ตอนที่ 249 แผนการของจวินอู๋เสีย (3)
หลังจากได้รับคำสั่งจากจวินอู๋เสีย ในที่สุดไป๋อวิ๋นเซียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนนี้นางตัดความสัมพันธ์ใดๆ กับทางสำนักชิงอวิ๋นเรียบร้อยแล้ว ด้วยฉากจบของฉินอวี่เยียนและคนอื่นๆ คนที่มีสมองสักหน่อยก็น่าจะพอเดาได้ว่าไป๋อวิ๋นเซียนต้องสมรู้ร่วมคิดกับจวินอู๋เสียอย่างแน่นอน นางไม่มีทางกลับไปที่สำนักชิงอวิ๋นได้อีกต่อไป
เป็นเวลาหลายวันทีเดียวที่ไป๋อวิ๋นเซียนเฝ้าสังเกตอุปนิสัยและรูปแบบด้านการจัดการเรื่องราวของจวินอู๋เสียอย่างจริงจัง นางพบว่าตราบเท่าที่นางไม่ตั้งตนเป็นศัตรูหรือเข้าไปยุแหย่หาเรื่องอีกฝ่ายก่อน นางก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย
ยกเว้นเรื่องพิษที่อยู่ในร่างของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับ อาหารการกิน และที่อยู่อาศัย วังหลวงก็มีทุกอย่างที่ไป๋อวิ๋นเซียนต้องการ ไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องแม้แต่อย่างเดียว
ในเมื่อไม่มีทางให้ถอยกลับ สภาพ ณ ปัจจุบันของนางนี้ก็เป็นที่น่าพอใจมากแล้ว
“สำนักชิงอวิ๋นมียอดเขาอยู่ทั้งสิ้นสิบสองลูก ยอดเขาหลักที่สูงที่สุดนั้นถูกครอบครองโดยเจ้าสำนักชิงอวิ๋น ส่วนอีกสิบเอ็ดยอดเขาที่เหลือถูกแบ่งให้กับผู้อาวุโสคนอื่นๆ ควบคุมดูแลไป โดยแต่ละคนก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่แตกต่างกันออกไป ในหมู่พวกเขาผู้อาวุโสสูงสุดแห่งยอดเขาเทียมเมฆานั้นมีอายุน้อยที่สุด และก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านเจ้าสำนักชิงอวิ๋นคนก่อนด้วย ตำแหน่งเจ้าสำนักชิงอวิ๋นในปัจจุบัน มิได้สืบทอดผ่านทางสายเลือด แต่เขาคือศิษย์เอกของท่านเจ้าสำนักคนก่อน ไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรและตำแหน่งเจ้าสำนักเหตุใดถึงมาตกอยู่ในมือของเขา แต่เป็นที่รู้กันดีในสำนักชิงอวิ๋นว่าผู้อาวุโสสูงสุดกับเจ้าสำนักคนปัจจุบันไม่ถูกกัน และผู้อาวุโสสูงสุดก็มักจะรู้สึกขัดหูขัดตาและไม่ยอมให้ความร่วมมือใดๆ กับเจ้าสำนักชิงอวิ๋นคนปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเนื่องจากอิทธิพลของท่านเจ้าสำนักคนก่อนยังคงอยู่ แม้จะไม่พอใจในตัวของผู้อาวุโสสูงสุด แต่ท่านเจ้าสำนักก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องกัดฟันทน ทว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนว่าสถานการณ์ภายในสำนักชิงอวิ๋นจะเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว อิทธิพลของท่านเจ้าสำนักคนก่อนเสื่อมถอยลงและอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะตัวท่านเจ้าสำนักเองด้วยที่ลอบจัดการขจัดพวกเขาออกไป ฐานะและจุดยืนของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งยอดเขาเทียมเมฆาจึงค่อนข้างกระอักกระอ่วนและเป็นที่น่ากังวลใจ หากคุณหนูใหญ่เจ้าคิดจะไปที่สำนักชิงอวิ๋นจริงๆ ข้าก็ขอแนะนำให้เจ้าเริ่มลงมือจากยอดเขาเทียมเมฆาก่อนเห็นจะเป็นการสะดวกที่สุด ชื่อของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งยอดเขาเทียมเมฆานั้นก็คือมู่เฉิน