บทที่ 145 กลายเป็นบทบาทนั้น

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 145 กลายเป็นบทบาทนั้น

บทที่ 145 กลายเป็นบทบาทนั้น

ภายในสองวัน ซูโย่วอี๋ทำงานล่วงเวลาและอ่านต้นฉบับนิยาย ‘รักในฝัน’ จนจบ เมื่อรู้ตอนจบของฮั่วเสวียน ซูโย่วอี๋ก็รู้สึกขัดใจมาก แม้แต่อารมณ์ก็ดำดิ่งลง

เจ้าสุนัขจิ้งจอกไม่ลืมที่เอ่ยแซว [ซู่จู่ แค่อ่านนิยายยังเศร้ามากถึงขนาดนี้ ถ้าให้คุณเล่นจริง ๆ จะไม่ร้องไห้ตายเลยเหรอ?]

ซูโย่วอี๋นั่งลงบนโซฟาอย่างไร้ชีวิตชีวา “เจ้าจิ้งจอกเน่า อยู่ดี ๆ ฉันก็ไม่อยากแสดงเป็นฮั่วเสวียนแล้วสิ”

[พูดซะอย่างกับว่าคุณได้รับบทนี้แล้วงั้นแหละ]

หึ

สุนัขจิ้งจอกตัวนี้พูดจาร้ายกาจจริง ๆ

พอคิดตามที่มันพูดก็ไม่ผิด บทของฮั่วเสวียนในตอนนี้ยังไม่มีการคัดเลือก เธอจะเลือกเองได้ยังไง

การจัดการของสุ่ยเวยรวดเร็วมาก เธอนำบทบาทสุดคลาสสิกของฮั่วเสวียนแยกออกมาให้แล้ว และให้เหมยเหมยมามอบให้ซูโย่วอี๋

ซูโย่วอี๋เปิดบทอ่านดู ฉากแรกเป็นตอนที่ฮั่วเสวียนและพระเอกอย่างหลี่จื้อเจอกันครั้งแรกที่เขตชายแดน

ฮั่วเสวียนรับหน้าที่เป็นผู้นำกองทัพตระกูลฮั่วเดินทางไปรับเขาล่วงหน้า และพวกทหารพูดติดตลกกับผู้ใต้บังคับบัญชาในระหว่างการเดินขบวน “ลูกชายคนโปรดที่ถูกขังเอาไว้ในกรงจะใช้ประโยชน์อะไรได้? หากต้องออกรบจริง ๆ เกรงว่าจะกลัวจนฉี่ราด”

คำพูดพวกนี้แน่นอนว่าเป็นการดูถูกหลี่จื้อ

ไม่มีใครสนใจองค์ชายแห่งราชวงศ์คนนี้เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ผู้นำกองทัพตระกูลฮั่ว

“ท่านนายพล พวกเราน่ะแค่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยขององค์จักรพรรดิโม่ก็พอ ยังหวังจะให้เขามาออกรบจริง ๆ งั้นหรือ?”

ว่าจบเหล่าทหารพากันหัวเราะ

แต่ฮั่วเสวียนเข้าใจในกฎดี เธอจะไม่ละเลยหลี่จื้อเพียงเพราะเหตุผลนี้ และสั่งการไม่ให้คนใต้บังคับบัญชาพูดจาเช่นนี้อีก

เหล่าทหารขี่ม้าอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็พบกับองค์ชายหลี่จื้อผู้สูงส่งที่ประตูเมืองถั๋ว

หลี่จื้อผู้สง่างาม อยู่ในชุดคลุมสีดำสนิท จี้หยกลายมังกรทรงกลมผูกรอบเอว นั่งดื่มชาอยู่ในโรงน้ำชาที่ดูทรุดโทรม ความเงียบสงบของเขากับความวุ่นวายรอบ ๆ ตัวขัดกันเสียราวกับอยู่กันคนละโลก

จากนั้นคนรับใช้หยิบเหรียญทองแดงสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของร้าน หลี่จื้อลุกขึ้น ด้านฮั่วเสวียนนำเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าไปทำความเคารพ

น้ำเสียงของหลี่จื้ออ่อนโยน “ท่านนายพลไม่ต้องมากพิธี”

ฮั่วเสวียนเงยหน้าขึ้นมองหลี่จื้อในแวบแรกก็รู้สึกตกตะลึง

เพราะเธอจำหลี่จื้อได้ในทันที นี่คือ ‘พี่ใหญ่’ ผู้ช่วยเธอจากการถูกค้ามนุษย์ตอนที่เธอยังเด็ก

ส่วนหลี่จื้อเป็นคนที่มีไหวพริบ เขาสังเกตเห็นแววตาของฮั่วเสวียน “ท่านนายพลรู้จักข้าอย่างนั้นหรือ?”

