บทที่ 132 เสี่ยวเถียนรักคุณย่าที่สุด

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 132 เสี่ยวเถียนรักคุณย่าที่สุด
บทที่ 132 เสี่ยวเถียนรักคุณย่าที่สุด

ตอนที่หม่านเซียงพูดถึงเรื่องนี้ หัวใจของเธอรู้สึกหดหู่อย่างหนัก

เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เธอเคยเป็นที่รักมากกว่า แต่ตอนนี้พ่อกับแม่กลับไม่ชอบเธอและมองว่าเธอเป็นคนเห็นแก่ตัวไปเสียแล้ว

ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?

เพราะคังเหรินเต๋อดีกว่าไอ้หมาหวัง หรือเพราะตอนนี้เฉินจื่ออันดีกว่าคังเหรินเต๋อกัน?

แต่ไม่ว่าพ่อแม่จะว่าอย่างไรมันก็แค่ข้ออ้าง หากคิดวิเคราะห์แล้ว เหตุผลคือพวกเขามันหัวสูง!

ซูหม่านเซียงเป็นคนหัวสูง เลยคิดว่าทุกคนในโลกเป็นคนหัวสูงเฉกเช่นเดียวกับเธอ

ตอนนั้นเธอจำไม่ได้แล้วว่าพ่อกับแม่รักเธอเช่นไรบ้าง อาหารและเนื้อในบ้านต่างมอบให้เธอ

แต่พอเห็นคนขับรถคนนั้นเอาของตั้งมากตั้งมายเข้าบ้านของเฉินจื่ออัน มันจะต้องมาจากบ้านซูอย่างแน่นอน

คังเหรินเต๋อไม่คาดคิดว่าจะถูกภรรยาตำหนิจึงรู้สึกเสียหน้า จึงเหวี่ยงมือตบเธอไปหนึ่งฉาด

ซูหม่านเซียงร้องตะโกนเสียงดัง

คุณย่าซูที่เพิ่งเข้าบ้านมาก็ได้ยินเสียงของลูกสาวคนโตร้องไห้กับลูกสาวคนเล็กกรีดร้องอยู่ด้านนอกก็พลันขมวดคิ้ว

“ซิ่วเอ๋อร์ ลูกกำลังอยู่ไฟ อย่าร้องไห้สิ!” คุณย่าซูรีบปลอบใจหม่านซิ่ว

“แม่ แม่มาหรือคะ? หม่านเซียง…”

“ปล่อยมันไปเถอะ คนเห็นแก่ตัวแบบนั้นไม่มีพ่อแม่พี่น้องที่ไหนหรอก” คุณย่าซูพูดอย่างรังเกียจ

ถึงอย่างไรเธอก็เป็นลูกสาวของตนอยู่ดี ถึงจะพูดอย่างเด็ดขาดในตอนแรก แต่ในใจยังนึกหวังว่าหม่านเซียงจะกลับใจได้ เพราะตนเองยังต้องการลูกสาวคนนี้อยู่ แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวไม่สำนึกเลยสักนิด

มันทำให้คุณย่าซูใจสลาย

“แม่ เธอพูดจาไม่ดีเลย! ที่ฉันไม่ช่วยเธอมันผิดหรือเปล่าคะ” ซูหม่านซิ่วถามอย่างไม่แน่ใจ

วันนี้ซูหม่านเซียงมาหาซูหม่านซิ่ว ประเด็นหลักคือมาขอโยกย้ายงานของคังเหรินเต๋อ

คังเหรินเต๋อไม่อยากทำงานที่สหกรณ์ของตำบลแล้ว และที่สำคัญตอนนี้คือ คนที่นั่นไม่มีใครอยากเห็นหน้าเขา

เขาคิดจะมาขอร้องเฉินจื่ออันสักน้อย คงจะดีมากถ้าเขาย้ายไปอำเภอได้ จะได้มีช่วงเวลาที่ดี

นอกจากนี้ให้หางานให้หม่านเซียงเพื่อชีวิตในครอบครัวที่ดีขึ้นด้วย

คำขอร้องแบบนี้ ถ้าพูดจาดี ๆ ถึงจะไม่ได้ช่วยหาวิธี แต่ก็คงไม่ถูกโยนออกไปแบบนี้หรอก

แต่ท่าทางของทั้งสองกลับมั่นอกมั่นใจมาก ท่าทางไม่เหมือนมาขอร้องอ้อนวอนเลยสักนิด ทำอย่างกับว่ากำลังให้โอกาสพวกเราเสียอย่างนั้น