ในทุกๆ เดือนสำนักชิงอวิ๋นจะรับคนที่มีพรสวรรค์เข้าไปที่ยอดเขาต่างๆ และด้วยความรู้ความสามารถในด้านการแพทย์และการปรุงยาของคุณหนูใหญ่แล้ว การจะผ่านการสอบคัดเลือกเข้าไปนั้นถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง” ในเมื่อมีแผนลี้ภัยย้ายข้างมาอยู่ฝั่งจวินอู๋เสียแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไป๋อวิ๋นเซียนรู้ก็ถูกบอกเล่าออกไปอย่างหมดเปลือกไม่มีปิดบังไว้อีก ในทางกลับกันนางดูเหมือนจะสนับสนุนให้จวินอู๋เสียรีบไปถล่มอดีตเพื่อนร่วมสำนักที่เคยร่วมกินข้าวหม้อเดียวกันให้ราบเป็นหน้ากลอง ตัวเองจะได้เลิกกังวลถึงการแก้แค้นของสำนักชิงอวิ๋นในอนาคตเสียที
จวินอู๋เสียพยักหน้าเล็กน้อย ค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่ไป๋อวิ๋นเซียนทำมากทีเดียว
คนที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนนี่แหละที่จับจุดได้ง่ายที่สุด ตราบเท่าที่เจ้ากุมประตูชีวิตของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ ก็จะสามารถใช้งานอีกฝ่ายให้เกิดประโยชน์ได้อย่างมหาศาล
จวินอู๋เสียเก็บไป๋อวิ๋นเซียนไว้แต่แรก ก็เพื่อใช้จัดการกับสำนักชิงอวิ๋นโดยเฉพาะ
เมื่อมองเห็นถึงความพึงพอใจของจวินอู๋เสีย ไป๋อวิ๋นเซียนก็คล้ายกับได้รับกำลังใจอย่างมาก ทุกซอกทุกมุมของสำนักชิงอวิ๋นทั้งภายนอกและภายในล้วนถูกนางตีแผ่ออกมาขายให้กับจวินอู๋เสียจนหมดสิ้น
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักชิงอวิ๋นยามนี้ก็คือเจ้าสำนักชิงอวิ๋นคนปัจจุบันที่มีชื่อว่าฉินเย่ว์ พลังวิญญาณของเขานั้นมาถึงขอบเขตของขั้นสีครามแล้ว นอกจากนี้หากไม่นับศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นจริงๆ พวกเขายังเชิญผู้เชี่ยวชาญหลายคนจากภายนอกให้มาพำนักที่สำนักชิงอวิ๋นเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย คนเหล่านี้ล้วนมีพลังวิญญาณอยู่ในขั้นสีคราม พวกเขามักจะหลบซ่อนตัวอยู่และไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นบ่อยนัก นอกเสียจากว่าจะมีใครกล้ามาสร้างปัญหาขึ้นในสำนักชิงอวิ๋น พวกเขาถึงจะยอมออกโรงจัดการปัญหาและเข่นฆ่าศัตรูให้
ประตูหุบเขาของสำนักชิงอวิ๋นจะถูกเปิดออกทุกเดือนเดือนละครั้งเพื่อคัดเลือกศิษย์ที่มีพรสวรรค์เข้าไป ใครก็ตามที่มีแววหรือมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม จะถูกคัดเลือกให้เข้าไปเป็นศิษย์สายนอกของสำนักก่อนเพื่อศึกษาวิชาทางการแพทย์ เว้นแต่ว่าคนผู้นั้นจะมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นมากจริงๆ ถึงจะถูกรับเข้าไปเป็นศิษย์สายในหรือศิษย์สายตรงของพวกผู้อาวุโสท่านใดท่านหนึ่งจากสิบสองยอดเขาหรือแม้กระทั่งตัวของท่านเจ้าสำนักเอง หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็จะสามารถทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ในก้าวเดียว และเข้าสู่จุดศูนย์กลางของสำนักเพื่อฝึกฝนได้โดยตรง
จวินอู๋เสียไม่ได้วางแผนที่จะเสียเวลาไปกับสำนักชิงอวิ๋นอย่างเปล่าประโยชน์ถึงหนึ่งปี แค่สามเดือนก็เพียงพอแล้วที่จะลบสำนักชิงอวิ๋นให้หายไปจากโลกใบนี้!
