าไปทักทายก่อน เธอค่อนข้างประหลาดใจที่อีกฝ่ายมาปรากฏตัวในงานเลี้ยงวันนี้ เพียงแต่ไม่ได้เย้ยหยันชายหนุ่มดังเช่นที่หลี่ปิงกระทำ เพียงแค่รู้สึกแปลกใจไปบ้าง

ขณะเวลาผ่านไป ผู้คนภายในโถงก็ยิ่งมารวมตัวกันมากขึ้น

“ทุกท่าน!” ขณะเข็มยาวชี้ตรงที่เลขแปด ชายวัยกลางคนที่ดูหน้าตาค่อนข้างคล้ายถังอวี่เฟยก็ก้าวขึ้นเวทีที่จัดเตรียมเอาไว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกล่าวผ่านไมโครโฟน “ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอันแสนมีค่าเพื่อเข้าร่วมปาร์ตี้วันเกิดเด็กน้อยของผมกันนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่มาเยือนในค่ำคืนนี้ หวังว่าทุกท่านจะได้ลองชิมอาหารรสเลิศ และมีช่วงเวลาที่ดีในค่ำคืนนี้นะครับ”

ทางด้านล่างเวทีปรากฏเสียงปรบมือตอบรับ

ไม่นานหลังจากนั้นถังอวี่เฟยก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะก้าวเท้าลงบันไดมาอย่างเชื่องช้า ทันทีที่เธอออกมา ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนในที่แห่งนี้ หลายคนกระทั่งเผยท่าทีตะลึงงันผ่านทางสายตาเสียด้วยซ้ำ

ค่ำคืนนี้ถังอวี่เฟยแต่งกายอย่างสวยสดงดงามประหนึ่งสีแดงชาดที่แต่งแต้มดวงอาทิตย์ยามอัสดง เป็นความงดงามอันสูงศักดิ์เลอค่า แม้ว่าที่นี้จะมีหญิงสาวที่งดงามอีกหลายคน แต่ในช่วงเวลานี้ พวกเธอที่อยู่ต่อหน้าถังอวี่เฟย ก็แทบไม่ต่างกับเงาที่ถูกบดบัง

ถังอวี่เฟยเผยใบหน้าแย้มยิ้ม เป็นเสน่ห์และความงามดึงดูดดังเช่นที่อู๋ฝานเคยได้พบเห็น ในวันนี้ทั้ง ๆ ที่หญิงสาวควรจะกลายเป็นโฉมงามสูงสง่า ทว่าความงามยั่วยวนอันเป็นเสน่ห์เฉพาะของเธอกลับแฝงออกมาด้วย ทว่าความแตกต่างที่เห็นนี้ไม่ขัดกันเลยแม้แต่น้อย กระทั่งว่าดึงดูดมากยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ

ถังอวี่เฟยก้าวเดินขึ้นไปบนเวที กล่าวทักทายแขกด้วยถ้อยคำสั้นกระชับใจความ จากนั้นไม่นานก็ประกาศเริ่มงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ

“ไม่รู้เลยว่าวันนี้คุณหนูถังจะเลือกใครเป็นคู่เต้นรำลำดับที่สอง” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ถัดจากอู๋ฝานเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องถังอวี่เฟยที่กำลังเต้นรำบนเวทีกับผู้เป็นพ่อ “หากว่าเธอเลือกเรา คงได้มีชีวิตอิ่มสุขไปทั้งปีแน่”

โดยปกติแล้วตามพิธีการคู่เต้นรำแรกมักจะต้องเป็นคู่พ่อลูกเสมอ ทำให้ประเด็นน่าสนใจจึงตกไปอยู่ที่คู่เต้นรำลำดับที่สองว่าถังอวี่เฟยจะเลือกใคร มันเป็นสิ่งที่หลายคนในที่นี้นึกสงสัยและคาดหวัง