เวลานี้เฉินลั่วที่หวังซีกำลังเป็นห่วงอยู่เพิ่งจะกลับออกมาจากหวังหลวงพร้อมกับมารดา ยังไม่ทันได้กลับห้องไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ก็ถูกจ่างกงจู่รั้งเอาไว้พูดคุยด้วย
“เรื่องของเฉินอิง เจ้ามิได้เป็นคนทำจริงๆ ใช่หรือไม่” น่าเสียดายที่ประโยคแรกที่จ่างกงจู่เอ่ยปากพูดเป็นการส่วนตัวจะเป็นการสงสัย นางขมวดคิ้วมุ่นพลางจ้องมองเฉินลั่ว “ทุกคนต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ได้ประโยชน์”
หลายวันมานี้เฉินลั่วอยู่ในวังเป็นเพื่อนมารดา เขารู้สึกซาบซึ้งใจกับเรื่องที่มารดาปกป้องเขาก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก ถึงขั้นคิดว่าไม่ว่าก่อนหน้านี้มารดาจะละเลยเขาอย่างไร เขาก็ยกโทษให้มารดาได้ทุกอย่าง แต่ความคิดเช่นนั้นก็จะคงอยู่ได้แค่ไม่กี่วันก็โบยบินจากไปเสียแล้ว เขาไม่มีแม้แต่อารมณ์จะอธิบายอะไรทั้งสิ้น
“ที่แท้เมื่อหลายวันก่อนที่ท่านไม่พูด ก็เพียงเพราะไม่อยากให้มีเรื่องอื้อฉาวของครอบครัวกระจายออกไปข้างนอก จึงไม่สะดวกถามข้าก็เท่านั้น” เขาพึมพำกล่าว ดวงหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง “หากท่านคิดว่าเป็นข้า เช่นนั้นก็เป็นข้าก็แล้วกัน!”
อย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือมารดาของเขา หรือแม้กระทั่งขุนนางในราชสำนัก ล้วนคิดว่าเขาเป็นคนขุดหลุมให้เฉินอิงกระโดดข้ามอยู่ดี ที่พวกเขาไม่เห็นเฉินอิงอยู่ในสายตา ก็เพียงเพราะเฉินอิงไม่ฉลาดพอก็เท่านั้น
เขาไม่พูดอะไรอีก ทำความเคารพมารดาอย่างนอบน้อม กล่าวประโยคหนึ่งไปตามมารยาทว่า “หลายวันมานี้ลำบากท่านแม่แล้ว ในเมื่อกลับมาถึงจวนแล้ว เช่นนั้นก็พักผ่อนแต่หัวค่ำเถิด! ไหนจะต้องเตรียมงานหมั้นหมายให้พี่ชายใหญ่อีก” จากนั้นไม่รอให้จ่างกงจู่ตอบ เขาก็ออกจากเรือนหลักของมารดาไปอย่างรวดเร็วแล้ว
ค่ำคืนของต้นฤดูใบไม้ร่วง สายลมที่พัดผ่านนำพาความเย็นมาด้วยหลายส่วน ช่วยขจัดปัดเป่าความร้อนของกลางวันไปได้ ทว่ากลับไม่อาจปัดเป่าความผิดหวังออกจากหัวใจของเฉินลั่วได้
เขาเดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงกำแพงที่กั้นระหว่างศาลากวางร้องกับจวนหย่งเฉิงโหวโดยไม่รู้ตัว
ต้นหลิวที่คุ้นเคยยังเป็นพุ่มดุจร่มเช่นเดิม กิ่งหลิวกึ่งหนึ่งทิ้งตัวลงมาทางศาลากวางร้อง อีกกึ่งหนึ่งทิ้งตัวอยู่ในสวนร่มหลิว
หวังซีเป็นคนรู้ทันข่าวสารอยู่เสมอ เรื่องของซือจูผ่านมาหลายวันแล้ว เขายังไม่ได้ส่งข่าวมาให้นางเลยสักฉบับ นางคงรอข่าวจากเขาจนร้อนใจแล้วกระมัง
เฉินลั่วคิด ร่างกายเคลื่อนตัวไวกว่าสมอง เขาปีนกำแพงเข้าไปในสวนร่มหลิวอย่างว่องไว
สวนร่มหลิวยามค่ำคืน ฉากหลังเป็นต้นไม้เขียวขจี โคมไฟมังกรสีแดงอร่ามห้อยอยู่บนที่สูง ทั้งเงียบและสงบ
เขาเดินไปยังที่พักของหวังซีอย่างเบามือเบาเท้า หยิบหินก้อนหนึ่งโยนใส่หน้าต่างของหวังซี
หวังซีอ้าปากหาวขณะเปิดหน้าต่างออก ยื่นใบหน้าออกไปกึ่งหนึ่ง กล่าวกับเขาด้วยอาการที่ยังตื่นไม่เต็มตาว่า “รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเจ้า! ข้าบอกเจ้าแล้วว่าบนหน้าต่างของข้าฝังกระจกจากดินแดนตะวันตก เรื่องราคาแพงยังถือเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญคือมีขายแค่ที่เหวินโจวเท่านั้น กว่าจะได้มาหนึ่งแผ่น ต้องใช้เวลาไปๆ กลับๆ สามถึงสี่เดือน หากทำแตกต้องชดใช้ด้วย”
เฉินลั่วนั่งลงบนโต๊ะหินใต้ซุ้มองุ่นด้วยท่วงท่าสบายๆ กล่าวว่า “ก็แค่เรื่องเงินมิใช่หรือ ขอบอกเจ้าเอาไว้ ขอเพียงเป็นเรื่องที่ใช้เงินแก้ปัญหาได้ นั่นล้วนมิใช่ปัญหา”
คำพูดนี้ช่างคุ้นหูยิ่งนัก!
