เฉินลั่วหัวเราะเสียงดัง
เขานึกภาพหวังซีไปนินทากับผู้อื่น ไปโพนทะนาทั่วทุกที่ว่าเฉินอิงเป็นฝ่ายผิดไม่ออกจริงๆ
มุมปากเขายกยิ้ม เขารู้สึกว่าความอยุติธรรมเหล่านั้นล้วนไม่มีค่าอะไรแล้ว
อย่างน้อยก็ยังมีคนคนหนึ่งที่ยืนข้างเขามาตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ
ทันใดนั้นเขารู้เหตุผลแล้วว่าเหตุใดตนถึงชอบวิ่งมาหาหวังซีทุกครั้งที่มีเรื่องเกิดขึ้น
เฉินลั่วอดกล่าวด้วยเสียงอบอุ่นไม่ได้ว่า “เรื่องนี้เจ้ามอบหมายให้ข้าจัดการเถอะ! ข้าไม่มีทางปล่อยให้ผู้อื่นสาดโคลนใส่ข้าได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน”
หวังซีไม่เชื่อเขา กล่าวว่า “หากเจ้ามีความสามารถอย่างที่ว่าจริง เหตุใดทุกคนถึงคิดว่าเจ้ามีอคติกับเฉินอิงเพราะเรื่องตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อด้วย? แม้แต่เฉินเจวี๋ยยังคิดเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าปกติเจ้าเป็นคนที่เรื่องนี้ก็ดูแคลนที่จะสนใจ เรื่องนั้นก็รังเกียจที่จะแก้ต่างให้ตัวเอง ผู้อื่นจึงไม่เชื่อถือเจ้าไปนานแล้ว”
เฉินลั่วหน้าเจื่อน
เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เขากล่าวรับประกันว่า “ครั้งนี้ข้าจะแก้ต่างให้ตัวเองอย่างแน่นอน เจ้าคอยดูก็แล้วกัน”
หวังซีจำต้องเชื่อเขาไปก่อน เรียกสาวใช้เด็กเข้ามาเก็บโต๊ะ ส่วนนางไปดื่มชาที่ใต้ซุ้มองุ่นในลานบ้านกับเฉินลั่ว
นางถามเขา “เจ้ามีสถานที่ที่ปลอดภัยหรือไม่”
“เจ้าต้องการทำอันใด” เฉินลั่วแปลกใจ
หวังซีกล่าว “ปีนี้ดอกหอมหมื่นลี้ของจวนหย่งเฉิงโหวออกดอกงามมาก ข้าเอามาทำสุราดอกหอมหมื่นลี้ได้จำนวนหนึ่ง เก็บเอาไว้ในบ้านให้เจ้า เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ปีหน้าถึงจะเปิดฝาได้ รสชาติต้องดีมากแน่ๆ ถึงเวลาเจ้าจะเก็บเอาไว้ดื่มเองก็ดี หรือมอบให้ผู้อื่นก็ดีมากเช่นกัน”
เฉินลั่วถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เจ้าไม่เก็บเอาไว้สักหน่อยหรือ”
หรือการเก็บไว้ที่สวนร่มหลิวทำให้นางรู้สึกไม่วางใจ?
หวังซียิ้มตอบว่า “หลังงานฤดูหนาวข้าอาจจะเดินทางกลับสู่จงแล้ว”
ถึงเวลานั้นฉังเคอย่อมแต่งงานแล้ว คุณหนูพานเองก็คงไม่อยู่ที่จวนนี้แล้ว แทนที่นางจะให้คนจวนหย่งเฉิงโหวได้ประโยชน์ มิสู้มอบให้เฉินลั่วดีกว่า
เฉินลั่วมองนางอย่างตกตะลึง “เจ้า เจ้าจะกลับสู่จง? เช่นนั้นเจ้ามาจิงเฉิงเพื่ออันใด”
มิใช่บอกว่านางอยากมาหาคู่ครองดีๆ สักคนที่จิงเฉิงหรอกหรือ
เรื่องงานแต่งของนางยังไม่เคยมีการเทียบอักษรแปดชะตาเลยด้วยซ้ำ?
หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลหวัง?
เขามองสำรวจหวังซีขึ้นลงอย่างละเอียด
สีหน้าของหวังซีดูสดใสดี มุมปากแต้มยิ้ม ดวงตาสุกใส ท่าทางไม่เหมือนคนมีเรื่องไม่สบายใจอะไรเลยนี่นา!
นางกลับพยักหน้า กล่าวว่า “ที่ข้ามาจิงเฉิงเพราะเป็นความปรารถนาของมารดาข้า ข้ากับบิดาก็แค่ไม่อยากทำให้มารดาข้าผิดหวัง ส่วนเรื่อง…” งานแต่งของนางนั้น นางมาอยู่จิงเฉิงเกือบครึ่งปีแล้ว จวนหย่งเฉิงโหวมิใช่ตระกูลที่พึ่งพาได้ เพียงแต่ว่านางไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ได้ก็เท่านั้น
หวังซีกล่าวอ้อมแอ้มไปสองสามประโยค กล่าวอีกว่า “ข้ารู้สึกว่าข้าชอบสู่จงมากกว่า ที่นั่นข้ามีญาติมิตร มีผู้อาวุโสและพี่น้อง และที่นั่นก็ไม่มีเรื่องวุ่นวายมากมายเท่าที่นี่ ทำให้คนรู้สึกสบายใจกว่า”
เฉินลั่วอยากโต้แย้งหวังซีสักสองสามประโยค
มนุษย์มุ่งขึ้นสู่ที่สูง สายน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ มีใครที่มาถึงจิงเฉิงแล้วยังอยากกลับไปตายรังที่สู่จงบ้าง แต่ที่หวังซีกล่าวมาก็มีเหตุผล ญาติพี่น้องของนางล้วนอยู่ที่สู่จง ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่มีเหตุผลที่มีน้ำหนักพอจะพูดโน้มน้าวเพื่อเหนี่ยวรั้งหวังซีให้อยู่ต่อได้ กล่าวคือ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตในจิงเฉิงก็คือมีคนอยู่ในราชสำนัก ตัวเขาเองยังดูแลตัวเองไม่ได้เลย ไหนเลยจะกล้าทำตัวเป็นผู้ปกป้องหวังซี
หลังจากนั้นเขากับหวังซีคุยอะไรกันบ้างนั้น ความทรงจำของเขาพร่ามัวไปหมด แต่ความเสียใจรางๆ ที่อยู่ในใจกับความโมโหที่ตัวเองไร้ความสามารถกลับคล้ายแส้ที่ฟาดลงมาจนเกิดแผลลึกอยู่ในใจของเขา
หลังจากเขานำสุราที่เอากลับมาจากเรือนหวังซีไปฝังไว้ในบ้านที่ซอยลิ่วเถียวเสร็จ เรี่ยวแรงที่มีก็คล้ายกับถูกรีดเค้นออกจากร่างไปจนหมด เมื่อกลับมาถึงศาลากวางร้องก็นอนอยู่บนเตียงไม่อยากลุกขึ้นมา
วันถัดมา จ่างกงจู่ให้คนมาเรียกเขา บอกว่ามีเรื่องเกี่ยวกับเฉินอิงต้องการปรึกษาเขา เขากลับเกียจคร้านไม่อาจดึงความสนใจขึ้นมาได้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่บังเกิดความรู้สึกขยะแขยง กล่าว่า “ข้าเป็นน้องชาย เขาเป็นพี่ชาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ข้าที่เป็นน้องชายช่วยออกหน้าให้คงไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”
บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อก่อนเขาใส่ใจดูแลมากเกินไป
เฉินอิงเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?
