คืนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าอยู่รอซือจูกับฉังเหยียนจนถึงยามสามของกลางดึก แต่พวกนางก็ยังไม่กลับมา
นายหญิงรองร้อนใจเหลือจะกล่าว นางกับนายท่านรองแยกกันไปขอร้องหย่งเฉิงโหวกับโหวฮูหยินให้ช่วยไปสืบข่าว ส่วนพี่ชายและน้องชายของฉังเหยียนแยกกันไปสืบข่าวจากสหายสนิท
จวนหย่งเฉิงโหวพลันอลหม่านขึ้นมา คนที่หลับไปแล้วก็ถูกปลุกให้ตื่น ในจำนวนนั้นมีหวังซีกับคุณหนูพานรวมอยู่ด้วย
น่าเสียดายที่วังหลวงปิดประตูวังไปแล้ว เนื่องจากหย่งเฉิงโหวเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการทั้งห้าของกองบัญชาการทหารทั้งห้า จำต้องหลีกเลี่ยงเรื่องที่อาจก่อให้เกิดความระแวงสงสัย จึงไม่กล้าติดสินบนใครตามใจชอบ กระทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง แน่นอนว่าด้วยเหตุนี้ทำให้สืบข่าวคราวอะไรมาไม่ได้ ส่วนพี่ชายและน้องชายของฉังเหยียนนั้น แม้นสืบข่าวคราวได้บ้างเล็กน้อย แต่ข่าวเช่นนี้สู้ไม่รู้จะดีกว่า กล่าวคือ ว่ากันถึงคนที่เข้าวังไปร่วมพิธีปักปิ่นขององค์หญิงฟู่หยางจะมีไม่มาก แต่ทุกคนล้วนถูกรั้งตัวไว้ในวังหลวงทั้งหมด
นี่น่าจะเป็นเพราะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกระมัง?
หวังซีนึกถึงถ้อยคำที่เฉินลั่วฝากมา อยากไปถามเฉินลั่วเหลือเกิน ดูว่าเขาได้เข้าวังหรือเปล่า รู้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่บัดนี้อย่าพูดถึงจวนหย่งเฉิงโหวที่ทุกคนต่างเจ้ามองข้าข้ามองเจ้าเลย หากในวังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ หวังซีเชื่อว่าเฉินลั่วมีเรื่องให้ต้องจัดการมากพอแล้ว นางจึงไม่ควรไปรบกวนเฉินลั่วด้วยเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้
นางรอข่าวคราวจากเฉินลั่วเงียบๆ
ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ไม่ได้นอนทั้งคืน ต่างคาดเดาไปต่างๆ นานา จนพวกนางหวาดกลัวไปหมด ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนฟ้าสางได้ ฮ่องเต้ยังคงว่าราชการตามปกติ แต่วังหลังกลับปิดประตูแน่นดังเดิม กระทั่งบ่ายถึงเปิดประตูซุ่นเจิน เหล่าสตรีจากแต่ละตระกูลที่ไปร่วมพิธีปักปิ่นขององค์หญิงฟู่หยางถึงได้ทยอยกันออกมาจากหกตำหนัก
นายหญิงรองร้องไห้จนดวงตาแดงช้ำ โหวฮูหยินเองก็ต้องลาก ‘สังขารป่วย’ อยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าไปหนึ่งคืน เวลานี้ได้รับจดหมายแล้ว นายหญิงรองรีบขอร้องให้โหวฮูหยินไปสืบข่าวที่จวนจ่างกงจู่ “จ่างกงจู่พูดง่ายที่สุดแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับอาเหยียนจริง ข้าเองก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”
มุมปากของโหวฮูหยินกระตุก เมื่อก่อนนางชื่นชมนายหญิงรองเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าในยามคับขันจะสู้นายหญิงสามไม่ได้ กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร นางติดหนี้บ้านรองของพวกเขาอย่างนั้นหรือ จ่างกงจู่กับจวนของพวกเขามีความสัมพันธ์พิเศษอันใดที่นางต้องช่วยเหลือพวกเขากัน? ตอนฉังเหยียนตามซือจูเข้าวัง ท่าทางของนายหญิงรองดูได้รับเกียรติใหญ่หลวง บัดนี้เกิดเรื่องขึ้นก็เริ่มกล่าวโทษฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว?