เหตุใดถึงเหมือนกับคำพูดของท่านปู่ของนางอย่างกับแกะขนาดนี้
หวังซีนอนหลับสนิทไปแล้วจึงยังตื่นไม่เต็มที่เท่าไรนัก ได้ยินแล้วกล่าวออกมาโดยสัญชาตญาณว่า “แต่เจ้าก็ต้องมีเงินด้วยถึงจะแก้ปัญหาได้ บนโลกใบนี้ แม้นกล่าวว่าทุกอย่างมีราคาค่างวด แต่ของบางอย่างต่อให้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ เจ้าอย่าได้ประมาทเชียว!”
เฉินลั่วไม่ได้มาเพื่อคุยเรื่องนามธรรมเข้าใจยากเหล่านี้กับนาง เขากล่าว “ข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้าไม่มีอะไรอยากถามข้าเลยหรือ หากเจ้าไม่มีเรื่องอะไร เช่นนั้นข้าต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว”
หวังซีพลันตื่นเต็มตาขึ้นมาทันที กล่าวขึ้นว่า “มี มี มี” ไปด้วย ปล่อยมือจากบานหน้าต่างไปด้วย รีบก้าวออกไปจากห้องชั้นใน
ไป๋จื่อที่เฝ้าเวรยามอยู่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว นางถูดวงตาพลางกล่าว “คุณหนู มีเรื่องอะไรท่านสั่งการข้าก็พอเจ้าค่ะ”
หวังซีส่ายศีรษะ รู้สึกว่าเนื่องจากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี นอกจากไม่ต้องการให้นางไปปรนนิบัติแล้ว ยังกล่าวด้วยว่า “เจ้าไปพักเถอะ! ข้าไปคุยกับใต้เท้าเฉินสองประโยคก็กลับมาแล้ว”
ไป๋จื่อไม่อาจเดินตามต่อไปได้อีก หวังซีถือตะเกียงพาเฉินลั่วเดินไปที่ห้องครัว
เฉินลั่วไม่เข้าใจ
สาวใช้เด็กที่เฝ้าเวรยามอยู่ในครัวกำลังสัปหงกอยู่ พอเห็นพวกเขาก็รีบยืนขึ้น กล่าวว่า “เตาในครัวยังร้อนอยู่ ข้าจะไปเรียกแม่ครัวมาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
หวังซีกล่าว “เจ้ายกสำรับมาตั้งก่อนก็แล้วกัน”
ที่เรือนครัวมีห้องโถงขนาดเล็กอยู่ห้องหนึ่ง ปกติคนในครัวจะใช้กัน เวลานี้จัดเก็บเอาไว้อย่างสะอาดสะอ้าน แล้วก็เป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่ง
หวังซีพาเฉินลั่วไปนั่ง
สาวใช้เด็กนำน้ำแกงไก่กระดูกดำตุ๋นโสมคนกับรากเทียนหมาหนึ่งถ้วย หมานโถวทอดและนึ่งหนึ่งจาน ผักดองรวมมิตรหนึ่งจาน ไก่ฉีกหนึ่งจาน หัวหมูตุ๋นหนึ่งจาน ปลาเค็มหนึ่งจาน และข้าวต้มขาวอีกหนึ่งถ้วยมาวางบนโต๊ะอย่างคล่องแคล่วว่องไว เสร็จแล้วถึงได้ถอยออกไป
หวังซีกล่าว “ไม่รู้ว่าเจ้าจะมาเมื่อไร ได้แต่ให้คนทำกับข้าวเล็กๆ น้อยๆ เตรียมเอาไว้ เจ้าดูแล้วอยากกินหรือไม่ หากรู้สึกไม่อยากอาหาร ข้าจะให้ในครัวลุกขึ้นมาจุดไฟใหม่อีกครั้ง”
เฉินลั่วมองอาหารที่วางเต็มโต๊ะ ไม่พูดอะไรกว่าครู่ใหญ่
เสียงพูดของหวังซีจึงอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น นางกล่าว “ไม่ชอบใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าอยากกินบะหมี่หรืออยากกินข้าว? หรืออยากดื่มอะไรสักหน่อยหรือไม่”
เฉินลั่วหลุบตาหลง ส่ายศีรษะโดยที่เห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดนัก กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบต่ำเล็กน้อยว่า “ไม่ต้อง แค่นี้ก็ดีมากแล้ว” เขากล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมา สายตาที่มองหวังซีเต็มไปด้วยแววขบขัน กล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่ได้เป็นคนเลือกกินขนาดนั้นกระมัง”
