บทที่ 133 ชะตาชีวิตของอาใหญ่เปลี่ยนไปแล้ว

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 133 ชะตาชีวิตของอาใหญ่เปลี่ยนไปแล้ว

“แม่คะ แม่ว่าเสี่ยวเถียนได้นิสัยใครมาคะ? พี่น้องบ้านเราไม่มีใครเป็นแบบนี้เลยนะคะ!” ซูหม่านซิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม

ปากหวานแบบนี้เลี่ยนจะตายอยู่แล้ว!

“สาวน้อยคนนี้ปากหวานจริง ๆ อนาคตไม่เสียเปรียบแน่ ๆ!” คุณย่าซูมองหลานสาวด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วพูดอย่างภาคภูมิใจ

ซูหม่านซิ่วรู้สึกว่าประโยคนี้ไม่ผิดเลย คนปากหวานมักจะโชคดีกว่าเสมอ

“แม่คะ ให้แม่มาดูแลฉันกับลูกน้อยแบบนี้ลำบากแม่แล้วค่ะ แต่เสี่ยวเถียนต้องอยู่บ้านอีกหลายวันจะเบื่อไหมคะ”

“ไม่ค่ะ เพราะมีน้องชายตัวน้อย!” ซูเสี่ยวเถียนรีบเกริ่น

“เสี่ยวเถียน หนูชอบน้องชายตัวน้อยไหม?” ซูหม่านซิ่วถาม

“ชอบค่ะ น้องชายตัวน้อยน่ารักแบบนี้ หนูชอบแน่นอน”

ซูเสี่ยวเถียนพูดด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเหตุผลที่เธอชอบน้องคนนี้เป็นเพราะชาติก่อนไม่มีเด็กออกมาให้เห็นต่างหาก

ในความคิดของเธอคือ การที่เด็กชายปรากฏตัวออกมา หมายความว่าทุกอย่างแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงแล้ว!

ชะตาชีวิตของอาใหญ่ได้เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นชะตากรรมของทุก ๆ คนก็จะเปลี่ยนไปด้วย

หรือบางที หลังจากที่เด็กคนนี้เกิด ชะตากรรมของคนหลายคนก็เปลี่ยนไปแล้ว!

คุณย่าซูยิ้มอย่างเอ็นดู “หม่านซิ่วเอ้ย ลูกมีหลานให้แม่ก็ดีใจแล้ว ที่มาดูแลลูกแบบนี้ แม่ก็มีความสุข! ดูแลลูกตัวเองไปแล้วกันนะ เดี๋ยวแม่ทำซุปไก่ตุ๋นให้กิน วันนี้ไปตลาดมา แม่แย่งไก่มาได้ตัวนึง!”

ตอนเดินทางมารีบร้อนไปเสียทุกอย่าง ถึงจะเอาไข่มาได้ไม่น้อย แต่ดันไม่ได้เอาไก่มาด้วย

ซิ่วเอ๋อร์อายุมากแล้ว จึงต้องบำรุงดูแลให้ดีเพื่อไม่ให้ร่างกายเจ็บป่วยง่าย

“ไม่ต้องหรอกค่ะแม่ ร่างกายฉันแข็งแรงดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องดื่มซุปไก่หรอก!” ซูมานซิ่วปฏิเสธพันวัล

“ทำไมถึงไม่จำเป็นล่ะ ก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องอะไรจึงไม่จำเป็นเลย แต่ตอนนี้สถานการณ์ในครอบครัวดีขึ้นมาบ้างแล้ว ต่อให้ลูกกินไก่สองตัว บ้านเราก็ไม่อดตายหรอก”

“อาใหญ่คะ ชุมชนการผลิตหงซินกำลังจะทำฟาร์มไก่ค่ะ พอถึงตอนนั้นก็จะมีไข่ให้กิน ไม่แน่อาจจะมีไก่ด้วยนะคะ” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวเสริมอย่างร่าเริง

“ทำไมไม่เคยได้ยินพวกแม่พูดเรื่องนี้มาก่อนเลย มีตั้งแต่เมื่อไรคะ?” ซูหม่านซิ่วถามด้วยความประหลาดใจ “ตั้งโรงงานได้จริง ๆ หรือคะ?”