ความจริงนางไม่อยากไปวิ่งเต้นให้บ้านรอง แต่ว่าเพราะหน้าที่ของโหวฮูหยินค้ำคออยู่ ไม่ออกหน้าช่วยเหลือไม่ได้ ได้ยินถ้อยคำดังกล่าวแล้ว หันไปมองนายหญิงสามที่ก้มหน้าก้มตาปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ามาตลอดครั้งหนึ่งก่อนเป็นอันดับแรก หัวใจของนางยิ่งเยียบเย็นมากขึ้น คำพูดคำจาจึงเจือความสุกเอาเผากินเอาไว้หลายส่วน กล่าวว่า “ข้าจะพยายามให้ถึงที่สุด เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป รอข้ากลับจากจวนจ่างกงจู่แล้วค่อยว่ากันอีกที”
แต่ถ้าจ่างกงจู่ไม่ยอมเปิดประตูให้นางพบ นั่นก็มิใช่เรื่องของนางแล้ว
โหวฮูหยินเดินทางไปจวนจ่างกงจู่
จ่างกงจู่ไม่อยู่บ้าน และภรรยาของพ่อบ้านยังบอกนางด้วยว่า “เข้าวังไปตั้งแต่เมื่อวานยังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะ”
โหวฮูหยินตะลึงงัน
นี่หมายความว่าจ่างกงจู่ถูกรั้งตัวไว้ในวังหลวงอย่างนั้นหรือ
นางตรึกตรอง เอ่ยถามว่า “แล้วใต้เท้าเฉินคนเล็กเล่า?”
เฉินลั่วสามพ่อลูกล้วนรับราชการอยู่ในราชสำนัก เฉินอวี๋ถูกเรียกขานว่าท่านกั๋วกง เฉินอิงถูกเรียกขานว่าใต้เท้าเฉิน เฉินลั่วจึงถูกเรียกขานว่าใต้เท้าเฉินคนเล็ก
ภรรยาของพ่อบ้านกล่าวยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าเฉินคนเล็กเองก็ยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ” กล่าวจบ น้ำเสียงหยุดลงเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อว่า “ใต้เท้าเฉินกับท่านกั๋วกงเองก็ยังไม่กลับมาเหมือนกัน”
โหวฮูหยินได้ยินแล้วสีหน้ามืดครึ้มขึ้นมาเล็กน้อย ออกมาจากจวนจ่างกงจู่ก็สั่งการคนหามเกี้ยวว่า “ไปจวนเจียงชวนป๋อ”
แม้นกล่าวว่าจวนเซียงหยางโหวอยู่ใกล้จวนพวกนางมากกว่า และเซียงหยางโหวฮูหยินเองก็เข้าวังไปร่วมพิธีปักปิ่นขององค์หญิงฟู่หยางเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับจวนเจียงชวนป๋อแล้ว นางเชื่อถือเด็กสาวอย่างลู่หลิงมากกว่า เนื่องจากเหล่าฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหลายเป็นสตรีม่าย ไม่เหมาะที่จะออกไปร่วมงานยินดีเช่นนี้สักเท่าไรนัก
เกี้ยวของจวนหย่งเฉิงโหวมุ่งหน้าไปจวนเจียงชวนป๋ออย่างรีบร้อน
ลู่หลิงเพิ่งกลับมาจากวังหลวง พอได้ยินว่าหย่งเฉิงโหวฮูหยินต้องการพบนาง ก็รีบให้สาวใช้ไปรายงานเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่า ถามว่า “ข้าควรพบหรือไม่ หากพบแล้วควรพูดอย่างไรดี?”
เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยพอใจนัก รู้สึกว่าจวนหย่งเฉิงโหวกำลังเอาเปรียบลู่หลิงเพราะเห็นนางอายุน้อย แต่เห็นแก่หน้าของหวังซีกับฉังเคอ สุดท้ายเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่ายังคงไว้หน้าหย่งเฉิงโหวฮูหยินอยู่บ้าง ให้หมัวมัวคนสนิทไปพบหย่งเฉิงโหวฮูหยิน กล่าวกับนางอย่างตรงไปตรงมาว่า “คนที่รั้งอยู่ในวังล้วนไม่เป็นอะไร คนที่กลับมาแล้วก็ไม่อาจพูดเหลวไหลได้ ความหมายของฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้าก็คือ อย่าสร้างความลำบากใจให้คุณหนูใหญ่ของพวกข้าเลย โหวฮูหยินกลับไปรอข่าวที่จวนดีกว่า สุดท้ายมิใช่เรื่องนำหายนะมาสู่ตระกูลก็พอแล้ว”
โหวฮูหยินได้ยินแล้วยิ่งรู้สึกกระสับกระส่ายมากขึ้น กลับจวนหย่งเฉิงโหวไปด้วยความไม่สบายใจ ตรงไปที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า เล่าเรื่องที่ตนไปจวนเจียงชวนป๋อให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจจนหน้าซีด พึมพำกล่าวไม่หยุดว่า “นี่ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไม่รู้ว่าอาจูกับอาเหยียนเป็นอย่างไรบ้าง นี่มิใช่ว่าต้องการพรากชีวิตของข้าไปหรอกหรือ?”