ทั้งๆ ที่เป็นคำพูดที่แฝงความหยอกเย้าเอาไว้หลายส่วน แต่พอเฉินลั่วพูดออกมากลับฟังดูเหมือนคนขาดความมั่นใจที่กำลังปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้
หวังซีไม่เข้าใจความหมายของเขา ถูจมูกเล็กน้อยพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ใช้ได้หรือไม่! มิใช่เพราะข้ากลัวเจ้าจะไม่ชอบหรอกหรือ”
“ดีมาก!” เขาตอบ น้ำเสียงอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว อย่างน้อยเจ้าก็ยังจำได้ว่าข้าชอบกินผักดองรวมมิตรของพวกเจ้า”
หวังซียิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ กล่าวว่า “นี่เป็นหลักของการรับรองแขก คนที่มากินข้าวที่บ้านข้าสองครั้งขึ้นไป ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่หน้าโต๊ะอาหารก็ต้องจำให้ได้แล้วแขกคนนั้นชอบกินอะไรบ้าง ดังงานงานเลี้ยงของบ้านข้าที่สู่จงจึงมีชื่อเสียงมาก”
เฉินลั่วยิ้ม ในหัวมีธารความคิดผุดขึ้นมาเป็นพันเป็นหมื่นเรื่อง
แต่เขากินข้าวกับบิดามารดามาไม่รู้กี่มื้อต่อกี่มื้อ ทว่าบิดามารดาของเขาคงจำไม่ได้ว่าเขาชอบกินอะไรบ้าง
กระบอกตาของเขารื้นชื้นเล็กน้อย
พูดเอาไว้เสียดิบดีว่าจะไม่เศร้าเสียใจให้กับบิดาและมารดาอีก แต่เขาก็ยังทำไม่ได้
บางทีนี่อาจเป็นเพียงเรื่องเดียวที่เขาพูดแล้วยังทำไม่ได้
อารมณ์ของเฉินลั่วค่อยๆ สงบลงมา มองเครื่องเคียงบนโต๊ะแล้ว เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง
เขากินเครื่องเคียงกับข้าวต้มไปครึ่งถ้วยและหมานโถวทอดและนิ่งไปอีกสองลูกถึงได้วางตะเกียบลง ดื่มน้ำแกงอย่างสบายๆ ไปด้วย กล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “เอาล่ะ เก็บสินบนของเจ้าไปได้แล้ว ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้ เจ้าถามมาเถอะว่าอยากรู้อะไรบ้าง”
หวังซีครุ่นคิด ยิ้มกล่าวว่า “ตอนเจ้ายังไม่มาข้ารู้สึกว่าตัวเองมีเรื่องอยากถามมากมาย แต่พอเจ้ามาแล้ว ข้ากลับรู้สึกว่าบางอย่างถามหรือไม่ถามก็ไม่สำคัญแล้ว อย่างไรเสียงานแต่งระหว่างเฉินอิงกับซือจูก็ได้รับข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อให้จ่างกงจู่ไม่อยากจัดการงานแต่งให้พวกเขา ลุงป้าน้าอาของเฉินอิงก็ยังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ เขาเองก็หาใช่คนไร้ญาติขาดผู้อาวุโส ไม่แน่ว่าเฉินเจวี๋ยอาจเร่งเดินทางกลับมาจากเฉิงโจวก็เป็นได้ ก็แค่รู้สึกว่าเฉินอิงไม่ค่อยฉลาดนัก เหตุใดต้องใช้งานแต่งของตัวเองมาเป็นเบี้ยด้วย”
ต้องรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเฉินลั่วก็ดีหรือเฉินอิงก็ดี ต่างต้องแบกรับเรื่องต่างๆ เอาไว้มากมาย หากมีภรรยาที่อุทิศตัวดูแลพวกเขาอย่างสุดหัวใจผู้หนึ่งได้ ชีวิตย่อมมีความสุขขึ้นมาก
ทว่าเฉินอิงกลับดับเปลวไฟเพียงหนึ่งเดียวที่อาจทำให้เขามีความสุขได้อันนั้นทิ้งไปแล้ว
ชีวิตต่อจากนี้จะยังมีความหมายอะไรอีก
อย่างไรก็ตาม บางทีนี่อาจเป็นความหมายแห่งชีวิตของเฉินอิงก็เป็นได้
เพราะทุกคนต่างคิดไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไล่ตามหาก็ไม่เหมือนกัน
เฉินลั่วมองนาง สีหน้าดูแปลกใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่มีอะไรจะถามข้าจริงๆ หรือ เช่นนั้นข้าจะกลับแล้ว! ที่บ้านยังมีงานอีกหนึ่งกองใหญ่ให้ต้องจัดการ!”