“ได้สิคะ ชุมชนใหญ่ตอบตกลงแล้ว เล้าไก่ก็สร้างเสร็จแล้ว ไก่ก็น่าจะเริ่มเลี้ยงแล้วค่ะ”

ซูหม่านซิ่วยิ้ม “นับว่าเป็นเรื่องที่ดีนะคะ ชุมชนการผลิตหงซินเรายากจน ถ้ามีฟาร์มเลี้ยงไก่ ตลอดปีนี่จะได้แบ่งเงินกันอีกหลายหยวนเลย”

คุณย่าซูรีบไปทำอาหาร ส่วนเสี่ยวเถียนเป็นฝ่ายตอบ “อาใหญ่ ชุมชนหงซินเราเลี้ยงไก่แล้ว หลังจากนี้จะมีเงินเยอะแล้วค่ะ”

ในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า โอกาสใหม่ ๆ ก็จะเข้ามาหา พอถึงเวลานั้นชุมชนเราก็จะได้โบยบิน

ปีนี้เลี้ยงไก่ก่อนเพื่อทำการทดลอง รอปีหน้าถ้ามีโอกาสค่อยเลี้ยงหมู ส่วนปีต่อไปก็ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น

รอจนกว่าคนอื่นจะรู้สึกตัวขึ้นมา ถึงตอนนั้นชุมชนการผลิตหงซินเราก็ได้พัฒนาขึ้นแล้ว

ซูหม่านซิ่วไม่รู้ว่าเจ้าหนูน้อยเสี่ยวเถียนคนนี้ได้คิดแผนเผื่อไปล่วงหน้าอีกหลายปีแล้ว เพราะเด็กหญิงรู้สึกแค่ว่า มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ ที่ชุมชนการผลิตหงซินจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้

ช่วงหลายวันที่เสี่ยวเถียนอยู่อำเภอ นอกจากออกไปซื้อของกับย่าทุกวันก็ไม่ได้ออกไปที่ไหนอีก

เพียงแค่วันสองวันก็นับว่ามากพอแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านมาหลายวัน สาวน้อยแสนซุกซนย่อมทนไม่ไหวอย่างแน่นอน ถึงน้องชายตัวน้อยจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน แต่เธอเริ่มรู้สึกเบื่อแล้ว

“แม่คะ ฉันว่าช่วงนี้เสี่ยวเถียนไม่ค่อยมีความสุขนะ เธอเบื่อหรือเปล่าน่ะ?” ซูหม่านซิ่วมองหลานสาวที่นั่งอยู่ในสนามด้วยความงุนงง

คุณย่าซูเหลือบมองซูเสี่ยวเถียนแล้วยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก เด็ก ๆ ก็แบบนี้ล่ะ”

“ไม่งั้นส่งจดหมายไปหาพี่ ๆ ดีไหมคะ ให้พวกเขามารับเสี่ยวเถียนกลับไปอยู่บ้านสักสองวัน” ซูหมานซิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“พวกพี่ชายของลูกยุ่งกันทั้งนั้น เสี่ยวเถียนเป็นเด็กรู้ความ ไว้ตอนบ่ายมีเวลาแม่ค่อยพาเธอออกไปเดินเล่น”

คุณย่าซูรู้สึกสงสารหลานสาว และกลัวว่าเธอจะเบื่อขึ้นมากจริง ๆ

“ได้ค่ะ เด็กคนนี้เป็นเด็กดี หนูว่าตอนบ่ายที่แม่พาเธอออกไปเดินเล่นก็เอาตั๋วของหนูไปด้วยสักหน่อยเถอะ ซื้อผ้ามาทำเสื้อผ้าให้เสี่ยวเถียนนะ” ซูหม่านซิ่วว่าแล้วไปเอาตั๋วผ้าออกมา

“ไม่ต้องหรอก รอบนี้แม่ก็เอามาไม่น้อยเลย” คุณย่าซูรีบห้ามลูกสาวเอาไว้

ซูหม่านซิ่วตกตะลึง สถานการณ์ในบ้านเป็นแบบไหนเธอจะไม่รู้ได้อย่างไร?