หลังจากที่รอเฉินจื่ออันปฏิเสธคำขออย่างชัดเจน ก็ดันใช้ศีลธรรมมากล่าวอ้าง

พวกคุณมันไม่ใช่มนุษย์แล้วที่ไม่ช่วยฉัน และนั่นมันทำให้เฉินจื่ออันรำคาญจริง ๆ

เฉินจื่ออันอายุตั้งปูนนี้แล้ว เขาเกลียดการใช้ศีลธรรมมากล่าวอ้างมาก

ด้วยความโกรธ จึงจับคังเหรินเต๋อโยนออกไปเสียให้สิ้นเรื่อง!

“เธอน่าสงสาร? มีอะไรให้น่าสงสาร? คังเหรินเต๋อมีการมีงานทำ เป็นพนักงานขายนั่นไง ครอบครัวก็มีชีวิตที่ดี ยังจะลำบากอยู่อีกหรือ?” คุณย่าซูพูดอย่างโกรธเคือง

ลูกสาวคนเล็กถูกเลี้ยงมาอย่างเสียคน วัน ๆ ไม่คิดจะทำให้ชีวิตดี กลับคิดแต่จะหาผลประโยชน์

หม่านซิ่วไม่ได้พูดอะไร

“ส่วนลูกน่ะใจดีตั้งแต่เด็ก ไปไหนก็พาไปด้วย ตอนนี้มีชีวิตที่ดีเป็นของตัวเองแล้ว ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้วนะ” คุณย่าซูพูดอย่างจริงจัง

ลูกสาวคนโตเป็นผู้หญิงที่จิตใจอ่อนโยนและใจดี แต่เพราะนิสัยเช่นนี้จึงทำให้เสียเปรียบได้ง่ายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับพวกหมาป่าใจดำ

โชคดีที่ลูกเขยเป็นคนใจแข็ง จึงสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้เยอะ

“ซิ่วเอ๋อร์ คุณฟังแม่ก็พอ สองคนนั้นผมไล่พวกเขาออกไปแล้ว พวกเขาจะไม่กล้ามามายุ่งกับคุณอีกแน่นอน”

ตอนเฉินจื่ออันเดินเข้าประตูมา พลันได้ยินแม่ยายกับภรรยาคุยกันจึงเอ่ยขึ้น

“ใช่แล้วจื่ออัน เธอออกไปจัดการก่อนก็ดีแล้ว อย่าให้คนไม่เกี่ยวข้องมายุ่งกับภรรยาของเธออีกนะ!” คุณย่าซูเห็นด้วยอย่างมากที่ลูกเขยทำแบบนี้

หม่านซิ่วเพิ่งคลอดลูก ถ้าโดนรบกวนแบบนี้ทุกวันร่างกายจะสาหัสเอาได้

แต่ไม่รู้ว่าเฉินจื่ออันทำอย่างไร ซูหม่านเซียงและคังเหรินเต๋อจึงยอมจากไป

ยิ่งไปกว่านั้นคือ หลังจากนั้นพวกเขาไม่เคยกลับมาอีกเลย

เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินจื่ออันที่มีแม่ยายคอยดูแลภรรยาและลูกก็ออกเดินทางไปทำงานอย่างวางใจ

ทันทีที่ชายคนเดียวของบ้านจากไป ก็เหลือเพียงผู้หญิงสองคนและเด็กหญิงอีกคนหนึ่ง

คุณย่าซูไม่เคยอาศัยอยู่ในเมือง เลยไม่คุ้ยเคยกับหลายสิ่งอย่างอย่างที่นี่

ในตอนแรกเธอสับสนมาก แม้กระทั่งซื้อผักอย่างไรก็ยังไม่รู้

แต่ที่บ้านมีเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่ แต่ไม่มีผักไม่ได้หรอก คุณย่าซูร้อนใจมากจนเกือบโมโห

แต่ด้วยความฉลาดและความปากหวานของหลานสาว เสี่ยวเถียนจูงมือคุณย่าซูออกไปข้างนอก แล้วสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้าน ทั้งยังรู้อีกว่าต้องไปซื้อผักที่ไหนเวลาไหน ถึงจะได้ของดี ๆ กลับมา