หวังซีส่ายศีรษะ กล่าวว่า “ข้าให้คนจับตาดูศาลากวางร้องเอาไว้ตลอด รู้ว่าเจ้าเพิ่งกลับมาต้องไม่มีกะใจกินข้าวเป็นแน่ กลับไปแล้วเจ้าอย่าลืมกินข้าวด้วยก็พอ ตอนเป็นเด็กเวลาข้าโกรธ มักจะไม่กินข้าว ท่านย่าของข้าจึงปลอบโยนข้าว่า การที่ข้าไม่กินข้าว มีแต่จะทำให้ตัวเองหิวเท่านั้น ไม่อาจทำให้ผู้อื่นหิวไปด้วยได้ เจ้าเองก็ต้องกินข้าวให้อิ่ม อาหารถือเป็นสรวงสวรรค์ของมนุษยชาติ ไม่มีเรื่องอะไรใหญ่ไปกว่าเรื่องกินแล้ว”
เฉินลั่วหัวเราะฮ่าเสียงดัง
นึกภาพหวังซีตัวน้อยงอนแล้วไม่ยอมกินข้าว แต่เมื่อได้รับการปลอบโยนจากท่านย่าแล้วจึงต้องยอมกินข้าวอย่างเสียไม่ได้ภาพนั้นขึ้นมาแล้วรู้สึกหัวใจอ่อนยวบไปหมด
หวังซีจึงรู้ว่าคนผู้นี้หาได้มีความอาทรเลยแม้แต่ครึ่งเดียว นางเป็นห่วงเขา แต่เขากลับรู้สึกว่าน่าขบขัน
นางโกรธจนแก้มป่อง
เฉินลั่วมองตานาง ทว่าในนั้นกลับเหมือนมีแสงดาวพร่างพราว
เขารู้ดี นางไม่รู้ว่าเขาจะได้กลับมาที่ศาลากวางร้องเวลาใด และกับข้าวพวกนี้ เกรงว่านางคงให้คนเตรียมเอาไว้ทุกวัน เพื่อรอเขากลับมา
เหมือนตะเกียงที่นำทางเขากลับบ้านท่ามกลางความมืดมิด
แสงตะเกียงดังกล่าวทำให้เขาราวกับได้สวมเสื้อเกราะ ทำให้หัวใจของเขาแข็งแกร่งขึ้น
เขาชอบความแข็งแกร่งเช่นนี้
เฉินลั่วถาม “เจ้าจะไม่ถามข้าสักหน่อยเลยหรือว่าเหตุใดเฉินอิงถึงแต่งงานกับซือจู?”