เจิ้นกั๋วกงในอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นเป็นความรับผิดชอบของบิดาเขาในวันนี้ ต่อให้ถูกถอดยศ นั่นก็เป็นความรับผิดชอบของบิดาเขา เกี่ยวอะไรกับเขาด้วยเล่า?
เขานอนอยู่บนเตียง แขนก่ายอยู่บนหน้าผากเพื่อบดบังแสงที่ส่องเข้ามาจากด้านนอก
จ่างกงจู่แปลกใจมาก ถามชิงกูที่นำความไปแจ้งว่า “เขารู้หรือไม่ว่าข้าเรียกหาเขาด้วยเรื่องอะไร”
ชิงกูยิ้มขื่นพร้อมกับส่ายหน้า กล่าวว่า “ข้าดูท่าทางของคุณชายรองแล้ว ดูเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง คำพูดของท่านเมื่อวานคงไปทิ่มแทงใจเขา ท่านไม่ควรกล่าวกับเขาเช่นนั้นเลย หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ได้รับความอยุติธรรมมามากมายเพียงใด!”
จ่างกงจู่ไม่กล่าวอะไรไปกว่าครู่ใหญ่ กระทั่งชิงกูเติมน้ำชาให้นางอีกถ้วยหนึ่ง นางถึงได้เอ่ยขึ้นด้วยอาการเหนื่อยล้าว่า “เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด! เรื่องงานแต่งของเฉินอิง ข้าเองก็จะไม่สอดมือเข้าไปยุ่งแล้วเหมือนกัน เจ้าไปบอกเจิ้นกั๋วกงสักคำ บอกว่าหากไม่มีคนจัดการให้จริงๆ ก็เชิญลุงกับป้าจากตระกูลมารดาของเฉินอิงมาช่วยก็แล้วกัน กูไหน่ไนใหญ่เองก็จะได้ไม่ต้องเป็นเหมือนเม่นยามเห็นพวกข้าสองแม่ลูก เมื่อก่อนเห็นแก่หน้าของเจิ้นกั๋วกง ข้ากับเฉินลั่วถึงได้อดทนเอาไว้ ในเมื่อเจิ้นกั๋วกงไม่สำนึก พวกข้าก็ไม่จำเป็นต้องปั้นหน้ายิ้มอยู่ตลอด ทำราวกับว่าหากพวกข้าสองแม่ลูกไปจากจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้ก็ไม่ปาน”
นี่นับเป็นครั้งแรกที่จ่างกงจู่แสดงความไม่พอใจต่อเจิ้นกั๋วกงออกมาให้เห็น นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นตอนที่เฉินอิงกำลังจะหมั้นหมายด้วย เฉินอวี๋ได้รับข่าวแล้วโกรธจนระงับเพลิงโทสะไม่อยู่ ทำจอกชาแตกไปใบหนึ่ง
ชิงกูกลับทำเสมือนมองไม่เห็น ทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วถอยออกไป
มารดาของเฉินอิงเป็นคนหนานชังจังหวัดเจียงซี เมื่อก่อนก็เป็นตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมา เพียงแต่ว่าพอมาถึงรุ่นของลุงเฉินอิงกลับไม่มีคนสอบผ่านจวี่เหรินเลยแม้แต่คนเดียว และพอมาถึงรุ่นของเฉินอิงก็ไม่มีคนเรียนหนังสือแล้ว แต่อาศัยชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงเริ่มต้นทำการค้า ละทิ้งอาชีพราชการไปเป็นพ่อค้าแทน ถึงแม้ไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่สุดท้ายแล้วก็ไร้อำนาจ ทว่าครอบครัวพวกเขาได้ลิ้มรสความหอมหวานของการสร้างตัวโดยไม่ต้องจ่ายราคาค่างวด ประกอบกับความโลภ ลมสงบไร้คลื่น จึงยากที่ครอบครัวพวกเขาจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน บุตรหลานของพวกเขานั้นต่อให้ถือแส้ไล่กดดันก็มีไม่กี่เท่านั้นที่ยอมไปลิ้มรสความยากลำบากนับสิบปีของการเล่าเรียนหนังสือ ตระกูลฝั่งมารดาของเฉินอิงเองก็มีความทุกข์ที่ยากจะบอกกล่าวเหมือนกัน
หากให้ครอบครัวของลุงเช่นนี้มาจัดการเรื่องงานแต่งให้เฉินอิง นั่นต่างหากที่เรียกว่าเป็นเรื่องขบขันให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ!
