“ซือจูจะถูกทำลายไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ!” นายหญิงรองพึมพำกล่าว ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่รู้ว่ารู้สึกเสียดายมากกว่าหรือเห็นใจสงสารมากกว่า
ฉังเหยียนไม่พูดอะไรเนิ่นนาน นึกถึงตอนที่ฝ่ามือของเจิ้นกั๋วกงตบลงบนใบหน้าของเฉินลั่วแล้วเฉินลั่วคว้ามือของเจิ้นกั๋วกงเอาไว้ ในความนิ่งสงบนั้นมีความเย็นชาแฝงอยู่ด้วยหลายส่วน
“เจิ้นกั๋วกงยังตบเฉินลั่วด้วย” นางกล่าวด้วยอาการใจลอยอย่างห้ามไม่อยู่ “เฉินลั่วคุกเข่าลงต่อพระพักตร์ฝาบาทต่อหน้าคนมากมาย ขอให้ฝ่าบาทช่วยตัดสิน หากตรวจสอบออกมาว่าเขาเป็นคนทำเรื่องนี้ เขายอมถูกถอดยศเป็นคนธรรมดา จะไม่ย่างเท้าเข้ามาเหยียบจิงเฉิงอีกเลยตลอดชีวิต แต่ถ้าตรวจสอบออกมาว่าเขาไม่ได้เป็นคนกระทำเรื่องนี้ เขาต้องการตัดขาดกับเจิ้นกั๋วกง นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เขามิใช่บุตรหลานของตระกูลเฉินอีก”
“หา!” นายหญิงอ้าปากกว้าง รู้สึกว่าตนไม่อาจหุบปากลงได้
ฉังเหยียนกลับดูเหมือนปีศาจร้ายที่อิ่มอกอิ่มใจยิ่ง ไม่มองมารดาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตั้งหน้าตั้งตาเล่าต่อด้วยดวงตาดำทะมึน “เดิมทีฮ่องเต้ก็ทรงพิโรธที่เฉินลั่วกระทำพลการ ละเมิดกฎขอวังหลวงอยู่แล้ว เมื่อคำพูดดังกล่าวหลุดออกมาจากปากเฉินลั่ว ฮ่องเต้จึงยื่นหัตถ์ไปตบเฉินลั่วครั้งหนึ่ง แต่ฝ่าพระหัตถ์ยังไปไม่ถึงใบหน้าของเฉินลั่ว ก็ตบโดนร่างของจ่างกงจู่เสียก่อน จ่างกงจู่จึงคว้าหัตถ์ของฮ่องเต้เอาไว้ร้องไห้ออกมา…
…กล่าวอะไรทำนองว่านางกับฝ่าบาทถือกำเนิดมาจากครรภ์มารดาเดียวกันก็ให้แล้วกันไป แต่ไม่อาจให้บุตรชายของนางรับความอยุติธรรมเช่นนี้ได้ ร้องขอฮ่องเต้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้คำอธิบายหนึ่งแก่เฉินลั่ว...
…ดวงพักตร์ของฮ่องเต้จึงยิ่งไม่น่าดู…
…ซูเฟยเหนียงเหนียงเองก็กรรแสงอยู่ด้านนอก พูดว่าซือจูนั้นกินข้าวในชามอยู่ก็ยังจะไปเมียงมองข้าวในหม้ออีก หากอยู่บ้านเดิมของพวกเขา คงถูกจับถ่วงน้ำไปนานแล้ว ฮ่องเต้จะปล่อยซือจูไปไม่ได้…
…องค์ชายสามกับองค์ชายห้าไปดึงซูเฟยเหนียงเหนียง แต่ดึงเท่าไรก็ดึงไม่ขึ้น…
…ต่อมาเป็นชิ่งอวิ๋นโหวไปเชิญฮองเฮาเหนียงเหนียงมา ปิดประตูใหญ่ของหกตำหนัก ให้เหล่ากูกูในวังจัดที่ทางให้พวกข้าและพาซือจูไปตำหนักคุนหนิง…
…ส่วนจ่างกงจู่มีเฉินลั่วพาไปตำหนักฉือหนิงของเจียงไท่เฟย...