“ทุกวันที่เท่าไหร่ของเดือนหรือ” จวินอู๋เสียถาม
ไป๋อวิ๋นเซียนตอบไปอย่างไม่ลังเลเลยว่า “ทุกวันที่สิบห้าของเดือน นั่นคือวันที่พวกเขาจะเปิดรับศิษย์ผู้มีพรสวรรค์กลุ่มใหม่”
จวินอู๋เสียพยักหน้าเล็กน้อย
ทันใดนั้นไป๋อวิ๋นเซียนก็พลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ นางเปลี่ยนท่าทีแล้วพูดกับจวินอู๋เสียด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจะขอให้เจ้าจำไว้ให้ขึ้นใจ”
จวินอู๋เสียขมวดคิ้วสงสัยทันที
“ในบรรดายอดเขาทั้งสิบสองยอดนั้น มียอดเขาหนึ่งที่มีชื่อว่ายอดเขาเร้นเมฆา ที่ยอดเขานี้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ชื่อว่าเคอฉังจวีดูแลอยู่ แม้ต่อโลกภายนอกพวกเขาจะประกาศออกไปว่าพวกเขาศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสมุนไพร แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องยาพิษต่างหาก เกณฑ์ในการรับลูกศิษย์เข้าสู่ยอดเขานั้นก็ต่ำที่สุดในบรรดายอดเขาทั้งมวล อีกทั้งยังรับลูกศิษย์จำนวนมากที่สุดด้วย อย่างไรก็ตามแต่…อัตราการรอดของลูกศิษย์ที่เข้าไปนั้น…นอกจากนี้แล้วยังมีลูกศิษย์หายตัวไปอย่างปริศนาเป็นประจำ คนพวกนั้นปัจจุบันเป็นหรือตายล้วนไม่มีใครรู้” ไป๋อวิ๋นเซียนขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าว
ตอนที่ 250 วิถีแห่งฮ่องเต้ (1)
“ดังนั้นคุณหนูใหญ่หากเจ้าไปที่สำนักชิงอวิ๋นแล้ว โปรดจำไว้ว่าอย่าได้ไปที่ยอดเขาเร้นเมฆาเป็นอันขาด!” ไป๋อวิ๋นเซียนเตือนอย่างระมัดระวัง ลูกศิษย์หลายคนในสำนักชิงอวิ๋นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่รู้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว ทว่าความเป็นไปได้อย่างหลังนั้นมีสูงมาก นี่คือสิ่งที่บุคคลภายนอกสำนักไม่เคยรับรู้ นอกจากนี้หลายครั้งหลายคราเห็นได้ชัดว่าบางคนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมกับสำนักชิงอวิ๋น แต่กลับเข้าตาผู้อาวุโสเคอฉังจวีอย่างน่าประหลาด และถูกพาตัวกลับไปที่ยอดเขาเร้นเมฆาด้วย คนเหล่านั้นพวกเขาคิดว่าตัวเองโชคดีแล้วและนี่ก็เป็นโอกาสอันดีของพวกเขา แต่จริงๆ พวกเขาไม่รู้เลยว่ากำลังเดินหน้าเข้าสู่ประตูแห่งความตาย
“ที่มาที่ไปของผู้อาวุโสเคอฉังจวีนั้นเป็นมาอย่างไรกัน” จวินอู๋เสียไม่เคยคิดว่าสำนักชิงอวิ๋นเป็นสถานที่ที่ดีที่ตั้งใจสั่งสอนลูกศิษย์อย่างซื่อตรงอะไรทำนองนี้อยู่แล้ว ดูจากไป๋อวิ๋นเซียนเป็นตัวอย่าง นางที่ก้าวออกมาจากสำนักชิงอวิ๋นนั้นมีอุปนิสัยและการวางตัวเช่นไร ยังมีคุณหนูใหญ่ฉินอวี่เยียนลูกสาวเจ้าสำนักชิงอวิ๋นนั่นอีกคน มีแต่ตัวดีๆ ทั้งนั้น ดังนั้นเจ้าสำนักชิงอวิ๋นก็ไม่น่าจะใช่คนดีอะไรนักหรอก