แต่ให้เฉินอวี๋ก้มหัวให้จ่างกงจู่ นั่นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
เขาคิดแล้วคิดอีก ให้คนนำจดหมายไปส่งให้ตระกูลจินหนึ่งฉบับ บอกว่าเฉินอิงกำลังจะสู่ขอภรรยา ขอให้จินซงชิงช่วยสั่งผ้าแดงมงคลมาให้สักหน่อย
จินซงชิงได้รับจดหมายของเฉินอวี๋แล้วหัวเราะเสียงดังลั่น หัวเราะไปหัวเราะมา กลับมีหยดน้ำตาไหลออกมาทางหางตา
เขาไม่คู่ควรกับพี่สะใภ้ของเขา แต่นางกลับถูกยกให้แต่งงานกับคนเช่นนี้
เขาส่งจดหมายดังกล่าวไปให้จ่างกงจู่ ทำตามที่เฉินอวี๋ต้องการ ส่งผ้าแดงมงคลสองร้อยพับไปให้จวนเจิ้นกั๋วกง
จ่างกงจู่อ่านจดหมายเสร็จแล้วจุดเทียนเผาจดหมายดังกล่าวทิ้งเสีย อ้างว่ามารดามาเข้าฝันต้องการพบนาง จึงเดินทางไปจุดธูปให้พระเจ้าหลวง ฮองไทเฮา และพระแม่ฮองไทเฮาที่สุสานหลวงซึ่งอยู่ห่างจากจิงเฉิงไปสามร้อยกว่าลี้
ด้านซูเฟยเหนียงเหนียง มองโอรสทั้งสองที่เมื่อยืนขึ้นมาแล้วตัวสูงกว่านางไปหนึ่งศีรษะอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทำได้แค่พาดตัวนอนร่ำไห้ ฮือออ ไม่หยุดอยู่บนหมอนอิงของเก้าอี้กุ้ยเฟย “ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงใดลมไม่พัดผ่าน พวกเจ้าสลัดตัวหนีตระกูลซือด้วยการใช้อุบายกับคุณหนูซือได้อย่างไร! นี่เป็นสิ่งที่สุภาพบุรุษพึงกระทำหรือ พวกเจ้าไม่ต้องการชื่อเสียงแล้วหรือ ทีนี้จะทำอย่างไรกับเรื่องสมรสของพวกเจ้า ต้องมอบให้ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสินพระทัยจริงๆ หรือ เฉินอิงโง่งมปานนั้น หากเขาเผยพิรุธอะไรออกมาพวกเจ้าจะทำอย่างไร”
องค์ชายสามอยากถามมารดาของเขาเหลือเกินว่า ตกลงเพราะเป็นห่วงว่าเรื่องจะถูกเปิดโปงแล้วกระทบกับชื่อเสียงของพวกเขาหรือเพราะเป็นห่วงว่าจะไม่มีตัวเลือกพระชายาที่เหมาะสมแล้วกันแน่?