…ตอนแรกข้าคิดจะไปอยู่กับลู่หลิง ผู้ใดจะรู้ว่าลู่หลิงเองก็ไปอยู่กับเจียงไท่เฟยแล้ว จวนเซียงหยางโหวไม่มีใครเข้าวัง ข้าไม่รู้จักใครสักคน ถูกกักตัวอยู่ในห้องที่ไม่รู้ว่าเป็นตำหนักอะไรอยู่หนึ่งคืน ใกล้เที่ยงแล้วถึงมีคนยกข้าวต้มขาวหนึ่งถ้วยกับซาลาไส้ผักสองลูกเข้ามาให้…
…ข้ายังคิดว่าวันนี้คงไม่ได้กลับออกมาแล้ว ไม่คิดว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงกลับเรียกตัวข้าไปเข้าเฝ้า ให้ข้ากลับจวนหย่งเฉิงโหวเป็นเพื่อนซือจู ยังตรัสด้วยว่า ฮ่องเต้จะเป็นคนตัดสินพระทัยเรื่องนี้เอง ให้พวกข้าไม่ต้องพูดอะไร ซือจูได้รับความอยุติธรรมนั้นนางทราบดี จะไม่ปล่อยให้ซือจูถูกคนรังแกไปเปล่าๆ เช่นนี้อย่างแน่นอน”
นายหญิงรองฟังแล้วใจเต้นตึกๆ กระโดดพรวดขึ้นมาด้วยดวงหน้าตื่นตระหนก กล่าวว่า “ซือจูเล่า? ตอนนั้นซือจูมีท่าทีเช่นไร นางพูดอะไรบ้างหรือไม่”
ตอนอยู่ในวังฉังเหยียนเอาแต่เป็นกังวลว่าตัวเองจะถูกลากไปเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยหรือไม่ พอออกจากวัง ก็รู้สึกราวกับหนีออกมาจากความตายได้ หวังแค่ว่าอยากไปเจอมารดา ไปเจอท่านลุงหย่งเฉิงโหวให้เร็วที่สุด ประคองซือจูเดินโซซัดโซเซออกจากวัง ไหนเลยจะมีเวลาไปสังเกตว่าซือจูมีท่าทีอย่างไร
แต่กระนั้นก็ตาม ถ้าซือจูมีความผิดปกติอะไร ไม่มีทางที่นางจะไม่สังเกตเห็น
นางพยายามนึกย้อนกลับไป พึมพำกล่าวว่า “ตอนนั้นนางร้องไห้อย่างเจ็บปวด เอาแต่พูดว่าเฉินอิงรังแกนาง เฉินลั่ววางแผนใส่ร้ายนาง ต่อมาเมื่อฮ่องเต้เสด็จมาถึง นางก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่คล้ายจะขยับเข้าไปอยู่ข้างวรกายฮ่องเต้ ตอนนั้นฮ่องเต้เต็มไปด้วยกลิ่นไอสังหาร นางยังไม่ทันได้ขยับเข้าไป ฮ่องเต้ก็เสด็จไปตรงหน้าเฉินลั่ว ง้างหัตถ์หมายจะตบเฉินลั่ว แต่ถูกจ่างกงจู่ขวางเอาไว้ หลังจากนั้นนางก็เอาแต่ร้องไห้…
…ตอนออกมาจากวังหลวงในช่วงบ่าย ดวงตาของนางบวมช้ำไปหมด แต่สีหน้ากลับนิ่งสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่พูดอะไรกับข้าสักคำ ข้าเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับนางดี...”