มันควรจะไม่มีตั๋วแล้วสิ แต่ตอนนี้ดูเหมือนแม่จะเอาตั๋วออกมาไม่น้อยเลย

ตั๋วพวกนี้มาจากไหนกัน?

แต่ซูหม่านซิ่วฉลาดพอที่จะไม่ถาม และตัดสินใจช่วยแม่ปกปิดเรื่องนี้

คุณย่าซูพูดอย่างจริงจัง “ซิ่วเอ๋อร์ ตอนนี้ลูกควรนึกถึงตัวเองก่อน ไม่ต้องเอาแต่นึกถึงพ่อแม่ แม่กับพวกพี่ชายพี่สะใภ้ไม่ได้ลำบากอะไร”

“แม่รู้ว่าฐานะทางบ้านของลูกดี แต่ตอนนี้มีลูกเป็นของตัวเองแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรควรคำนึกถึงอนาคตของเด็กคนนี้ด้วยนะ”

คุณย่าซูเข้าใจดีว่าลูกสาวรู้สึกเสียใจกับครอบครับมาตลอด แต่ตอนนี้มีลูกเล็กแล้ว จะเอาแต่นึกถึงคนบ้านตัวเองไม่ได้

เพียงแค่ครั้งสองครั้งก็พอแล้ว

หากนานวันเข้า กลัวก็แต่ลูกเขยจะคัดค้าน

“เข้าใจแล้วค่ะแม่ แต่ว่าถ้าที่บ้านมีเรื่องลำบากอะไรต้องบอกฉันนะ!” ซูหม่านซิ่วกำชับ

“ได้จ้ะ ถ้ามีเรื่องอะไรจะบอกลูกกับเขยแน่นอน” คุณย่าซูเอ่ยอย่างไม่ต้องการให้ลูกสาวเป็นกังวล

“ไม่รู้ว่าโลกเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไร ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินมาว่า เหมือนจะมีคนถูก… แม่คะ พวกเราต้องระวังไว้นะ!” ซูหม่านซิ่วเตือน

“เห็นลูกพูดขึ้นมาแม่ก็อยากจะถามหน่อย ลูกอยู่ที่นี่เคยเจอซูเสี่ยวฉินบ้างไหม?” คุณย่าซูรู้สึกไม่สบายใจเสมอเมื่อนึกถึงอีกฝ่าย

หัวใจเด็กคนนั้นบิดเบี้ยว แล้วตอนนี้ก็อยู่ในเมืองอำเภอ ตามพวกไม่ค่อยเรียนไป ไม่รู้ว่าตอนนี้เปลี่ยนไปในทิศทางไหนแล้ว

“ไม่เคยค่ะ” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง หม่านซิ่วก็พูดอีก “ไม่เห็นเธอมาระยะหนึ่งแล้ว หรืออาจจะเคยเห็น แต่หนูไม่รู้จัก”

พอคุณย่าคิดก็คงจะจริงเช่นนั้น

“ไม่ว่าอย่างไรลูกก็ต้องระวังเด็กคนนั้นไว้หน่อย” คุณย่าซูถอนหายใจ

และไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเสียใจต่อเสี่ยวฉินด้วย!

แต่ตอนนี้เด็กคนนั้นอยู่ในอำเภอ และไม่รู้จะมาลงมือกับหม่านซิ่วเมื่อไร

คุณย่าซูไม่รู้ว่าซูเสี่ยวฉินคิดจะลงมือกับหม่านซิ่วจริง ๆ แต่เพราะชื่อเสียงของเฉินจื่ออันโด่งดังเกินไป เลยไม่มีใครกล้าเป็นคู่ปรับกับอีกฝ่าย

หลังจากซูเสี่ยวฉินเทียวไล้เทียวขื่ออยู่นานก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการอยู่ดี แต่สายตากลับจับจ้องมายังบ้านเฉินจื่ออันเสมอ