ส่วนองค์ชายห้าไม่อยากพูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
พวกเขาทำให้คลื่นทะเลบ้าคลั่งขึ้นก็จริง แต่ถ้าเฉินอิงไม่ทะเยอทะยาน ไม่ฝันเฟื่อง เขาจะขุดหลุมฝังตัวเองได้อย่างไร
“เสด็จแม่ ท่านอย่ากรรแสงอีกเลยได้หรือไม่” เป็นครั้งแรกของวันที่ความหุนหันของเขากลายสภาพเป็นสสาร เผยออกมาให้เห็นผ่านคำพูด “หากท่านมีเวลาว่างมาสนใจเรื่องสมรสของพวกข้า มิสู้เอาความสนใจไปดูแลฟู่หยางสักหน่อยดีกว่า นางรู้สึกว่าการที่มีเรื่องเกิดขึ้นกับคุณหนูซือในวันปักปิ่นของตัวเองนั้น นางเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ไม่เพียงตั้งใจจะไปเยี่ยมคุณหนูซือเท่านั้น ยังคิดจะนำเงินส่วนตัวไปชดเชยให้นางด้วย ท่านอย่าลืมว่า เงินส่วนตัวของนางนั้น โดยมากได้รับพระราชทานมาจากฮ่องเต้ อย่าปล่อยให้นางนำไปมอบให้แม่นางซือในขณะที่กำลังหัวร้อนเชียวพ่ะย่ะค่ะ”
การนำของที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ไปมอบให้ผู้อื่นถือเป็นการไม่ให้เกียรติฮ่องเต้
ฮ่องเต้ทรงขุ่นเคืองพระทัยเรื่องเฉินอิงกับซือจูมากพอแล้ว หากมีเรื่องที่ฟู่หยางนำเงินส่วนตัวไปชดเชยให้ซือจูเกิดขึ้นอีก ไม่แน่ว่าแม้แต่พวกเขาก็อาจจะติดร่างแหไปด้วย
องค์ชายห้าโน้มน้าวซูเฟยเหนียงเหนียง “ท่านเองก็ไม่ชอบคุณหนูซือมิใช่หรือ ในเมื่อนางได้รับสมรสพระราชทานไปแล้ว เหตุใดท่านไม่แสดงน้ำใจสักหน่อย ให้ความช่วยเหลืออะไรได้ก็ช่วยนางสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
นี่ข้าทำบาปกรรมอะไรมา! ซูเฟยเหนียงเหนียงคิดแล้วก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าในตาไม่มีน้ำตาสักหยด
ไม่รู้ว่าองค์ชายสามกับองค์ชายห้าจะรู้หรือไม่
***
ซือจูดีขึ้นกว่าตอนกลับมาจากวังหลวงใหม่ๆ มากแล้ว อย่างน้อยนางก็เริ่มใคร่ครวญถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังอย่างละเอียด
ตอนนั้นคนที่เรียกนางไปห้องอุ่นนั่นคือคนข้างกายขององค์หญิงฟู่หยาง แม้นนางจะระมัดระวังตัว แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะเลวร้ายถึงขั้นนั้น
และที่ทำให้นางคิดไม่ถึงมากกว่าก็คือเฉินอิง นางรู้ว่าเขาเบาปัญญา รู้ว่าเขาไม่ฉลาดเท่าเฉินลั่ว แต่นางไม่คาดคิดว่าเขาจะโง่งมและหัวทึบได้มากถึงเพียงนี้
องค์ชายสามกับองค์ชายห้าต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ยังมีเฉินลั่วอีกคน ไม่แน่ว่าอาจร่วมโยนหินใส่บ่อน้ำด้วยก็เป็นได้
แต่นางไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจภายหลัง
มีชัยเป็นราชัน ปราชัยเป็นกบฏ