“ไม่ได้การแล้ว!” นายหญิงรองกระโดดพรวดขึ้นมาวิ่งออกไปด้านนอกโดยไม่ต้องคิดให้มากความ “อาเหยียน เจ้าจงอยู่แต่ในเรือน อย่าไปไหนเด็ดขาด ซือจูถูกหลอกแล้วแปดถึงเก้าในสิบส่วน หากนางมาตายอยู่ในบ้านของพวกเรา พวกเราจบเห่แน่”
ฉังเหยียนไม่เข้าใจ
กว่านางจะวิ่งตามออกไป ก็ไม่เห็นเงาของนายหญิงรองแล้ว
นางกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ไม่มีคนให้ปรึกษาด้วยแม้แต่คนเดียว จึงวิ่งออกประตูตามนายหญิงรองไปด้วย
นายหญิงรองตรงไปที่เรือนหยกวสันต์อย่างรีบเร่ง
ซือหมัวมัวกลับขวางนางเอาไว้ตรงทางเดินใต้ชายคา แม้นน้ำเสียงจะเคารพนบนอบแต่มิได้กระตือรือร้นเหมือนเมื่อก่อน กล่าวยิ้มๆ อย่างสุภาพว่า “นายหญิงรอง ตอนนี้ในบ้านกำลังวุ่นวาย ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะมีเวลามาพบท่าน? คุณหนูสามเองก็หวาดผวา ท่านเป็นมารดาที่รักและเอาใจใส่บุตร ปฏิบัติกับบุตรชายหญิงประหนึ่งเป็นไข่มุกเป็นอัญมณีมาตลอด เวลานี้ท่านไปดูแลคุณหนูสามก่อนดีกว่า หากทางนี้มีเรื่องอะไร ข้าจะไปบอกท่านเป็นคนแรก”
นายหญิงรองรู้มาตลอดว่าฮูหยินผู้เฒ่ามิใช่คนจัดการอะไรได้ นางผลักซือหมัวมัวออกเดินเข้าไปข้างใน ปากยังเอ่ยถามไม่หยุดว่า “โหวฮูหยินเล่า? นางอยู่ที่ไหน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ซือหมัวมัวหนังตากระตุกไม่หยุด คิดได้ว่าฉังเหยียนเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนที่เข้าวังเหมือนกัน จึงไม่กล้าดูเบานายหญิงรอง นิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วเดินตามหลังนายหญิงรองเข้าไป กล่าวว่า “สภาพจิตใจของคุณหนูซือยังไม่ดีขึ้น จึงพักผ่อนไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากับโหวฮูหยินกำลังเฝ้าคุณหนูซืออยู่เจ้าค่ะ!”
ค่อยยังชั่ว! ค่อยยังชั่ว! ที่ซือจูพักอยู่ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า
นายหญิงรองโล่งอกไปได้เปลาะหนึ่ง ทว่าฝีเท้ามิได้ลดความเร็วลงเลย เดินตรงเข้าไปในห้องของฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินความเคลื่อนไหวก็รู้ว่านายหญิงรองมาถึงแล้ว นางยังเคืองโกรธนายหญิงรองอยู่ เห็นนายหญิงรองเดินเข้ามาก็ทำหน้าเคร่ง กล่าวตำหนิเสียงเบาว่า “กำลังจะเป็นย่าคนอยู่แล้ว ยังเอะอะโวยวาย สภาพเหมือนอะไรไปแล้ว!”
นายหญิงรองไม่มีกะใจโต้เถียงกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเรื่องพวกนี้ ก้าวออกไปยอบกายทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากับโหวฮูหยินลวกๆ ครั้งหนึ่ง ลดเสียงลงกล่าวอย่างร้อนใจว่า “เมื่อครู่อาเหยียนบอกข้าว่า ก่อนออกจากวังซือจูไม่รู้ว่ามีเรื่องพระราชโองการอยู่ด้วย ฮองเฮาเหนียงเหนียงยังรับปากนางว่าจะช่วยขอความเป็นธรรมให้นางอีกด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่ายังมึนงงอยู่ ทว่าโหวฮูหยินกลับเข้าใจกระจ่างแจ้ง
นางลอบอุทานเสียงหนึ่งว่า “แย่แล้ว” ลากเท้าเดินเข้าไปในห้องชั้นในของฮูหยินผู้เฒ่า
เห็นตานหมัวมัวเฝ้าอยู่ข้างกายซือจู จับมือซือจูไว้น้ำตารินไหลออกมาเงียบๆ เห็นเช่นนั้นรู้สึกเบาใจขึ้นมาเล็กน้อย
หากการช่วยซือจูขอความเป็นธรรมของฮองเฮาเหนียงเหนียงหมายถึงการพระราชทานสมรสให้ซือจูโดยการจับคู่ซือจูกับเฉินอิง ด้วยนิสัยของซือจูแล้ว ไม่มีทางยอมง่ายๆ เช่นนี้อย่างแน่นอน แต่ถ้าซือจูเพียงร้องโวยวายยังจัดการง่าย กลัวแต่ว่านางจะคิดไม่ตก แขวนคอจบชีวิตอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหว เช่นนั้นพวกเขาจะอธิบายกับวังหลวง อธิบายกับตระกูลซือ หรือกระทั่งอธิบายกับจวนเจิ้นกั๋วกงว่าอย่างไร
หากเป็นเช่นนั้นความผิดทั้งหมดของเรื่องนี้คงตกเป็นของจวนหย่งเฉิงโหวของพวกเขาแล้ว
โหวฮูหยินไม่กล้าต่อว่าราชวงศ์ ได้แต่ด่าซือจูจนไม่เหลือชิ้นดีเท่านั้น
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าซือจูถูกคนใส่ร้าย แต่ปกติซือจูหยิ่งทะนง ไม่เห็นหัวผู้ใดมิใช่หรือ การไม่เห็นหัวผู้อื่นก็ต้องมีความสามารถด้วย เข้าวังครั้งหนึ่งก็ถูกคนเล่นงานด้วยอุบายเล็กน้อยนี้แล้ว นางเอาความมั่นใจจากไหนไปดูถูกดูแคลนผู้อื่นกัน? สู้ฉังเคอไม่ได้ด้วยซ้ำ
อยู่เงียบๆ ก็ได้แต่งกับครอบครัวดีๆ แล้ว ยังกระชากหน้าของฉังเหยียนลงมาเหยียบบนพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อีกด้วย
กับคนอย่างคุณหนูหกปั๋วยิ่งเทียบกันไม่ติด
ขนาดเป็นตระกูลปั๋วที่มีทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงมาก ผู้อื่นยังรู้จักเก็บน้ำขุ่นไว้ข้างในน้ำใสไว้ข้างนอก มีสหายสนิทสองถึงสามคนคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันเลย
แต่นางช่างดีเหลือเกิน นอกจากองค์หญิงฟู่หยางก็ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาแล้ว
บัดนี้เกิดเรื่องขึ้น องค์หญิงฟู่หยางไปอยู่เสียที่ใด?