นายหญิงรองที่สืบข่าวคราวอะไรไม่ได้จึงเฝ้าอยู่ที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าตลอดร้องไห้โฮออกมา
โหวฮูหยินมีสีหน้าเย็นชา อยากสลัดเรื่องนี้ทิ้งแล้วแสร้งล้มป่วยจนลุกไม่ขึ้น แต่นางยังต้องกลับไปรายงานท่านโหว ยังต้องรับผิดการงานของจวนหย่งเฉิงโหว หากนางล้มลงไป บุตรชายบุตรสะใภ้ของนางจะทำอย่างไร
คนทั้งบ้านต่างเฝ้ารอด้วยความหวาดกลัวจนถึงบ่าย คนจากวังหลวงก็ส่งซือจูกับฉังเหยียนกลับมาอย่างกะทันหัน
เพียงแต่ว่าคนที่มาส่งคนทั้งสองนั้นมีขันทีใหญ่คนสนิทของฮองเฮาเหนียงเหนียงท่านหนึ่งมาด้วย นอกจากมาส่งทั้งสองคนแล้ว เขายังนำพระราชโองการมาด้วยหนึ่งฉบับ บอกว่าเป็นพระราชโองการของฮองเฮาเหนียงเหนียง ให้ซือจูหมั้นหมายกับคุณชายใหญ่เฉินอิงของจวนเจิ้นกั๋วกง จัดพิธีแต่งงานวันที่สิบเดือนสามปีหน้า
จวนหย่งเฉิงโหวเป็นญาติของตระกูลซือ เรื่องแต่งงานของซือจู จึงให้จวนหย่งเฉิงโหวช่วยดูแล
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วฟุบตัวล้มลงบนพื้นทันที จับมือโหวฮูหยินเอาไว้ เอ่ยถามขันทีใหญ่ผู้ประกาศพระราชโองการผู้นั้นด้วยดวงตาแดงช้ำว่า “ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้หรือไม่”
ซือจูคือคนที่ตระกูลซือหมายมั่นปั้นมือให้แต่งเข้าวังหลวง!
บัดนี้เกิดเรื่องขึ้นกับซือจูขณะที่อาศัยอยู่จวนหย่งเฉิงโหว ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าตนไม่รู้จะอธิบายกับคนบ้านเดิมอย่างไรดี
ขันทีใหญ่ผู้นั้นได้ยินแล้วมีแววชิงชังสายหนึ่งวาบผ่านดวงตา
บัดนี้คนภายนอกต่างกำลังเล่าลือกันว่าฮ่องเต้ประสงค์แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อ คนวิสัยทัศน์คับแคบบางคนไม่อาจรักษาอาการ ไม่เคารพยำเกรงฮองเฮาเหนียงเหนียงเหมือนเมื่อก่อน ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินมาว่าที่จวนหย่งเฉิงโหวได้ครอบครองหนึ่งตำแหน่งของกองบัญชาการทหารทั้งห้านั้นเป็นเพราะฮ่องเต้ต้องการทำให้ตำแหน่งครบเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่คนปัญญาทึบผู้หนึ่งเท่านั้นจริงๆ
เฉินอิง บุตรชายคนโตของจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นบุตรเลี้ยงของจ่างกงจู่ งานแต่งของเขาเป็นเรื่องที่กระทำลวกๆ ได้หรือ
กล่าวไปกล่าวมา มิใช่เพราะรู้สึกว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงของพวกเขาจัดการอะไรไม่ได้?
“หากฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าไม่เหมาะสม มิสู้เข้าวังไปขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท” ขันทีใหญ่ผู้นั้นกล่าวอย่างเป็นปริศนา “ท่านเองก็เป็นฮูหยินตราตั้ง ฝ่าบาทย่อมให้เข้าเฝ้าอยู่แล้ว ถึงเวลามิสู้ท่านไปถามด้วยตัวเอง ถามชัดเจนแล้ว ค่อยตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับพระราชโองการฉบับนี้ก็แล้วกัน”
“หามิได้! หามิได้!” โหวฮูหยินรีบยัดซองแดงให้ขันทีใหญ่ผู้นั้นไปด้วย รีบกล่าวอธิบายไปด้วยว่า “ข่าวนี้มาถึงอย่างกะทันหันเกินไป พวกข้ากลัวจะฟังผิด ก็เลยอยากสอบถามให้แน่ใจเท่านั้น กงกงอย่าได้เก็บไปใส่ใจ เรื่องเข้าวังย่อมต้องไปอยู่แล้ว พวกข้ายังต้องไปกล่าวขอบคุณในพระเมตตาของฮองเฮาเหนียงเหนียงอีก!”
ขันทีใหญ่ผู้นั้นฟังแล้วสีหน้ายังคงย่ำแย่ดังเดิม แสยะยิ้มเย็นพลางกล่าว “เช่นนั้นข้าพเจ้าจะรอโหวฮูหยินอยู่ในวัง ฮองเฮาเหนียงเหนียงยังมีธุระอีกมาก ข้าพเจ้าขอตัวลาก่อน”
กล่าวจบก็พาขันทีเด็กสองสามคนเดินจากไปโดยไม่รับเงินของโหวฮูหยิน
หย่งเฉิงโหววิ่งตามออกไป
โหวฮูหยินกระทืบเท้าไม่หยุด กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างตำหนิว่า “ท่านเองก็เหลือเกิน ทั้งๆ ที่รู้ว่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวเป็นอย่างไร ท่านยังจะกล่าวเช่นนั้นออกมาอีก นี่ช่างดียิ่ง ทำให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงขุ่นเคืองพระทัยไปแล้ว หากท่านมีเรื่องอยากสอบถามจริงๆ คุณหนูซือกับคุณหนูสามต่างกลับมาแล้ว ท่านตรงไปถามพวกนางก็ได้แล้ว เหตุใดต้องไปสอบถามคนไกลด้วย!”
เพราะเมื่อครู่หัวร้อนเกินไปฮูหยินผู้เฒ่าจึงพลั้งปากถามออกไปเช่นนั้น พอได้ยินโหวฮูหยินกล่าวเช่นนี้ นางก็พลันนั่งไม่ติดที่ขึ้นมา จับมือสาวใช้เอาไว้เดินไปหาซือจู
ซือจูสีหน้าซีดเผือด ยังคงสวมเสื้อผ้าและเครื่องประดับของเมื่อวาน นอนอยู่บนเตียงประหนึ่งร่างไร้ชีวิต หากมิใช่เพราะน้ำตารินไหลออกมาไม่หยุด ฮูหยินผู้เฒ่าคงคิดว่านางอาการแย่แล้ว
“หลานรักของข้า นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ฮูหยินผู้เฒ่ามองแล้วน้ำตาไหลไม่หยุด จับมือของซือจูเอาไว้ร้องไห้โฮออกมา “พ่อเจ้าฝากฝังเจ้าไว้กับข้า ดีร้ายเจ้าก็ต้องบอกอะไรข้าสักประโยคหนึ่ง ต่อให้ข้าต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเจ้า เจ้าก็ต้องบอกให้ข้ารู้ด้วยว่าต้องไปหาผู้ใด!”
