คนตระกูลซือยังไม่ได้รับพระราชโองการเรื่องสมรสพระราชทาน จึงยังไม่รู้เรื่องสมรสพระราชทาน ที่ส่งแม่บ้านของครอบครัวมาที่นี่ เพราะรู้สึกว่าเรื่องงานแต่งของซือจูต้องมีความก้าวหน้าบ้างแล้ว จึงมาดูเรื่องนี้โดยเฉพาะ หากเรื่องหมั้นหมายของเหล่าองค์ชายยังไม่ได้กำหนดลงมา เช่นนั้นพวกเขาก็จะคิดหาวิธีเร่งรัด แต่ถ้ากำหนดลงมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตระกูลซือได้สมปรารถนาหรือไม่ แล้วจะต้องเตรียมสินเจ้าสาวให้ซือจูอย่างไรนั้น ยังต้องดูว่าสุดท้ายแล้วซือจูได้แต่งกับผู้ใด นี่มิใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จได้ในหนึ่งก้าว จำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้า
ด้วยเหตุนี้พอคนตระกูลซือที่มาได้ยินว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงจับคู่ซือจูให้เฉินอิง ปฏิกิริยาแรกที่มีต่อเรื่องนี้คือคิดว่าซือจูถูกคนจวนชิ่งอวิ๋นโหวเล่นงานแล้ว
ซือจูกลับไม่มีหน้าเล่าให้ฟังว่าจริงๆ แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น เล่าแค่ว่านางไม่ยินดีกับการเกี่ยวดองในครั้งนี้ ให้คนที่มานำจดหมายกลับไปให้บิดานาง ถามว่าให้พี่ชายใหญ่ของนางเดินทางมาจิงเฉิงด้วยตัวเองสักครั้ง เพื่อหารือว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ได้หรือไม่
คนที่มาเบื้อใบ้ไปแล้ว แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ไปพบ รีบออกจากจวนหย่งเฉิงโหวไปสืบข่าวคราว
ซือจูเห็นคนที่มาไม่ไปสอบถามฮูหยินผู้เฒ่า ก็รู้ว่าที่บ้านยังคงไม่ค่อยเชื่อถือคนจวนหย่งเฉิงโหวเช่นเดียวกับเมื่อก่อนอยู่ หัวใจที่แขวนอยู่ถึงวางลงมาได้กึ่งหนึ่ง
นางเป็นเช่นนี้แล้ว ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับรู้จักแต่โน้มน้าวให้นางยอมรับชะตากรรม โน้มน้าวให้นางอดทน หากคนที่มาถูกฮูหยินผู้เฒ่าโน้มน้าวสำเร็จแล้วกลับไปพูดจาเหลวไหลกับบิดาของนาง ทำให้คนที่บ้านก็ยอมรับไปด้วย เช่นนั้นนางจะทำอย่างไร
เห็นคนที่มาเป็นเช่นนี้นับเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
ซือจูถึงได้มีชีวิตชีวาขึ้นหลายส่วน สั่งการให้ข้ารับใช้ในบ้านจัดเก็บหีบสัมภาระ นางเตรียมการเอาไว้สำหรับออกจากจวนหย่งเฉิงโหวได้ทุกเมื่อ
นี่อาจเป็นเพราะยามปกตินางสนิทสนมกับซูเฟยเหนียงเหนียง ยามอยู่ในที่รโหฐานซูเฟยเหนียงเหนียงไม่ค่อยเคารพฮองเฮาเหนียงเหนียงสักเท่าไรนัก บางครั้งที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงมีคำสั่งอะไรไม่ถูกใจซูเฟยเหนียงเหนียง ซูเฟยเหนียงเหนียงก็จะใช้อุบายให้ฮ่องเต้ช่วยออกหน้า ทำให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงต้องถอนคำสั่ง สิ่งนี้ทำให้ซือจูเข้าใจพระราชโองการของฮองเฮาเหนียงเหนียงผิดไป คิดว่าขอเพียงกล่าวโน้มน้าวฮ่องเต้ได้ งานแต่งของนางก็เป็นโมฆะได้
