ตอนที่ 251 วิถีแห่งฮ่องเต้ (2)
“เมื่อตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าเข้าใจมาโดยตลอดว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของข้ารักใคร่ปรองดองกันดี และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แม้ว่ารอบกายของคนผู้นั้นจะมีสาวงามมากมายรายล้อมราวกับกลุ่มก้อนเมฆ แต่เขาก็ดีกับเสด็จแม่ของข้ามาก ปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพและให้เกียรติ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าภายใต้รอยยิ้มและการปฏิบัติที่อ่อนโยนนั้นซ่อนคมมีดที่แหลมคมและโหดร้ายไว้เพียงใด ต่อมาเสด็จแม่ของข้าสิ้นพระชนม์ลง เขาถึงได้ค่อยๆ เผยสันดานที่แท้จริงให้เห็น เริ่มจากการใส่ไคล้ตระกูลฝั่งของเสด็จแม่ จนทำให้ตระกูลที่เคยรุ่งโรจน์และรุ่งเรืองบัดนี้เหลือผู้สืบทอดเพียงไม่กี่คนแล้ว จากนั้นก็ระเห็จพวกเขาไปยังชายแดน ส่วนตัวของข้าก็ถูกกักขังให้อยู่แต่ภายในตำหนัก แล้วค่อยๆ กรอกยาพิษให้ข้ากินทุกวัน ข้าเกลียด หัวใจของข้าเกลียดชังคนพวกนั้นจนแทบอยากจะฆ่าให้ตาย จนข้าเผลอคิดไปว่าความเกลียดชังที่เปี่ยมล้นหัวใจดวงนี้ ได้กลบฝังคุณธรรมและความเมตตาที่เคยมีทั้งหมดให้เลือนหายไปแล้ว อย่างไรก็ตามตอนนี้ข้าตาสว่างแล้ว ตัวข้าก็ยังคงโง่เหมือนเดิมไม่ต่างจากเมื่อก่อน หากเจ้าจะด่าว่าข้าตอนนี้ ข้าก็ขอยอมรับและจะไม่ตอบโต้หรือเถียงเจ้ากลับเลย ข้าเองก็ติดหนี้ชีวิตเจ้ามากมาย มากเกินกว่าที่ชาติภพนี้จะชดใช้ให้เจ้าได้หมด ดังนั้นแล้ว อู๋เสีย บอกมาเถิด ไม่ว่าต่อจากนี้เจ้าจะให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะเชื่อฟังเจ้าทุกคำ ไม่คัดค้านและจะไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ อีกแล้ว” มั่วเฉี่ยนยวนคิดตกแล้ว เขาตาสว่างแล้วจริงๆ การเมตตาต่อศัตรูก็เท่ากับการโหดร้ายต่อตัวเอง!
เขาเบื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความโหดร้ายเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว เขาไม่อยากเป็นลูกแกะที่รอให้คนอื่นมาเชือด แล้วรอให้ใครบางคนมาช่วยเหลือเขาทุกครั้งที่เขาต้องเจอกับอันตรายอีกต่อไป
จนกระทั่งน้ำเสียงที่แหบพร่าของมั่วเฉี่ยนยวนพูดจบลงไป จวินอู๋เสียถึงได้ขยับริมฝีปากที่หนักดั่งทองคำของนางแล้วตอบกลับไปว่า
“ชีวิตของเจ้า ข้าไม่ต้องการ เจ้าคือฮ่องเต้ของรัฐชี ดังนั้นไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดของข้า”
มั่วเฉี่ยนยวนชะงักไป เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ลำคอที่แห้งผากของเขากลับไม่อนุญาตให้เขาเปล่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียว
“ภายใต้ผืนฟ้าในรัฐชีแห่งนี้ล้วนอยู่ในมือของเจ้า สิ่งที่เจ้าต้องทำคือไม่ใช่เชื่อฟังคำสั่งของใครสักคน แต่เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเป็นฮ่องเต้ที่แท้จริง! การที่เจ้าได้เผชิญหน้ากับสำนักชิงอวิ๋นในครั้งนี้ คงน่าจะพอให้บทเรียนอะไรกับเจ้าได้บ้างแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้ารู้ดีว่าจะต้องทำอะไรหรือว่าควรทำอย่างไรต่อไป เดือนหน้าข้าก็จะต้องออกเดินทางไกลแล้ว อย่างเร็วสามเดือนอย่างช้าก็ครึ่งปีแล้วข้าจะรีบกลับมา