ขณะที่สองแม่ลูกกำลังสนทนากันเรื่องสัพเพเหระ ผู้ที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาอย่างซูเสี่ยวฉินกำลังจ้องมาที่ประตูบ้านของหม่านซิ่วด้วยความขุ่นเคือง

ซูเสี่ยวเถียนกำลังคุยกับต้นพุทธาในสวนอยู่ ก่อนจะมีได้รับรู้ว่าผู้หญิงจากข้างนอกกำลังจ้องมองมาที่นี่

เธอวิ่งไปที่ประตูเงียบ ๆ แล้วมองตามรอยแยกออกไป

จากนั้นก็เห็นร่างคุ้นเคยของซูเสี่ยวฉิน

ซูเสี่ยวฉิน?

ทำไมถึงเอาแต่จ้องมองที่นี่ล่ะ? เป็นไปได้ไหมที่เจ้าตัววางแผนจะลงมือกับอาใหญ่และอาเขย?

ถึงอาเขยจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำแหน่งสูง แต่ก็ง่ายต่อการถูกจับตามองเช่นกัน มีเสี่ยวเถียนมองด้วยสายตามุ่งร้ายแบบนี้ เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นในไม่ช้า

ไม่ได้การแล้ว ต้องแก้ไขเรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

แต่เธอเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ไม่มีทางจัดการได้หรอก

คงต้องรอให้อาเขยกลับมาแล้วค่อยจัดการก็พอแล้ว

ทุกวันนี้จะต้องจ้องไปที่ซูเสี่ยวฉินก่อน แต่ว่าได้คุยกับต้นพุทธาแบบนี้ จะให้มันคอยจับตามองการเคลื่อนไหวจากข้างนอกก็พอ

หลังจากตกลงกันได้ ต้นพุทธาใหญ่ก็บอกว่าจะคอยดูสภาพแวดล้อมให้ หากมีอันตรายเกิดขึ้นจะรีบเตือนซูเสี่ยวเถียนทันที

ตอนนี้เด็กหญิงสามารถสื่อสารกับต้นพุทราได้โดยไม่ต้องสัมผัสลำต้นแล้ว เป็นเพราะทักษะของเธอที่ได้รับการอัปเกรดขึ้น ความสามารถในการสื่อสารกับต้นไม้ใบหญ้าจึงดีขึ้นมาก รวมถึงความสามารถในการสื่อสารภายในระยะสิบเมตรด้วย

ตกบ่าย คุณย่าซูคิดจะพาเสี่ยวเถียนไปเดินเล่น แต่หลังจากถามต้นพุทธาแล้ว เสี่ยวฉินยังอยู่ข้างนอก จึงตัดสินใจไม่ออกไปตอนนี้

เธอกลัวจริง ๆ ว่าคุณย่าซูจะเป็นกังวลหากรู้เรื่องเสี่ยวฉิน

คุณย่าซูไม่รู้ว่าทำไม แต่หลานสาวยืนกรานที่จะไม่ออกไปเดินเล่น หญิงชราจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมแพ้

“เด็กดี ถ้าเบื่ออยู่บ้านก็บอกย่าสิ ย่าจะได้พาหลานออกไปเดินเล่น แต่ห้ามออกไปคนเดียวนะ” คุณย่าซูเตือนเธอด้วยความเป็นห่วง

เธอได้ยินหม่านซิ่วพูดไว้หลายเรื่องเลย ข้างนอกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก การปล่อยให้เสี่ยวเถียนที่เป็นเด็กออกไปเพียงลำพัง เธอไม่วางใจ!