ไม่รู้ว่าประโยคไหนของฮูหยินผู้เฒ่าไปสะกิดใจนาง จู่ๆ ซือจูที่แน่นิ่งเป็นขอนไม้มาตลอดตั้งแต่กลับมาก็ร้องไห้ โฮ ออกมา
ตอนเข้าวังยังดูประหนึ่งบุปผางามสูงเด่นเป็นสง่าในเดือนสาม ทว่าตอนกลับมากลับเสมือนไม้แก่สลัดก้านใบในฤดูหนาวอันเย็นยะเยือก ไม่เพียงไร้ซึ่งชีวิตชีวาเท่านั้น ยังดูแข็งค้างและเซื่องซึมราวกับถูกโจมตีมาอย่างหนักอีกด้วย
คนในห้องมองสภาพของนางแล้วต่างรู้สึกปวดแปลบหัวใจเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งกว่าใครกอดนางเอาไว้ร่ำไห้ไม่หยุด
ด้านสวนกล้วยไม้ สีหน้าของฉังเหยียนมิได้ดีไปกว่าของซือจูสักเท่าไรนัก แต่สุดท้ายแล้วเรื่องก็ไม่เกี่ยวกับนาง หลังจากที่นางกลับมาถึงจวนด้วยสีหน้าหวาดกลัวก็ยังไปล้างหน้าล้างตาใหม่ได้อยู่ครั้งหนึ่ง จากนั้นถูกนายหญิงรองโอบกอดอย่างปลอบขวัญขณะพูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน “…ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอทุกคนผลักประตูเปิดออกก็เห็นเฉินอิงกับซือจูกอดกันอยู่ ท่าทางนั่นดูคล้ายกับนกเป็ดน้ำยวนยางที่กำลังจะถูกใครจับแยกออกจากกันก็ไม่ปาน ทำเอาพวกข้าต่างตกตะลึงพรึงเพริดกันหมด”
“เป็นไปไม่ได้!” นายหญิงรองฟังแล้วก็รู้ว่าในเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ ซ่อนอยู่ด้วย กล่าวค้านโดยไม่ต้องคิดว่า “ซือจูหยิ่งยโสปานนั้น ต่อให้นางชอบเฉินลั่วก็ไม่มีทางไปชอบเฉินอิงได้ นอกจากนี้นางมุ่งมั่นอยากแต่งเข้าวังหลวงมาตลอด ปกติก็หาได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกับเฉินอิง จู่ๆ จะมีความสัมพันธ์ลับกับเฉินอิงได้อย่างไร คงมิใช่แผนการร้ายของเฉินลั่วหรอกกระมัง?”
ใครๆ ก็รู้ว่าเฉินลั่วกับเฉินอิงไม่ถูกกัน หากเฉินอิงขายหน้า เฉินลั่วย่อมยินดีเป็นที่สุด
“พวกข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” ฉังเหยียนหวนคิดถึงเรื่องนี้แล้วยังรู้สึกเหลือเชื่อและรู้สึกหวาดกลัวอยู่ กล่าวว่า “แต่เฉินอิงคุกเข่าต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท ปฏิญาณด้วยความจริงใจอะไรทำนองว่าเขามีใจปฏิพัทธ์ต่อซือจูมาตั้งแต่เด็ก พอได้ยินว่าซือจูกำลังจะแต่งให้กับองค์ชายห้า เขาถึงได้ยั้งตัวเองไม่อยู่ อยากช่วงชิงโอกาสให้ตัวเองสักครั้งก่อนที่งานแต่งระหว่างซือจูกับองค์ชายห้าจะถูกกำหนดลงมา”
ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่ถึงกับต้องใช้วิธีประเภทนี้กระมัง?
เห็นๆ อยู่ว่านี่เป็นการบีบบังคับให้ซือจูแต่งงานด้วย?
ซือจูจะไม่เกลียดชังเขาเข้าไส้หรอกหรือ
นี่เขากำลังสร้างศัตรูหรือกำลังจะแต่งงานกันแน่?
นายหญิงรองรู้สึกสมองของตัวเองตื้อไปหมดแล้ว นางถาม “เช่นนั้น ฝ่าบาททรงเห็นด้วยแล้ว?”
หาไม่ก็คงไม่มีพระราชโองการฉบับนั้นมาให้พวกเขา
พอนึกขึ้นมาอีกครั้งในตอนนี้ฉังเหยียนก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ นี่อาจจะเป็นเพราะเมื่อก่อนนางไม่เคยเจอพยัคฆ์จริงๆ มาก่อน บัดนี้ถึงรู้ซึ้งว่ายามเผชิญหน้ากับพยัคฆ์ผู้คนหวาดกลัวมากเพียงใด
ช่างคล้องกับประโยคที่ว่า ‘ไม่มีเพชรเจาะ อย่าได้คิดรับงานซ่อมเครื่องสังคโลก’ ประโยคนั้นจริงๆ นางรู้สึกว่านับจากนี้ไปตนคงไม่มีความคิดอยากช่วงชิงอำนาจอะไรนั่นอีกแล้ว
“ไม่อนุญาตแล้วจะทำอะไรได้? องค์ชายห้ากระโดดพรวดออกมาบอกว่าไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องเพียงเพราะสตรีคนหนึ่ง ฮ่องเต้พิโรธจนพักตร์เขียวครึ้ม แต่ข้างๆ มีชิ่งอวิ๋นโหวและใต้เท้าอวี๋ยืนอยู่ด้วย จะทำเสมือนว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นได้หรือ”
……………………………………………………………………..
ตอนต่อไป