ข้าจะให้ไป๋อวิ๋นเซียนมาช่วยดูแลเจ้าอีกแรง ถึงนางจะเชื่อถือไม่ได้ แต่ทักษะทางการแพทย์ของนางก็ดีกว่าหมอหลวงประจำตัวของเจ้ามากมายนัก และข้าก็จะฝากยาชะลอพิษไว้ให้กับท่านอาเล็กของข้าด้วยชุดหนึ่ง แล้วจะให้สูตรยาถอนพิษกับเจ้าไว้ จงใช้มันเพื่อแลกเปลี่ยนและทำให้ไป๋อวิ๋นเซียนกลายมาเป็นคนที่สามารถใช้งานได้จริงของเจ้าเสีย นี่เป็นภารกิจที่ข้าฝากให้เจ้าไว้ก่อนไป” จวินอู๋เสียพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเฉยชา
นางล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าไป๋อวิ๋นเซียนไปนานแล้ว ประการแรกนางขี้เกียจเกินกว่าจะเคลื่อนไหวหรือลงมือทำอะไรเอง ประการที่สองนางไม่สามารถอยู่ในรัฐชีตลอดไปได้ ทักษะทางการแพทย์ของรัฐชี กล่าวอย่างเกรงใจหน่อยก็คือไม่อยู่ในสายตาของนางจริงๆ ถึงแม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของไป๋อวิ๋นเซียนเมื่อเทียบกับนางแล้วไม่ควรค่าแม้แต่ที่จะกล่าวถึง แต่ไม่ใช่กับบรรดาหมอทั้งหลายในรัฐชีแห่งนี้ แค่ไป๋อวิ๋นเซียนเพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะพวกเขาทั้งรัฐได้!
อาจกล่าวได้ว่าการเก็บไป๋อวิ๋นเซียนไว้ก็เปรียบเสมือนดาบสองคม มั่วเฉี่ยนยวนจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เพื่อปรับคมดาบนั้นให้หันสู่ภายนอกไม่ใช่หันเข้าหาตัวเอง นี่คือวิถีสู่การเป็นฮ่องเต้ คือเครื่องมือที่จะพิสูจน์คุณสมบัติในการเป็นฮ่องเต้ของเขาว่าเขาเหมาะสมและคู่ควรหรือไม่
ฮ่องเต้ของรัฐชีใช้แซ่มั่ว ไม่ใช่แซ่จวิน!
หลังจากพูดสิ่งที่สมควรพูดออกไปแล้ว เน้นย้ำกับเขาแล้วถึงสิ่งที่สมควรต้องกระทำ จวินอู๋เสียก็เริ่มลงมือตรวจสอบอาการของมั่วเฉี่ยนยวน ในใจของมั่วเฉี่ยนยวนบัดนี้มีเป็นพันเป็นหมื่นคำพูดที่เขาต้องการจะพูดกับจวินอู๋เสีย เขาอยากถามนางว่านางจะไปที่ไหนหรือและไปทำอะไรบ้าง แต่เมื่อเห็นการแสดงออกของจวินอู๋เสียที่เย็นชา เขาก็รีบกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไปและปิดปากเงียบสนิท
จวินอู๋เสียต้องการให้เขาเรียนรู้ที่จะยืนหยัดและยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง แล้วเขาจะทรยศต่อความไว้ใจของนางได้อย่างไร
ในครั้งนี้ร่างกายของมั่วเฉี่ยนยวนได้รับบาดเจ็บสาหัสมากจริงๆ โชคยังดีที่ก่อนหน้านี้เขาได้กลืนเมล็ดบัวของบัวหิมะซังอวี้ลงท้องไปก่อนแล้ว ร่างกายของเขาจึงได้รับการปกป้องไว้ส่วนหนึ่ง ประกอบกับภายหลังจวินอู๋เสียเข้ามาและได้ยัดโอสถวิเศษล้ำค่าจำนวนมากใส่ปากของมั่วเฉี่ยนยวนไปอย่างไม่เสียดาย ชีวิตน้อยๆ นี้ของเขาจึงนับว่าเก็บกลับมาได้แล้ว เพียงแต่แม้โอสถวิเศษที่เขาได้รับไปจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ต่อการฟื้นตัว แต่ความเจ็บปวดและทรมานที่เกิดขึ้นระหว่างการรักษานั้นเป็นสิ่งที่เขาจะต้องแบกรับอย่างเต็มที่และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เนื่องจากมั่วเฉี่ยนยวนล้มป่วย บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายจึงไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมขุนนางยามเช้าที่ท้องพระโรง ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงมีเวลาว่างไปกระจุกตัวกันอยู่ที่สถานที่ใหม่ นั่นก็คือ…จวนหลินอ๋อง!