นางคิดไม่ถึงว่าเรื่องขัดแย้งระหว่างซูเฟยเหนียงเหนียงและฮองเฮาเหนียงเหนียงในยามปกตินั้นล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ส่งผลกระทบกับอะไรมากนักเท่านั้น แต่พระราชโองการนั้นถือเป็นหน้าตาของราชวงศ์ ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ต้องไว้หน้าฮองเฮาเหนียงเหนียงบ้างสองถึงสามส่วน ยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้ฮ่องเต้กับฮองเฮาเหนียงเหนียงและจวนชิ่งอวิ๋นโหวต่างมีเรื่องขัดใจกันด้วยเรื่องขององค์ชายใหญ่อยู่ก่อนแล้ว และเรื่องนี้ก็เป็นความคิดของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่มีทางกลับคำพูดอย่างแน่นอน
ส่วนฟากของเฉินอิง วันนั้นหลังจากกลับถึงจวนเขาก็ถูกเจิ้นกั๋วกงตบสั่งสอนอย่างรุนแรงไปครั้งหนึ่ง
เฉินอิงไม่มีคำอธิบายอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
บิดาเขาทั้งอยากประจบประแจงฮ่องเต้และอยากข่มจ่างกงจู่ จึงให้เขาเป็นซื่อจื่อ ผู้อื่นต่างพูดกันว่าบิดาเขาโปรดปรานเขา ทว่าเขากลับไม่เคยสัมผัสถึงมันเลย
เรื่องแต่งงานก็เหมือนกัน
เขาอายุมาก แต่งกับใครก็ไม่ค่อยดีนักแล้ว ทว่าบิดาเขากลับเอาแต่บอกว่าทำเพื่อเขา คนนี้ก็ไม่ถูกใจ คนนั้นก็ไม่อยากได้ สู้ฮ่องเต้ไม่ได้ด้วยซ้ำ กล่าวคือ แม้นฮ่องเต้ไม่ค่อยโปรดปรานองค์ชายสี่ แต่เพื่ออนาคตขององค์ชายสี่แล้ว ยังยอมอนุญาตให้องค์ชายสี่แต่งงานกับคุณหนูสี่ถานที่อายุน้อยกว่าเขามาก
หากบิดาเขารักเขาจริง ก็ควรจะเป็นเหมือนฮ่องเต้ หาคู่ครองที่เหมือนกับคุณหนูสี่ถานให้เขาสักคนหนึ่ง
แต่บิดาเขาก็ดีแต่พูด
พูด…ใครทำไม่เป็นบ้าง
การกระทำต่างหากถึงทำให้มนุษย์น่านับถือ
เจิ้นกั๋วกงมองหน้าบุตรชายคนโตที่ดูสงบไปจนถึงขั้นดูมึนงงเล็กน้อยนั่นแล้ว ไม่อาจเปล่งคำตำหนิที่รออยู่ที่ริมฝีปากเหล่านั้นออกมาได้แม้แต่คำเดียว
หรือเด็กคนนี้จะเบาปัญญาเหมือนมารดาของเขาจริงๆ? เขาทุ่มเทความเอาใจใส่ให้เฉินอิงมานานหลายปี แต่พรสวรรค์และความสามารถของเฉินอิงยังคงธรรมดาสามัญยิ่งนัก ตรงกันข้ามกับเฉินลั่ว เขาไม่เคยสนใจเขาเลย ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ทว่ากลับเหมือนฮ่องเต้ไม่มีผิด ยามเอาคืนผู้คนไม่ส่งเสียงเตือน คล้ายงูพิษตัวหนึ่งก็ไม่ปาน
หากเฉินอิงแต่งงานกับซือจู นับเป็นคู่ที่ไร้ความสุขไปแปดถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว
ตระกูลที่ต้องการความรุ่งโรจน์ ไม่อาจขาดบุตรหลานที่มีความสามารถโดดเด่น สามีภรรยาที่เข้ากันไม่ได้ จะคาดหวังให้พวกเขาร่วมแรงร่วมใจกันปลูกฝังเลี้ยงดูบุตรชายหญิงได้อย่างไร หากไม่จัดการให้ดี เรื่องน่าอับอายของหลังบ้านอาจส่งผลกระทบต่อความรุ่งเรืองของบุตรหลานด้วยก็เป็นได้
เขามองเฉินอิงผิดไปจริงๆ
แต่เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาได้แต่กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ายินดีแต่งกับซือจู เช่นนั้นก็ไม่อนุญาตให้รับอนุ หลีกเลี่ยงไม่ให้บุตรชายภรรยาเอกกับบุตรชายอนุก่อความวุ่นวายจนบ้านไม่สงบสุข”