คุณย่าซูเป็นคนขยันขันแข็ง ตอนนี้สวนผักที่บ้านหม่านซิ่วมีเธอคอยดูแลอย่างตั้งใจ และปลูกไว้หลากหลายชนิด ทั้งยังพูดอีกว่าช่วงที่ลูกสาวอยู่ไฟจะได้มีผักพอกิน

เมื่อเสี่ยวเถียนมีเวลาว่างก็เข้ามาช่วยด้วย เพราะมีความสามารถของกมลพิสุทธิ์แห่งพืชพรรณจึงทำให้รู้จักดินแปลงนี้ยิ่งกว่าคุณย่า และคอยลอบบอกข้อแนะนำให้คุณย่าอีกไม่น้อยด้วย

และซูหม่านซิ่วก็ตกใจมากเมื่อพบว่าผักในสวนของเธอเติบโตได้ดีหลังจากผ่านช่วงอยู่ไฟครบเดือน

ซูเสี่ยวเถียนและคุณย่าซูอยู่ที่อำเภอนานกว่ายี่สิบวัน เวลาอยู่ไฟของหม่านซิ่วใกล้จะครบแล้ว เฉินจื่ออันถึงกลับมาบ้าน

ผ่านไปนานทีเดียวก่อนลูกเขยจะกลับมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

“เป็นอะไรไปหรือ? เหมือนคนไม่ได้นอนมาหลายวันเลยนะ”

“หัวหน้าบอกว่าทิ้งพวกคุณอยู่บ้านไว้ไม่ค่อยวางใจเท่าไร เลยทำงานล่วงเวลาเพื่อให้เสร็จไว ๆ จะได้กลับมาวันนี้ครับ!” เสี่ยวจูหน้าตาเหน็ดเหนื่อย ท่าทางก็ดูอ่อนล้าเช่นกัน

“แกก็พูดไป พรุ่งนี้ลูกน้อยของฉันจะครบเดือนแล้ว ฉันกลับมาดูในฐานะพ่อไม่ได้หรือไง?” เฉินจื่ออันจ้องเสี่ยวจู “ไว้แค่นี้ รีบกลับบ้านไปพักซะ อย่ามาทำให้คนเขารำคาญที่นี่”

“เสี่ยวจู ฉันเพิ่งห่อเกี๊ยวเสร็จ กินสักถ้วยแล้วค่อยกลับเถอะ!” คุณย่าซูรีบรั้งเขาไว้

พอเสี่ยวจูได้ยินคำว่า ‘ห่อเกี๊ยว’ สองคำนี้ ดวงตาแทบพุ่งเป็นดาว

แต่สายตาก็ยังมองไปที่เฉินจื่ออันอยู่

“เจ้าโง่ตะกละแล้วสินะ? งั้นก็อยู่กินเถอะ กินอิ่มค่อยกลับไปนอน พรุ่งนี้ยังต้องมาทำงานอีก” เฉินจื่ออันยิ้มแล้วว่าไปอีกประโยค

เสี่ยวจูแสดงท่าทีมีความสุข คิดจะช่วยคุณย่าซูจุดไฟ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธ

งานเล็กน้อยแค่นี้ทำเองได้ ไฉนยังต้องให้คนอื่นมาช่วยด้วยล่ะ?

คุณย่าซูหันไปทำเกี๊ยวอย่างเริงร่า ส่วนเฉินจื่ออันปัดฝุ่นตามร่างกายแล้วเข้าไปหาภรรยากับลูก

“ไม่เจอเจ้าเด็กดื้อนาน เปลี่ยนไปไม่น้อยเลย” เฉินจื่ออันยิ้มขณะมองลูกชายที่นอนบนเตียงเตาด้วยความอารมณ์ดี

“ใช่ กิน ๆ นอน ๆ แบบนี้อยู่ทุกวันเลยโตขึ้นไม่น้อยเลย ถ้าคุณถามเสี่ยวเถียน เธอจะบอกเองว่าเจ้าเด็กดื้อมีตรงไหนเปลี่ยนไปบ้าง

“ได้สิ ไว้ฉันจะกลับไปถามเสี่ยวเถียน”

ซูหม่านซิ่วมองไปยังใบหน้าอันเหนื่อยล้าของสามีแล้วรู้สึกเป็นทุกข์ “เหนื่อยมากไหม? พักสักหน่อยเถอะ”

“ไม่เหนื่อยหรอก ได้เห็นพวกคุณสองแม่ลูกผมก็หายเหนื่อยแล้ว!” เฉินจื่ออันพูดขณะจับมือภรรยาด้วย