นับตั้งแต่จวินอู๋เสียเผยวีรกรรมกล้าหาญบุกเข้าไปช่วยมั่วเฉี่ยนยวนกลางท้องพระโรงในวันนั้น ชื่อเสียงของนางก็ดังกระฉ่อน เหล่าขุนนางหัวโบราณที่ดื้อรั้นและคอยตั้งแง่กับนาง ก็เริ่มที่จะมองจวินอู๋เสียไปในทางที่ดีขึ้นและคิดว่าจวนหลินอ๋องไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาอีกต่อไป ดังนั้นในแต่ละวันพวกเขาจึงมาเยี่ยมที่จวนหลินอ๋องไม่ขาดสาย กระทั่งขุนนางบางคนที่เคยออกห่างเพื่อหลีกเลี่ยงความหวาดระแวงของอดีตฮ่องเต้ ก็ยังไม่วายมาที่จวนหลินอ๋องอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง จนจวนหลินอ๋องบัดนี้กลายเป็นสถานที่รับรองขุนนางประจำอันดับสองรองจากท้องพระโรงของฮ่องเต้ไปแล้ว!
ตอนที่ 252 เตรียมความพร้อม
ในช่วงไม่กี่วันมานี้จวินเสี่ยนมีเรื่องให้ต้องปวดหัวอย่างหนัก เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาที่จวนหลินอ๋องมีความสนิทสนมที่เกินพอดีกับขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักจนเป็นเหตุให้ฮ่องเต้เกิดความหวาดระแวง จึงเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วที่จวนหลินอ๋องแห่งนี้ไม่ได้เปิดรับแขกเลย
ไม่ได้ติดต่อกับแม่ทัพนายกองคนอื่นๆ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย ไม่ติดต่อกับเสนาบดีขุนนางฝ่ายบุ๋นทั้งหลายก็เพราะฝีปากพูดสู้เขาไม่ได้…
อย่างไรก็ตามเวลานี้พอมาเจอกับบรรดาทัพขุนนางบุ๋นบู๊ที่ดาหน้าเข้ามาสร้างความสัมพันธ์ด้วย หลินอ๋องอย่างเขาก็แทบกุมขมับ ศีรษะเต้นตุบๆ เกิดอาการวิงเวียนขึ้นมา ราวกับว่าพวกเขานัดกันไว้แล้วอย่างไรอย่างนั้น ทุกวันต้องมารายงานตัวที่จวนหลินอ๋องวันละครั้งหนึ่ง แต่ละคนใบหน้ายิ้มแย้มเบ่งบานราวกับดอกเบญจมาศ เพิ่งพูดคุยกันได้ไม่กี่คำก็เริ่มเบี่ยงประเด็นไปที่จวินอู๋เสียหลานสาวของเขาทุกครั้งไป!
ในช่วงแรกๆ จวินเสี่ยนก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก แต่พอนานวันเข้าพวกเขายังเอาแต่พูดไม่หยุด จวินเสี่ยนก็เริ่มอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาบ้างแล้ว
ตาแก่พวกนี้กล้าดีอย่างไรถึงมาหมายตาหลานสาวของเขา อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้คงได้อาจหาญถึงขั้นยกขบวนมาขอหมั้นหมายอู๋เสียของเขาถึงที่หน้าประตูจวนเลยกระมัง!