หลายปีมานี้สถานการณ์ของตระกูลซือไม่เลวนัก ก่อนหน้าซือจูก็ล้วนแล้วแต่เป็นพี่ชาย เห็นได้ชัดว่านางเองก็น่าจะเป็นคนให้กำเนิดบุตรชายได้ผู้หนึ่ง
เมื่อมีบุตรชายแล้ว ก็ไม่ต้องมีเรื่องเหลวไหลวุ่นวายเหล่านั้นออกมาอีก
เฉินอิงมองบิดาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เพราะเขาแต่งงานกับซือจู จึงต้องยกซือจูเทิดทูนเอาไว้เหนือหัวแล้วอย่างนั้นหรือ
อะไรที่เรียกว่าหลีกเลี่ยงไม่ให้บุตรชายภรรยาเอกกับบุตรชายอนุก่อความวุ่นวายจนบ้านไม่สงบสุข? บ้านที่บุตรชายคนรองเป็นหลานชายแท้ๆ ของฮ่องเต้อย่างครอบครัวพวกเขาต่างหากที่เรียกกว่าครอบครัวไม่สงบสุขอย่างแท้จริง
แต่เขาไม่อยากต่อต้านบิดา ต่อต้านบิดาแล้วชีวิตเขาจะย่ำแย่เอาได้
เขาจึงก้มหน้ายอมรับผิด ไม่ว่าเจิ้นกั๋วกงพูดอะไรก็ขานตอบว่าได้ทุกอย่าง
เจิ้นกั๋วกงมองท่าทางที่ทำพอเป็นพิธีของเขาแล้ว อยากจะตบสั่งสอนเขาอีกสักครั้งเหลือเกิน
หรือจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเขาจะต้องตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเฉินลั่วที่มีเลือดของนางแพศยาผู้นั้นไหลเวียนอยู่ในร่างกึ่งหนึ่งจริงๆ?
เจิ้นกั๋วกงคิดแล้วรู้สึกเหมือนข้างในใจมีไฟสุมหนึ่งกำลังแผดเผาอยู่ จึงเขียนจดหมายไปให้จินซงชิงหนึ่งฉบับ
ในเมื่อเขาไม่มีความสุข เช่นนั้นผู้ใดก็อย่าได้คิดจะมีความสุข!
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าจ่างกงจู่จะไม่สนใจความรู้สึกของผู้ใดแล้ว พูดกับเขาตามตรงว่าจะไม่สนใจเรื่องงานแต่งของเฉินอิง
ต่อให้บัดนี้ตระกูลฝั่งมารดาของเฉินอิงจะไม่มีคนเรียนหนังสือแล้ว ก็ใช่ว่าจะใช้การไม่ได้เลย แต่นั่นก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่มีมารดาเลี้ยงอย่างจ่างกงจู่
มีอะไรเทียบได้กับมารดาที่เป็นจ่างกงจู่ผู้หนึ่งเล่า?
เจิ้นกั๋วกงหงุดหงิดใจเหลือจะกล่าว คิดไปคิดมาก็เรียกเฉินอิงมาคุยด้วยอีกครั้ง กล่าวว่า “เรื่องงานแต่งของเจ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกลี้ยกล่อมให้จ่างกงจู่ช่วยออกหน้าให้ถึงจะใช้การได้ หาไม่คงข่มตระกูลซือไม่ได้แน่!”
เฉินอิงกลับรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว
เขาจะได้ถือโอกาสนี้ตัดขาดกับจ่างกงจู่ ต่อไปจะได้ไม่มีคนเอาเขาไปเปรียบเทียบกับเฉินลั่วอีก
เขารับคำส่งๆ ไปอย่างนั้น แต่มิได้เก็บเอาคำพูดของเจิ้นกั๋วกงมาใส่ใจ
ผู้ใดจะรู้ว่าเฉินเจวี๋ยกลับเร่งเดินทางกลับมาจากเฉิงโจว
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร” นางร้องไห้จนตาบวมไปหมดทั้งสองข้าง จนดูคล้ายมันฮ่อสองลูก ดวงตาจึงมองเห็นแค่ภาพรางๆ บางส่วนเท่านั้น ท่านหมอเคยกำชับนางอย่างเข้มงวดแล้วว่าไม่ให้นางร้องไห้อีก หาไม่ดวงตาคู่นี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ แต่พอนางเห็นเฉินอิงก็จับมือของเขาเอาไว้ ร้องไห้ออกมาอีกครั้งอย่างไม่อาจระงับได้ “เหตุใดเจ้าถึงเลอะเลือนขนาดนี้ ต่อให้ซือจูใช้อุบายทำลายเจ้า เจ้าก็ควรจะหาทางสลัดให้พ้นตัว มิใช่เป็นแพะรับบาปให้ซือจูเช่นนี้!”