เดินวนไปวนมาก็ได้ของมาครบถ้วน ก่อนคุณย่าซูจะหยุดชะงัก

ไหนเลยคุณย่าซูจะรู้ว่าหลานสาวเคยอาศัยอยู่ในอำเภอมาก่อนในชาติที่แล้วล่ะ ก็เลยคุ้นเคยกับสถานที่หลายแห่ง ดังนั้นจึงแก้ปัญหาด้วยการออกไปถามเสียเลย

“ลูกว่าทำไมเสี่ยวเถียนถึงฉลาดจัง?” คุณย่าซูนำไข่ดาวมาให้ลูกสาวคนโตพลางพูดอย่างซาบซึ้ง

“เด็ก ๆ บ้านเราฉลาดทุกคนค่ะ” หม่านซิ่วหยิบถ้วยและตะเกียบออกมา แล้วพูดอย่างที่มารดาชอบ

“ถ้าไม่ใช่เพราะความฉลาดของเด็กคนนี้ แม่ก็คงซื้อผักไม่ได้หรอก” คุณย่าซูกล่าว “ใช้ชีวิตในเมืองเนี่ยไม่ง่ายเลยจริง ๆ แม้แต่ต้นหอมเพียงต้นเดียวก็ต้องเสียเงิน ถ้าอยู่ในชุมชนการผลิตของเรานะ บ้านใครมีก็ไปเด็ดได้เลย”

“แม่คะ สวนบ้านเราก็มีต้นหอมนะ!” ซู่หม่านซิ่วหัวเราะ

“ลูกเอ๋ย แม่ก็แค่พูดเปรียบเทียบไปแบบนั้น” คุณย่าซูตำหนิ

ในสวนเล็ก ๆ ของเฉินจื่ออันมีแปลงผักหนึ่งแปลงที่ขนาดไม่ใหญ่มาก ในแปลงผักปลูกต้นหอม กุยช่าย และพริกเอาไว้

คุณย่าซูรู้สึกว่าของพวกนี้ไม่เหมาะให้หม่านซิ่วกินในตอนนี้หรอก จึงคิดจะไปซื้อผักในตลาด

ซูเสี่ยวเถียนสนอกสนใจกับทารกแรกเกิดเธอที่นอนตะแคงอยู่ด้านข้าง เธอสังเกตสหายตัวน้อยที่นอนพ่นฟองน้ำลายอยู่อย่างสนใจและเอ็นดู

“เสี่ยวเถียน วันนี้น้องมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า” คุณย่าซูถามติดตลก

“มีค่ะ!” เด็กหญิงพูดอย่างร่าเริงขณะมองจุดที่แตกต่างกัน คุณย่าซูที่ได้ฟังก็ตกใจ

“มีอะไรเปลี่ยนไปขนาดนั้นเลยหรือ?” คุณย่าซูแทบไม่อยากเชื่อ

“แน่นอนค่ะคุณย่า!” ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

สาวน้อยพยักหน้าเบา ๆ กลัวว่าจะทำให้สหายตัวน้อยตกใจ

ตอนนั้น เด็กตัวน้อยที่นอนบนเตียงเตาพ่นฟองน้ำลายออกมาราวกับตอบคำถามของเสี่ยวเถียน

“คุณย่า ดูสิ น้องชายเป่าฟองอีกแล้ว” เธอยิ้มบาง ๆ

เธอสนใจเด็กมากจริง ๆ นะ นี่เป็นครั้งแรกที่โตตั้งขนาดนี้แล้ว แต่เพิ่งเคยเห็นเด็กตัวน้อยขนาดนี้

คุณย่าซูกับหม่านซิ่วหัวเราะลั่น

ผู้เป็นย่ามองหลานสาวที่เป็นแบบนั้น แล้วพูดอย่างไม่ชอบใจ “ตอนอยู่บ้านนะ ยังบอกกับย่าอยู่เลยว่าถ้ามีน้องชายตัวน้อยแล้วย่าจะไม่รักหนู หนูดูซิ ตอนนี้หนูมีน้องแล้วก็ไม่ต้องการย่าแล้วกระมัง!”

เสี่ยวเถียนปีนลงมาจากเตียงแล้วเข้าไปกอดเอวคุณย่าไว้

“คุณย่าขา มีที่ไหนกันคะ เสี่ยวเถียนรักคุณย่าที่สุด รักมากกว่าน้องอีกนะ!”

ซูหม่านซิ่วไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะได้ บทสนทนาระหว่างคนแก่กับเด็กเป็นแบบนี้จริงๆ หรือเนี่ย!

แม่ของเธอกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?