ชื่อเสียงก่อนหน้านี้ของจวินอู๋เสียในรัฐชีนั้น สามารถพูดได้ว่าเลวร้ายมากจนไม่อาจเปลี่ยนแปลงมันได้อีก ไม่ต้องพูดถึงความป่าเถื่อนดื้อรั้นของนาง แค่เหตุการณ์ในอดีตระหว่างนางกับองค์ชายรองมั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่นางติดตามระรานเขาไปทั่ว ก็เพียงพอแล้วให้เหล่าขุนนางทั้งหลายเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจในความไร้ยางอายของเด็กสาว แม้แต่ตอนที่หลังองค์รัชทายาทมั่วเฉี่ยนยวนขึ้นครองบัลลังก์แล้วชื่นชมนางไม่ขาดปาก ภาพลักษณ์ในอดีตของนางก็ยังคงติดอยู่ในใจของเหล่าขุนนางเฒ่าเหล่านี้ไม่อาจลบเลือนให้หายไปได้ง่ายๆ
ทว่า…ตอนนี้ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว!
จวินอู๋เสียผู้กล้าหาญและน่ายกย่องได้บุกเข้าไปในท้องพระโรงเพื่อช่วยเหลือฮ่องเต้แห่งรัฐชีออกมา เรื่องนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง ทำให้นางได้รับการยกย่องจากทั้งขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊อย่างหมดใจ ชื่อเสียงที่เลวร้ายของนางพริบตาจึงพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เด็กสาวผู้นี้ไม่เพียงแต่จะมีใบหน้าที่งดงาม แต่ยังกล้าหาญและเฉลียวฉลาด เป็นตัวเลือกลูกสะใภ้ที่ไม่เลวเลยจริงๆ!
ดูสิ ไม่ใช่ว่าตาแก่ทั้งหลายที่มีลูกชายหรือว่าหลานชายเริ่มที่จะเล็งมาที่จวินอู๋เสียแล้วหรอกหรือ สายตาของพวกเขาเหล่านั้นราวกับว่ามองเห็นนางเป็นดอกไม้หยกที่ล้ำค่า หากว่าไม่ใช่เพราะอำนาจของจวนหลินอ๋องยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม คงได้มีคนถีบประตูบุกเข้ามาลักพาตัวนางไปแต่งงานกับบุตรหลานของพวกเขาแล้วจริงๆ
แต่ตอนนี้ติดอยู่ตรงที่หน้าประตูจวนหลินอ๋องมีองครักษ์สวมชุดหุ้มเกราะเหล็กของกองทัพรุ่ยหลินยืนรักษาการณ์อยู่ ทำให้ความคิดที่จะทำเรื่องเลอะเลือนเหล่านั้นถูกปัดให้ตกไป เหล่าขุนนางจึงหันมาเปลี่ยนวิธีการโดยเคลื่อนไหวด้วยการใช้คำพูดแทน ทางหนึ่งก็โอ้อวดเรื่องลูกๆ หรือหลานๆ ของพวกเขาต่อหน้าจวินเสี่ยน พยายามยกการมีอยู่ของพวกเขาต่อหน้าจวินเสี่ยนให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสขัดขาคู่แข่งที่จะมาขโมยลูกสะใภ้หลานสะใภ้ของพวกเขาไป โดยยกข้อบกพร่องที่ไม่ดีขึ้นมาทับถมกัน
จวนหลินอ๋องกลายเป็นครื้นเครงและมีชีวิตชีวาในรอบสิบกว่าปี
จวินเสี่ยนแทบจะหมดแรงเพราะเขาต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มตลอดทั้งวัน เมื่อเหล่าขุนนางดาหน้าเข้ามาแสดงท่าทีสนิทสนมด้วยไม่หยุด จวินเสี่ยนก็ให้หัวเราะแห้งๆ ในใจ จะให้เขาระเบิดโทสะไล่ตะเพิดคนพวกนั้นกลับไปก็คงไม่ได้กระมัง จึงทำได้แต่ต้องวางท่าสง่างามอดทนนั่งฟังตาแก่เจ้าเล่ห์พวกนี้พยายามงัดอุบายเพื่อมาพรากหลานสาวสุดที่รักไปจากอกของเขา