“เคอฉังจวีแต่เดิมไม่ใช่สมาชิกของสำนักชิงอวิ๋นจริงๆ หรอกนะ เขาเข้ามาหลังจากที่ฉินเย่ว์เจ้าสำนักชิงอวิ๋นคนปัจจุบันขึ้นรับตำแหน่งแล้ว และถูกวางตัวให้เป็นผู้อาวุโสของยอดเขาเร้นเมฆาภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี” ไป๋อวิ๋นเซียนตอบจวินอู๋เสียไปตรงๆ “ข้าไม่รู้ว่าจริงๆ ว่าเคอฉังจวีนั้นมีพื้นเพมาจากที่ไหนหรือว่ามีสถานะเดิมเช่นไร แต่เขาเป็นคนที่ลึกลับมาก นิสัยก็เงียบขรึม น้อยนักที่จะออกมาเดินปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าลูกศิษย์ ยอดเขาเร้นเมฆานั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามที่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดบุกรุกเข้าไป แม้แต่ลูกศิษย์จากยอดเขาอื่นของสำนักชิงอวิ๋นก็ยังถูกห้ามไม้ให้เข้า กระทั่งตัวท่านเจ้าสำนักเองหากจะเข้าไปที่นั่นเขาก็ยังต้องแจ้งให้เคอฉังจวีทราบล่วงหน้าก่อนสักคำถึงจะเข้าไปได้”
จวินอู๋เสียจดจำคนผู้นี้ไว้ในใจทันที หลังจากรับฟังเรื่องราวภายในของสำนักชิงอวิ๋นจากปากไป๋อวิ๋นเซียนต่ออีกสักพัก ถึงบอกให้ไป๋อวิ๋นเซียนถอยออกไปก่อน แล้วมุ่งหน้าไปที่ตำหนักที่ประทับของมั่วเฉี่ยนยวน
หลังจากผล็อยหลับหมดสติไปทั้งคืน มั่วเฉี่ยนยวนก็ตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไป แต่ความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกายของเขาก็ทำให้เขารู้สึกทรมานอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าของเขาถูกผ้าพันแผลพันเอาไว้แน่นเหมือนกับก้อนบ๊ะจ่าง แม้แต่จะลุกขึ้นก็ยังเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน
เมื่อจวินอู๋เสียเดินเข้าไปในห้อง นางก็เห็นทหารองครักษ์สองคนของวังหลวงที่นางเรียกให้เข้ามาในห้องเมื่อวานนี้ยืนอยู่ข้างแท่นบรรทมมังกร คนหนึ่งถือกาน้ำชาอยู่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งก็ถือจานที่เต็มไปด้วยขวดยา ใบหน้าของพวกเขาขาวซีด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้หลับมาทั้งคืนแล้ว
“คุณหนูจวิน” ทหารองครักษ์ทั้งสองคนตาเป็นประกายเมื่อเห็นจวินอู๋เสีย พวกเขารีบคุกเข่าลงทำความเคารพนางทันที
“ออกไปได้แล้ว” จวินอู๋เสียกล่าวอย่างเย็นชา
ทหารองครักษ์ทั้งสองคนก็ไม่ยืดเยื้อต่อไปรีบออกไปทันที แต่ก็ยังไม่วายวางของที่อยู่ในมือไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อนออกไปจากห้อง
“เจ้ามาแล้ว…” มั่วเฉี่ยนยวนเคลื่อนไหวยังไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยับคอแล้วปรายตามองไปจวินอู๋เสียเท่านั้น
“สมองเจ้าใช้การได้ดีหรือยังเล่า” จวินอู๋เสียไม่ได้ตรวจสอบดูบาดแผลของมั่วเฉี่ยนยวนทันที แต่นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนของเขาอย่างไม่รีบร้อน