หวังซีไม่รู้จริงๆ แต่เวลาล่วงเลยมานานเกินไป จนนางเองก็ไม่ค่อยอยากรู้เท่าไรแล้ว
แต่เฉินลั่วตั้งใจใช้เรื่องนี้เป็นหัวข้อหลอกล่อให้นางพูด
นางขึงตามองเฉินลั่วพลางกล่าว “เจ้ากลับมาช้าเกินไป ข้าคิดทุกอย่างจนปรุโปร่งแล้ว ฉังเหยียนบอกว่า ตอนนั้นเฉินอิงพูดแก้ตัวได้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด แต่เขากลับปฏิญาณด้วยความจริงใจว่าเขาชอบซือจู มีแต่ผีเท่านั้นถึงจะเชื่อคำกล่าวของเขา! เห็นได้ชัดว่าต้องมีผลประโยชน์อะไรบางอย่าง ซือจูเป็นถึงตัวเลือกพระชายาขององค์ชาย! สุดท้ายแล้วก็เพราะเป็นห่วงผลได้ผลเสียของตัวเอง จึงตกหลุมพรางของเจ้า โดยคิดว่าไม่ว่าจะเป็นองค์ชายรองหรือองค์ชายใหญ่ได้เป็นรัชทายาท ฮ่องเต้ก็ทรงแต่งตั้งเจ้าเป็นเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่ออยู่ดี เขาเสมือนหมาจนตรอก กลัวว่าเมื่อไร้ซึ่งตำแหน่งซื่อจื่อแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไปต้องถูกลดระดับไปเป็นคนธรรมดา จึงลอบคิดใช้อุบายกับซือจู หวังหาภรรยาที่ตระกูลมีอำนาจสักคนหนึ่ง ด้วยนิสัยของคนตระกูลซือแล้ว อย่างไรก็ต้องหาทางออกให้เขาสักหนึ่งหรือสองทางกระมัง!…
…ไม่แน่ว่าองค์ชายสามกับองค์ชายห้าอาจร่วมมือด้วยก็เป็นได้!…
…หากพวกเขาไม่ยินยอมหรือไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วย เฉินอิงก็คงไม่กล้าช่วงชิงภรรยาขององค์ชายเหมือนกัน!”
กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้านางดูชะงักงันเล็กน้อย นางนึกถึงเฉินลั่วที่ดูเศร้าสลดตอนมาถึงขึ้นมา อดถามไม่ได้ว่า “คงมิใช่ว่าพวกเขาคิดว่าเจ้าเป็นคนวางแผนเรื่องซือจูกับเฉินอิงหรอกกระมัง”
เฉินลั่วมองนางโดยไม่กล่าวอะไร
หวังซีบริภาษเบาๆ ไปหนึ่งประโยค กล่าวต่อว่า “ไม่มีเหตุผลอะไรต้องกดหัววัวบังคับให้มันกินหญ้า ต่อให้เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เฉินอิงก็ต้องรับผลการกระทำของตัวเองด้วยถึงจะถูก ถ้าต้องการพูดเรื่องความรับผิดชอบ หากมีส่วนของเจ้าหนึ่งส่วน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีส่วนของเขาเก้าส่วน เหตุใดเจ้าต้องเป็นแพะรับบาปให้กับความละโมบของเขาด้วย!”
ขณะที่กล่าว นางลุกขึ้นมาอย่างร้อนใจ กล่าวว่า “จะปล่อยให้เรื่องนี้จบลงไปอย่างนี้ไม่ได้ ทุกคนต้องพูดกันให้กระจ่างถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นผู้อื่นก็จะยังคงคิดว่าเจ้าเป็นคนวางแผนทำลายเขา!”
เฉินลั่วรู้สึกจิตใจปั่นป่วน ในหัวสมองโล่งขาวโพลนไปหมด คว้าหวังซีเอาไว้โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กล่าวว่า “เจ้าจะทำอะไรได้? หรือพวกเราต้องไปป่าวร้องตามท้องถนน บอกทุกคนว่าเฉินอิงเป็นคนเลือกทำเรื่องนี้ด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ”
เพราะเหตุใดในขณะที่เขาคิดว่าตัวเองได้รับสิ่งที่ดีที่สุดแล้วแต่นางกลับยังมอบสิ่งที่ดีกว่านั้นให้เขาได้อีกเสมอ
มีคนคิดเช่นนั้นอยู่จริงๆ หรือ!
หวังซีจ้องเขาเขม็งด้วยความโกรธ กล่าวว่า “เรื่องราวหากไม่พินิจพิเคราะห์ก็ไม่กระจ่าง ถึงพวกเราไม่อาจไปป่าวประกาศตามท้องถนน แต่อย่างไรก็ต้องทำให้ซือจูรู้ว่าเรื่องนี้มิใช่ความผิดของเจ้า ข้าต้องไปหาซือจู ไปถามไถ่เรื่องราวให้กระจ่าง แล้วก็ต้องไปร่วมงานเลี้ยงให้ทั่วทุกที่ด้วย ทำตัวเป็นพวกปากหอยปากปู เอาเรื่องนี้ไปนินทากับผู้อื่น”
………………………………………………………………………..
ตอนต่อไป