คนที่ออกมาเหยียบนางซ้ำก็คือองค์ชายห้าเชษฐาร่วมอุทรขององค์หญิงฟู่หยาง
ไม่แน่ว่าเชษฐาของผู้อื่นอาจจะเป็นผู้ปลุกปั่นเรื่องครั้งนี้ก็เป็นได้
เมื่อความคิดดังกล่าววาบผ่าน โหวฮูหยินเองก็ตะลึงงันไปด้วยเช่นกัน
ซือจูต้องการแต่งเข้าวังหลวง แล้วแต่งกับผู้ใด? องค์ชายใหญ่เสกสมรสแล้ว ส่วนองค์ชายรองตระกูลน้าชายของเขาคือจวนชิ่งอวิ๋นโหวที่ไม่เห็นตระกูลซืออยู่ในสายตา องค์ชายสี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ให้เกียรติซือจูแต่ก็รักษาระยะห่างมาโดยตลอด ซือจูเองก็รังเกียจที่องค์ชายสี่ไม่มีครอบครัวมารดาคอยสนับสนุน ส่วนองค์ชายหกทั้งอ้วนทั้งโง่เขลา ซือจูยิ่งไม่เห็นอยู่ในสายตา องค์ชายเจ็ดกับนางอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ทรงรักองค์ชายเจ็ดเป็นพิเศษ แม้แต่คุณหนูสี่ของตระกูลถานที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน หน้าตางดงามมีพรสวรรค์ เป็นคนอบอุ่นอ่อนโยนและมีความสามารถ พระองค์ยังรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับองค์ชายเจ็ด ฉะนั้นคนที่พอจะเป็นเป้าหมายของซือจูได้ก็มีแค่องค์ชายสามกับองค์ชายห้าเท่านั้นแล้ว
นอกจากนี้องค์ชายสามยังเป็นตัวเลือกหลักสำหรับตำแหน่งรัชทายามมาโดยตลอด อีกทั้งซือจูก็สนิทสนมกับองค์หญิงฟู่หยาง และประจบประแจงซูเฟยเหนียงเหนียงเป็นอย่างมากอีกด้วย…
แต่เรื่องแต่งงาน มิใช่การตัดสินใจของคนใดคนหนึ่ง
หากซูเฟยเหนียงเหนียงไม่ได้ถูกใจซือจูเล่า?