ที่แท้เขาก็จำไม่ได้…

ฮั่วเสวียนรู้สึกเสียใจมาก แต่ใบหน้ากลับยกยิ้ม “ไม่รู้จักขอรับ ข้าน้อยได้เตรียมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อต้อนรับพระองค์ไว้แล้ว”

อ่านตอนนี้จนจบ ในใจของซูโย่วอี๋เต้นระรัว เธออยากลองแสดงดูเพื่อทดสอบระดับของตัวเองแล้ว

ในห้องไม่มีคนอื่นอยู่ ซูโย่วอี๋จึงขอให้สุนัขจิ้งจอกช่วย “นายแค่ทำเหมือนตอนที่ดูละครไอดอลแบบปกติ ลองดูว่าการแสดงของฉันมีปัญหาอะไรไหม”

ได้ยินแบบนั้นสุนัขจิ้งจอกก็สนใจขึ้นมาในทันที นี่คืองานของผู้กำกับชัด ๆ [ได้]

หลังจากซูโย่วอี๋ท่องบทจนคุ้นชินแล้ว เธอก็เริ่มทำการแสดง

เธอเริ่มจากการแสดงบนหลังม้า ซูโย่วอี๋นั่งยอง ๆ แยกเท้าสองข้างออกจากกัน แสร้งทำเป็นว่ากำลังขี่ม้า สองมือยกขึ้นเหมือนกำลังบังคับม้าอยู่ หลังจากนั้นก็เริ่มขยับตัวท่อนบนไปมา

เดิมทีสุนัขจิ้งจอกเบิกดวงตาสีน้ำเงินของมันอย่างตั้งอกตั้งใจมาก แต่พอเห็นการแสดงของซูโย่วอี๋ก็หัวเราะจนกลิ้งไปกับพื้น [ฮ่ะฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า]

[ซู่จู่ นี่คุณกำลังขี่ม้าเหรอ? ถ้าไม่บอกฉันคิดว่าคุณกำลังเต้นดิสโก เต้นดิสโกแบบเป็นอัมพาตไปครึ่งท่อน ฮ่ะฮ่ะฮ่าฮ่า]

ใบหน้าของซูโย่วอี๋แดงแจ๋ “ก็นี่เป็นการแสดงครั้งแรกนี่ ยังไม่ค่อยชิน”

สุนัขจิ้งจอกรู้สึกว่าตัวเองหัวเราะมากเกินไปแล้ว จึงรีบหยุด

ซูโย่วอี๋เริ่มต้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ล้วนถูกสุนัขจิ้งจอกวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร้ความปรานี [ซู่จู่ คุณขี่มาเพราะต้องไปรับคน ไม่ใช่กำลังหลบหนี สีหน้าของคุณเคร่งเครียดมากเกินไปแล้ว]

ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าที่สุนัขจิ้งจอกพูดก็ถูก ฮั่วเสวียนเป็นเด็กที่สดใสมาก จะแกล้งทำเป็นเคร่งขรึมไม่ได้

ครั้งนี้เธอจึงเริ่มยิ้มแย้ม

แต่สุนัขจิ้งจอกก็ยังคงไม่พอใจ [ซู่จู่ คุณจะยิ้มตลอดเวลาได้ยังไง เป็นคนบ้าเหรอ? ยังไงฮั่วเสวียนก็เป็นทหาร ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาก็ต้องดูสง่างามและน่าเกรงขามสิ]

ซูโย่วอี๋ถูกโจมตีจากการวิจารณ์จนไม่มีอารมณ์ฝึกซ้อมต่อแล้ว เธอนั่งลงบนโซฟาเพื่อสรุปบทเรียนและพยายามเข้าใจในฮั่วเสวียนให้มากขึ้น

อ่านไปสักพัก เธอรู้สึกว่าตัวเองพอจะทำได้แล้ว “มาลองใหม่กัน”

ครั้งนี้ซูโย่วอี๋ทำได้ดีขึ้นมาก อย่างน้อย ๆ ตอนเริ่มก็ไม่ทำให้สุนัขจิ้งจอกหัวเราะออกมา ท่าทางการขี่ม้าก็พอดูได้ แต่พอถึงฉากที่ต้องพบกับพระเอก การแสดงของซูโย่วอี๋ก็ดูแย่ไปเรื่อย ๆ

[ซู่จู่ ตอนนี้ฮั่วเสวียนกำลังตกใจ คิดถึง ผิดหวัง ชอบ อารมณ์มากมายกำลังก่อตัวเต็มไปหมด แต่ในดวงตาของคุณตอนนี้ไม่มีอารมณ์อะไรเลยสักนิด]

ซูโย่วอี๋ทำได้ดีแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสุด เหมือนจิตวิญญาณของเธอไร้ความรู้สึก

ถ้าสวีโหมวได้เห็นก็คงพูดว่า ดูน่าประทับใจแต่ยังไม่ดีพอ

น่าเสียดาย!

ซูโย่วอี๋ซ้อมการแสดงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ที่หน้ากระจก ซ้อมไปซ้อมมาจนไม่รู้ว่าตัวเองควรจะยิ้มยังไงแล้ว เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เธอน่าจะถูกจัดอยู่ในประเภทที่ไม่มีพรสวรรค์ด้านการแสดงเลยสักนิด

น้ำเสียงของสุนัขจิ้งจอกอ่อนลงเล็กน้อย [ไม่งั้นคุณก็ลองคิดว่าลู่เฉินเป็นพระเอกสิ ลองคิดว่าเขาไม่ชอบคุณ และหลงรักคนอื่น?]