เกี่ยวกับเรื่องนี้จวินอู๋เสียไม่ได้รู้เรื่องเลยสักนิด เนื่องจากทุกคนถูกจวินเสี่ยนยับยั้งไว้ที่ด้านหน้าเรือนรับรอง ผู้ใดก็ตามที่อาจหาญก้าวล้ำเข้ามายังเรือนด้านใน ล้วนถูกหลงฉีที่ยืนเฝ้าประตูกลางอยู่จับโยนออกไปทั้งสิ้น
ยังมีเวลาอีกยี่สิบสามวันก่อนที่สำนักชิงอวิ๋นจะเปิดรับสมัครศิษย์ผู้มีความสามารถกลุ่มใหม่เข้าไป ในช่วงเวลานี้จวินอู๋เสียว่างมากไม่มีอะไรทำ สิ่งเดียวที่นางต้องทำก็คือเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางไกลของนาง
ก่อนหน้าที่นางจะออกจากรัฐชี นางต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าโอสถวิเศษและเม็ดยาอื่นๆ ที่สำรองเผื่อไว้ใช้กับจวนหลินอ๋องและกองทัพรุ่ยหลินเพียงพอหรือไม่ อีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้นางต้องปวดหัวก็คือวิธีการในการยกระดับพลังวิญญาณของนาง
ต้องรู้ก่อนว่าวิธีการบ่มเพาะพลังของนางนั้น อิงจากตำราโบราณที่ได้บันทึกไว้ ก็คือต้องปลูกบัวหิมะซังอวี้แล้วค่อยๆ ดูดซับพลังวิญญาณของมันขณะที่มันเติบโตไปจนถึงมันเบ่งบานจนสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามการจะเพาะปลูกบัวหิมะซังอวี้ไม่ใช่ว่าจะปลูกที่ไหนหรือใช้อะไรปลูกก็ได้ แต่จำเป็นต้องใช้น้ำพุสวรรค์เทียนเฉวียนที่นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันมีอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ ยังดีที่มียอดสุราธาราหยกของมั่วเฉี่ยนยวนสามารถใช้ทดแทนกันได้ แต่ทว่ายอดสุราธาราหยกก็ล้ำค่าเหลือเกิน แถมยังมีปริมาณน้อยมากจนน่าสงสาร อีกหนึ่งปัญหาก็คือจะให้นางกระเตงอ่างบัว ถือไหสุราไปเข้าร่วมการทดสอบศิษย์ด้วยคงไม่ได้กระมัง
ในเมื่อไม่สามารถนำทั้งสองสิ่งติดตัวไปด้วยได้ นั่นก็หมายความว่าในช่วงระยะเวลาหนึ่งระดับพลังของนางจะหยุดชะงักลงเนื่องจากไม่ได้ฝึกฝน จวินอู๋เสียรู้สึกรับไม่ได้อย่างแรงที่ต้องเสียเวลาล้ำค่าหลายเดือนนี้ไปเปล่าๆ ในสำนักชิงอวิ๋น
นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ!
ด้วยความสิ้นหวังและจนใจ จวินอู๋เสียทำได้เพียงค้นหาวิธีการเพาะปลูกแบบอื่นจากตำราโบราณอย่างบ้าคลั่งแทน ด้วยหวังว่าจะมีวิธีอื่นที่สามารถช่วยให้นางบ่มเพาะพลังวิญญาณของตัวเองได้
จากตำราโบราณที่บันทึกไว้ วิธีการเพาะปลูกพืชแต่ละอย่างนั้นจวินอู๋เสียไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลย แต่นั่นก็จริง วิธีการบ่มเพาะพลังแบบที่สองจะหาได้ง่ายๆ ได้อย่างไร
เจ็ดวันหลังจากที่ฉินอวี่เยียนถูกขังไว้ในคุกใต้ดินของวังหลวง มั่วเฉี่ยนยวนก็ส่งข้อความไปหาจวินอู๋เสียบอกข่าวเรื่องการตายของฉินอวี่เยียน
น่ากลัวว่าก่อนตายฉินอวี่เยียนก็ยังคงทำใจเชื่อไม่ได้กระมังว่าชีวิตของคุณหนูใหญ่แห่งสำนักชิงอวิ๋นที่ยิ่งใหญ่อย่างนาง จะต้องมาจบสิ้นลงในคุกใต้ดินที่แสนสกปรกของรัฐเล็กๆ ที่ไม่เคยมีใครเห็นอยู่ในสายตาแห่งนี้