นางเองก็เคยวางกับดักเฉินลั่ว เคยใช้อุบายกับองค์ชายสามและองค์ชายห้ามาก่อน มนุษย์มีอิสระเลือกกินเลือกดื่ม แต่ก็ย่อมมีผลแห่งกรรมด้วยก็เท่านั้น
เพียงแต่นางคาดไม่ถึงว่าองค์ชายสามกับองค์ชายห้าจะจงเกลียดจงชังนางมากขนาดนี้
ยังดีที่นางไม่ได้แต่งกับพวกเขาไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
แต่ให้นางแต่งกับเฉินอิง นั่นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
นางไม่อยากต้องเจอหน้าคนโง่ผู้นั้นทุกเมื่อเชื่อวันไปตลอดชีวิต
ซือจูเริ่มคิดคำนวณอยู่ในใจว่าข้างกายนางมีใครที่เหมาะสมบ้าง ดูว่าจะขอร้องให้ฮ่องเต้เรียกคืนพระราชโองการ หรือไม่ก็เปลี่ยนพระทัยได้หรือไม่
นางรู้ว่านี่มิใช่เรื่องง่าย แต่หากนางไม่ลองพยายามดูสักตั้ง ก็คงได้แต่ต้องทนแต่งงานกับเฉินอิงไปทั้งอย่างนี้แล้ว
เพียงแต่ว่านางยังคิดแผนการดีๆ ไม่ออกเลย ก็มีคนจากอวี๋หลินมาหานางก่อนแล้ว
ซือจูประหลาดใจยิ่ง ถามสาวใช้คนสนิทว่า “เหตุใดพวกเขาถึงเดินทางได้รวดเร็วปานนี้”
แม้นงานแต่งของนางจะเป็นสมรสพระราชทาน แต่ก็ต้องแจ้งให้คนที่บ้านทราบด้วยสักคำหนึ่ง อวี๋หลินไกลจากที่นี่เป็นอย่างมาก เดินทางไปกลับอย่างไรก็ต้องใช้เวลาร่วมเดือน นี่ก็เป็นสาเหตุที่งานแต่งของนางถูกกำหนดให้จัดขึ้นในเดือนสามของปีหน้า
สาวใช้ผู้นั้นหน้าซีดเล็กน้อย กล่าวเสียงเบาว่า “ทางอวี๋หลินยังไม่ทราบเรื่องเจ้าค่ะ ผู้ที่เดินทางมาครานี้คือหมัวมัวข้างกายนายหญิง นายหญิงเป็นห่วงท่าน ระหว่างที่ให้นางนำของขวัญประจำปีมามอบให้ครอบครัวใต้เท้าอวี๋นั้น ให้นางถือโอกาสมาดูด้วยว่าท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
หากตระกูลซือรู้ว่าซือจูถูกจับแต่งงานกับเฉินอิง ทั้งยังเกิดเรื่องอื้อฉาวเช่นนั้นขึ้นอีก เกรงว่าข้ารับใช้ที่อยู่ข้างกายซือจูเหล่านี้คงรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้
ในบรรดาพวกเขาเริ่มมีคนคิดหาทางแอบหนีไปเงียบๆ หรือไม่ก็ขายตัวไปอยู่ตระกูลอื่นบ้างแล้ว
ซือจูได้ยินเช่นนั้นแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง
บางเรื่อง ยามที่ควรเผชิญหน้าก็ต้องเผชิญหน้า แต่ควรจะผลักเฉินอิงออกไปเป็นแพะรับบาปหรือไม่นะ…นางใช้เวลาใคร่ครวญไม่ถึงสามลมหายใจก็ตัดสินใจได้ว่าไม่เพียงต้องพูดความจริงกับคนของตระกูลซือที่มาหาเท่านั้น ยังต้องขอให้คนของตระกูลซือเดินทางเข้าเมืองหลวงให้เร็วที่สุด เพื่อหารือเรื่องงานแต่งของนางกับเฉินอิง
นางยอมเป็นม่ายขันหมากเสียดีกว่าแต่งงานกับเฉินอิง
มีสามีเช่นนี้ก็ทำให้ชื่อเสียงของนางด่างพร้อยอยู่ดี
…………………………………………………………………..
ตอนต่อไป