ได้ยินเช่นนั้นในหัวของซูโย่วอี๋ลองจินตนาการภาพที่ลู่เฉินบอกเลิกเธอ พร้อมกับหันหลังและจากไป เมื่อนึกถึงว่าตั้งแต่นี้ไปทั้งสองคนไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก ซูโย่วอี๋ก็เศร้าจนน้ำตารินไหล

สุนัขจิ้งจอกเห็นภาพนั้นก็ตกตะลึง [อยู่ดี ๆ ฉันรู้สึกว่าคุณเองก็มีความสามารถ ถ้าแสดงฉากที่ฮั่วเสวียนเจ็บปวด ที่คุณแสดงออกมาเมื่อกี้… ทำให้ฉันประทับใจมาก]

ซูโย่วอี๋สูดลมหายใจเข้าจมูกแรง ๆ “พอเถอะ อันนี้ฉันใช้ความรู้สึกจริง ๆ จะถือว่าเป็นการแสดงได้ยังไง”

พูดจบ ตัวเธอเองก็อึ้งไปเหมือนกัน การแสดงละครไม่ใช่ว่าต้องใช้ความรู้สึกจริงเหรอ ถ้าไม่สามารถกระตุ้นความรู้สึกของตัวเองได้ จะทำให้คนอื่นประทับใจได้ยังไง

“เจ้าจิ้งจอกเน่า ฉันว่าฉันพอจะเข้าใจแล้ว”

หากต้องการแสดงละครให้ออกมาให้ดี วิธีที่ดีที่สุดก็คือการกลายเป็นบทบาทนั้น

ซูโย่วอี๋ก็คือฮั่วเสวียน ฮั่วเสวียนก็คือซูโย่วอี๋

แต่พูดก็ง่ายกว่าทำ ซูโย่วอี๋พยายามเชื่อมตัวละครกับความเป็นจริง แต่การแสดงก็ยังคงไม่น่าพอใจ

กลางดึก ซูโย่วอี๋ผัดกับข้าวสองอย่าง แต่กินคนเดียวก็แสนจะน่าเบื่อ จึงได้เรียกสุนัขจิ้งจอกให้ออกมากินเป็นเพื่อนเธอ

สุนัขจิ้งจอกเป็นเหมือนผู้ดูแลระบบ พูดตามความจริงมันเป็นหุ่นยนต์ แค่ฉลาดกว่านิดหน่อย ถึงไม่หิวแต่ก็สามารถกินข้าวได้ อีกทั้งสุนัขจิ้งจอกยังใช้ตะเกียบได้อย่างคล่องแคล่วมากด้วย

ซูโย่วอี๋มองเล็บยาว ๆ บนอุ้งเท้าของมันตาไม่กะพริบ “ฉันควรจะต้องหาเวลาช่วยนายเรื่องสุขอนามัยบ้างแล้ว”

สุนัขจิ้งจอกไม่สนใจ [ไม่จำเป็น ฉันมีฟังก์ชันการทำความสะอาดได้ในคลิกเดียว]

ซูโย่วอี๋กินข้าวไปนิดเดียวก็อิ่มแล้ว จึงนั่งอยู่ตรงนั้น มองดูสุนัขจิ้งจอกกินอย่างเอร็ดอร่อย “ละครไอดอลที่นายชอบดูก็ไม่เปล่าประโยชน์จริง ๆ ถือว่ายังมีทักษะอยู่บ้าง สามารถแสดงความคิดเห็นด้านการแสดงของฉันได้ดีเลยนะ”

สุนัขจิ้งจอกชูหางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ [นั่นมันแน่อยู่แล้ว]

ทันใดนั้นมันก็นึกบางอย่างออก และรีบกลับไปยังพื้นที่ของระบบ ทิ้งซูโย่วอี๋มองตะเกียบที่ตกลงบนพื้น “เจ้าจิ้งจอกเน่า นายทำอะไรน่ะ?”

[รอแป๊บนึง ฉันเพิ่งค้นพบปัญหาบางอย่าง]

เวลาผ่านไปสักพักมันก็ยังไม่ยอมออกมา ซูโย่วอี๋จึงเก็บถ้วยและตะเกียบไปล้าง

รอจนสุนัขจิ้งจอกออกมาอีกครั้ง มันมองโต๊ะที่สะอาดเรียบร้อยและพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ [ซู่จู่ ฉันยังกินไม่เสร็จเลยนะ]

“ฉันก็นึกว่านายไม่กินแล้ว”

[หึ] สุนัขจิ้งจอกยกจมูกขึ้น [ซู่จู่ ฉันเพิ่งหาของดีมาได้ชิ้นหนึ่งจากในระบบ แต่คุณกลับทำกับฉันแบบนี้ อย่ามาเสียใจที่หลังแล้วกัน]