แม้นพี่เขยของเฉินอิงจะสืบข่าวมากระจ่างแจ้งชัดเจนดีแล้ว แต่เฉินเจวี๋ยก็ยังคงรู้สึกว่าน้องชายของตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ น้องชายของตัวเองไม่มีทาง แล้วก็ไม่มีความสามารถดังกล่าวไปรังแกซือจูในวังแน่นอน
นางวิงวอนเฉินอิงอย่างขมขื่นว่า “พวกเราไปขอร้องท่านพ่อกัน! หากท่านพ่อไม่สนใจ พวกเราก็เข้าวังไปขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้งานแต่งนี้สำเร็จลงได้!” กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของนางพลันเป็นประกายขึ้นมา กล่าวว่า “หรือไม่ มิสู้ให้ซือจูแต่งกับเฉินลั่ว เขาก็ยังไม่ได้หมั้นหมายมิใช่หรือ พอดีเลย เจ้าในฐานะพี่ชายช่วยให้เขาสมปรารถนาสักครั้งก็แล้วกัน!”
ขอเพียงเฉินอิงมีเรื่อง นางก็คิดไปเองโดยสัญชาตญาณว่าเป็นกลอุบายของเฉินลั่ว ครั้งนี้ก็ไม่เว้นเช่นกัน
แต่นางคิดไม่ตกมาตลอดว่าเฉินลั่ววางแผนทำลายเฉินอิงอย่างไร
นี่ทำให้นางระแวดระวังอยู่ในใจตลอด
เฉินอิงไม่เห็นด้วย กล่าวว่า “พี่ใหญ่นี่เจ้ากล่าวล้อเล่นอะไรกัน พระราชโองการมิใช่เรื่องล้อเล่น จะกลับคำได้อย่างไร”
เฉินเจวี๋ยได้ยินแล้วโมโห กล่าวเสียงเคร่งว่า “แล้วเจ้าจะแต่งกับซือจูได้อย่างไร รู้หรือไม่ว่าซือจูชอบเฉินลั่ว เจ้าจะเลือกสวมรองเท้าขาดๆ ที่เฉินลั่วไม่ต้องการแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เฉินอิงตะลึงงัน ขึงตาจ้องพี่สาวของเขาพลางกล่าว “เจ้าเองก็เชื่อคำพูดเหลวไหลเหล่านี้ไปด้วยอีกคนได้อย่างไร ข้าสืบมาแน่ชัดแล้ว หลายวันก่อนนางเกือบจะขุดหลุมฝังเฉินลั่วไปแล้ว”
เฉินเจวี๋ยไม่เชื่อ รู้สึกว่าน้องชายของตัวเองถูกหลอกแล้ว
เฉินอิงได้แต่กล่าวอธิบายว่า “สมัยเด็ก ผู้ใดไม่มีคนที่ชอบสักหนึ่งหรือสองคนบ้าง” อย่างเขาเอง ตอนเป็นเด็กก็เคยชอบคุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยคนที่แต่งงานเป็นซื่อจื่อฮูหยินของจวนชิ่งอวิ๋นโหวท่านนั้นมาก่อนเหมือนกัน แต่นั่นก็แค่เรื่องสมัยเด็กมิใช่หรือ หลังจากโตเป็นผู้ใหญ่ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคุณหนูใหญ่เจี่ยผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหลือเพียงภาพจำเลือนรางหนึ่งเท่านั้น
“เจ้าเองก็อย่าฟังเสียงลมเป็นฝนไปเลย” เขาพยายามเกลี้ยกล่อมเฉินเจวี๋ย “การเกี่ยวดองครั้งนี้ ไม่รู้ว่ามีคนเห็นเป็นเรื่องตลกมากมายเพียงใด! เจ้าควรจะยืนข้างข้าถึงจะถูก”
“เจ้าเองก็รู้เหมือนกันนี่นาว่าผู้อื่นต่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน!” เฉินเจวี๋ยได้ยินแล้วก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง กล่าวว่า “เจ้าจะให้ข้ายืนข้างเจ้าได้อย่างไร มีตอนไหนบ้างที่ข้าไม่อยู่ข้างเจ้า เจ้าเองก็ไม่อาจเอาแต่หวังพึ่งพาข้าได้! ข้าเพิ่งออกไปไม่กี่วัน เจ้าก็สร้างเรื่องติดๆ กันเรื่องแล้วเรื่องเล่า ให้ข้าได้มีเวลาหยุดพักบ้างไม่ได้เลยหรือ หากมิใช่เพราะข้าให้พี่เขยของเจ้าคอยจับตาดูเจ้าอยู่ล่ะก็ ข้าก็คงยังไม่รู้เรื่องสมรสพระราชทานนี้?”