และซือจูยังไปมีเรื่องอยู่ในวังหลวงอีก
เรื่องเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของโหวฮูหยิน สุดท้ายก็ไม่อาจหาคำตอบที่ชัดเจนได้ ได้แต่กำชับพานหมัวมัวว่า “ช่วงนี้เจ้าไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นทั้งนั้น จับตาดูคุณหนูซือเอาไว้จนกว่านางจะขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปอย่างราบรื่นก็พอ”
ส่วนเรื่องหลังจากขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปแล้วจะเป็นอย่างไรนั้น หาใช่ปัญหาของจวนหย่งเฉิงโหวของพวกเขาแล้ว
เรื่องนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก เกรงว่านางคนเดียวอาจรับมือไม่ไหว คงต้องบอกท่านโหวให้ทราบเอาไว้ถึงจะใช้ได้
โหวฮูหยินให้นายหญิงรองอยู่คุยกับฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนตัวเองไปหาท่านโหวที่เรือนส่วนหน้า
***
ด้านหวังซี เรื่องราวมากมายที่มาเป็นชุดๆ ทำเอานางตาลายไปหมด สายตาไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้แล้ว
จวบจนกลางคืนนางถึงได้มีเวลาว่างมากระซิบกระซาบกับคุณหนูพานและฉังเคอ “ซือจูคงไม่คิดสั้นจริงๆ หรอกกระมัง สำหรับข้าแล้ว ชีวิตอันเผ็ดร้อนยังดีกว่าความตาย มีชีวิตอยู่ถึงจะเปลี่ยนแปลงชะตาได้ กว่าจะถึงวันออกเรือนก็อีกตั้งครึ่งปีมิใช่หรือ หากไม่ยอมแพ้จริงๆ ก็ลองสู้ดูสักตั้ง ไม่ถึงกับต้องตายหรอกกระมัง”
ฉังเคอรังเกียจซือจูเป็นที่สุด โดยเฉพาะเหตุผลที่นางชวนตนเข้าวังในตอนแรก ทำให้ยามนางคิดถึงก็รู้สึกต่อต้าน ด้วยเหตุนี้คำพูดคำจาจึงไม่เกรงใจเลยแม้แต่ครึ่งเดียว กล่าวว่า “กลัวแต่ว่านางคิดจะจัดฉากโศก แสดงงิ้วจนเกินพอดี”
หวังซีกับคุณหนูพานหน้าเจื่อน
คุณหนูพานกล่าว “ท่านป้าของข้าเองก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ตอนนี้คนในบ้านทั้งบนและล่างต่างก็ช่วยกันจับตาดูนาง!”
นางกับซือจูมีปัญหากันน้อยที่สุด พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางก็ใจอ่อน ไม่ได้รู้สึกต่อต้านเท่าเมื่อก่อน ทอดถอนใจกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าหากตระกูลซือรู้เรื่องนี้แล้วจะทำอย่างไร”
การเลี้ยงดูปลุกปั้นบุตรสาวให้มีคุณสมบัติเข้าวังได้ผู้หนึ่งต้องใช้ทั้งแรงใจ แรงกายและแรงทรัพย์ของตระกูลไปมากมาย ซือจูเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าทุกอย่างสูญเปล่าแล้ว
แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อเฉินลั่ว
หวังซีลอบตรึกตรองอยู่ในใจ
เห็นได้ชัดว่าเฉินอิงเดินหมากผิดไปหนึ่งก้าว ทำให้ทุกคนได้เห็นความสามารถของเฉินอิง ต่อให้อนาคตเขาได้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกง แต่ในสายตาของผู้อื่นแล้ว ความสามารถของเขาช่างธรรมดาสามัญยิ่ง
ไม่รู้ว่าจะรักษาตำแหน่งผู้บังคับบัญชาของกองบัญชาการทหารทั้งห้าได้หรือไม่
นางยังคงเป็นห่วงเฉินลั่วอยู่บ้าง
ฝ่าพระหัตถ์นั้นของฮ่องเต้ ต้องเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกอย่างแน่นอน
นั่นก็หมายความว่าฮ่องเต้ไม่ได้ต้องการเห็นผลลัพธ์เช่นนี้
เช่นนั้นในพระทัยของฮ่องเต้แล้ว ซือจูควรแต่งกับผู้ใดถึงจะเหมาะสมกว่า? ต่อให้เฉินลั่วมิได้เป็นคนทำเรื่องนี้ แต่ในพระทัยของฮ่องเต้แล้วมันก็เกี่ยวข้องกับเฉินลั่วอยู่ดี เท่ากับว่าเฉินลั่วไปยั่วยุให้ฮ่องเต้พิโรธ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะลงโทษเขาอย่างไรบ้าง
หวังซีรู้สึกว่าเฉินลั่วเหมือนผักกาดขาวในดินที่ยังไม่โตเต็มที่ จึงมีรสขมเล็กน้อย
เป็นเพราะมารดาไม่รักลุงไม่เอาใจใส่จริงๆ
แต่หวังว่าการที่จ่างกงจู่ออกมาปกป้องเฉินลั่วครานี้ จะทำให้เฉินลั่วรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
หวังซีรู้สึกหดหู่ใจ
ไม่รู้ว่าตอนนี้เฉินลั่วอยู่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่
……………………………………………………………………….
ตอนต่อไป