มั่วเฉี่ยนยวนยิ้มอย่างขมขื่น แต่เขากลับทำได้เพียงกระตุกบาดแผลบนใบหน้าเบาๆ ส่งเป็นคำตอบให้กับนางเท่านั้น เพราะถ้าหากเขาเคลื่อนไหวร่างกายไปมากกว่านี้ รอยยิ้มบนใบหน้าที่ยกยิ้มขึ้นอย่างยากลำบากคงได้เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวแทนเนื่องจากความเจ็บปวด
“ข้าคิดตกแล้ว และก็เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างดีแล้ว เจ้าคงไม่มาถามหาความรับผิดชอบกับข้าในเวลาเช่นนี้ใช่ไหม” หากเขาไม่พยายามเกลี้ยกล่อมจวินอู๋เสียในเวลานั้น เขาก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนต้องโทษเขาที่ไร้เดียงสาและมองคนไม่ออกเอง เพ้อฝันไปว่าสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าจะยึดถือความถูกต้องและมีเหตุผล ทว่ากลับไม่เคยคิดเลยว่าการกระทำของพวกเขานั้นจะเหมือนกับเดรัจฉานก็ไม่ปาน ทั้งไร้ความเป็นมนุษย์และไร้ซึ่งความเมตตาปรานี
จวินอู๋เสียไม่ได้ตอบเขา มั่วเฉี่ยนยวนจึงทำได้เพียงพร่ำพรรณนาต่อไป
“ข้ามันโง่เอง! ไม่อย่างนั้นคงไม่ลงเอยด้วยสภาพแบบนี้ แถมยังต้องให้เจ้ามาช่วยข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อสมัยที่ข้ายังเด็ก เพราะเสด็จแม่ของข้าสั่งสอนข้าว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นดี แม้แต่คนที่เลวทรามต่ำช้าก็ยังมีด้านที่ดีในหัวใจของพวกเขา หากเราใช้ใจแลกใจและปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความจริงใจ พวกเราก็จะได้ความจริงใจตอบกลับมา ข้ายึดถือในสิ่งที่นางพูดมาตลอด และคิดว่าสิ่งที่นางพูดนั้นถูกต้องแล้ว แต่เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ข้าตาสว่าง คิดๆ ดูแล้วบางดีเสด็จแม่ของข้าเองก็อาจจะคิดผิดมาตั้งแต่ต้น นางปฏิบัติต่อบุรุษผู้นั้นอย่างดี พยายามข่มหัวใจที่อิจฉาริษยาเพื่อให้เขารับนางสนมจำนวนมากเข้ามาเติมเต็มวังหลังทั้งหกตำหนักของเขา ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเชยชมเชิดชูผู้ใด ก็ยิ้มรับเสมอมาและไม่เคยทำร้ายสนมนางใด นางยังช่วยบุรุษผู้นั้นดูแลพวกนาง สนับสนุนเขาเพื่อให้เป็นฮ่องเต้ที่เหมาะสมและสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงคำโกหกที่หอมหวาน เป็นวาทศิลป์ที่เขาใช้หลอกล่อชักจูงนางเพื่อให้นางคล้อยตามเท่านั้น น่ากลัวว่าขณะที่นางสิ้นพระชนม์ไป นางคงไม่เคยคิดฝันว่าชีวิตของนางและครอบครัวของนางทั้งหมดจะถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของคนข้างหมอน!” มั่วเฉี่ยนยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ไม่รู้ว่าในคำพูดที่พูดออกมาเหล่านี้แฝงความเจ็บปวดไว้มากน้อยเพียงใด