เฉินอิงก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด
แน่นอนเขารู้ว่าพี่สาวทำเพื่อเขา แต่บางครั้งเขาก็รู้สึกว่านางเข้ามายุ่งมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขารู้ว่าพี่สาวของเขาไม่ชอบซือจูมาตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุนี้จึงอยากหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อบอกพี่สาว มิใช่เล่าให้ฟังอย่างส่งๆ เท่านั้น
“ข้าเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังเจ้า” เฉินอิงพึมพำกล่าว “คราวก่อนเจ้าพูดแล้วว่าให้ข้าสู่ขอหญิงสาวของตระกูลถานหรือไม่ก็หญิงสาวของตระกูลเจี่ย นี่มิใช่เพราะข้ากลัวเจ้าจะไม่เห็นด้วยหรอกหรือ”
เฉินเจวี๋ยโกรธจนพูดอะไรไม่ออก
เพราะนางไม่เห็นด้วยก็เลยไม่พูด เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงยังต้องการแต่งกับซือจูอีก?
เห็นชัดว่าเป็นเพราะปีกกล้าขาแข็งอยากโบยบินด้วยตัวเองแล้ว
นางหาได้คิดว่าซือจูไม่ดี แต่ปัญหาคือซือจูไม่ได้แต่งกับเฉินอิงเพราะความชอบ เห็นได้ชัดว่าในเรื่องนี้มีความเข้าใจผิดซุกซ่อนอยู่ แต่เฉินอิงกลับไม่ตระหนักถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้เลยแม้แต่ครึ่งเดียว จะไม่ให้นางกังวลและเดือดดาลได้อย่างไร
เฉินอิงชอบพี่สาวที่คอยปกป้องดูแลเขาทุกเรื่องของตัวเองผู้นี้จริงๆ เขาไม่อยากให้พี่สาวโมโห จึงรีบกอดเฉินเจวี๋ยเอาไว้ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “เอาล่ะๆ เจ้าอย่าโมโหไปเลย ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว พวกเราโมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าบอกข้ามาตั้งแต่เด็กมิใช่หรือว่ายามพานพบปัญหาก็พูดถึงปัญหา ไม่ต้องดึงไปทางซ้ายลากไปทางขวา ข้ามั่นใจว่าใช้ชีวิตกับซือจูได้ เจ้าวางใจเถิด”
เฉินเจวี๋ยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตัดสินใจว่าลองไปเจอซือจูดูก่อนค่อยว่ากันอีกที จึงพูดถึงงานแต่งของเฉินอิงขึ้นมา
เฉินอิงเล่าเรื่องในบ้านให้เฉินเจวี๋ยฟัง “…จ่างกงจู่ไม่ยอมช่วยจัดการงานแต่งให้ข้า ข้ากำลังมืดแปดด้านอยู่เลยว่าจะทำอย่างไรดี พี่สาวเดินทางมาพอดี พวกเราก็ไม่ต้องไปขอร้องจ่างกงจู่แล้ว ท่านช่วยจัดการให้ข้าก็ไม่ต่างกัน”
เฉินเจวี๋ยถึงได้รู้ว่าที่แท้จ่างกงจู่ก็ไม่ยอมออกหน้าช่วยจัดการเรื่องงานแต่งให้เฉินอิงนี่เอง
นางกระโดดพรวดขึ้นมาในทันที กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าก็จะไม่สนใจนางแล้ว ข้าไม่เชื่อว่า ออกห่างจากนางแล้วพวกเราจะทำอะไรไม่สำเร็จเลย ก็จะได้ให้คนในเมืองหลวงได้เห็นด้วยว่านางเป็นคนเช่นไร ดูว่าจริงๆ แล้วเป็นนางที่ไร้ความเป็นแม่หรือเป็นพวกเราที่อกตัญญู!”
……………………………………………………………….
ตอนต่อไป