บทที่ 161 อีกแล้วหรือนี่? 1 (2)

“ระเบิดที่ถูกสร้างจากการเล่นแร่แปรธาตุมีพลังการทำลายล้างไม่รุนแรงนัก..มันจะไม่สามารถทำลายตำหนักแสงตะวันได้”

พลังธรรมชาติที่ใช้หลักการเล่นแร่แปรธาตุเพื่อสร้างระเบิดขึ้นมามีอนุภาพทำลายล้างไม่รุนแรงนัก นอกจากนี้ยังมีอัตราความสำเร็จที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับการใช้ระเบิดพลังเวทย์จริงๆ

มีเพียงระเบิดที่ถูกเสริมด้วยวงเวทย์เท่านั้นที่จะสามารถทำให้ระเบิดเล่นแร่แปรธาตุมีอัตราความสำเร็จ100เปอร์เซ็น

แน่นอนว่าอัศวินแมวรู้ดีว่าระเบิดพวกนี้ไม่ได้มีพลังทำลายล้างที่แข็งแกร่งพอจะทำลายตำหนักแสงตะวันได้หมดแต่พวกเขาพิจารณาร่วมกันว่าจะทำลายเพียงบางส่วนเท่านั้น

นี่คือการเฉลิมฉลองวันสิ้นปีหลังจากทำศึกกับอาณาจักรวิปเปอร์ มันเป็นงานเลี้ยงฉลองที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาเลือกลงมือในวันนี้

พวกเขาคิดว่านี่คือการให้คนจำนวนมากมาร่วมเป็นสักขีพยานให้กับการแก้แค้นและเปิดเผยความจริงต่อโลกใบนี้

อย่างไรก็ตามอัศวินแมวไม่สามารถพูดอะไรได้เต็มปากต่อหน้าขุนนางจากอาณาจักรโรมันผู้นี้ได้

“…ข้าขอโทษ…พวกเรารวบรวมระเบิดพวกนี้มาตลอด5ปีที่ผ่านมา..พวกมันถูกวางไว้รอบๆปีกด้านหนึ่งของตำหนักแสงตะวันในช่วง1เดือนที่ผ่านมา”

ทำลายเพียงปีกเดียว

คาร์ลเข้าใจในสิ่งที่อัศวินแมวกล่าว พวกเขาต่างเชื่อมั่นว่าความพยายามตลอด5ปีที่ผ่านมาเพียงพอที่จะกำจัดปีกของตำหนักลงฝั่งหนึ่งได้

“ข้ารู้สึกเสียใจต่ออาณาจักรโรมันยิ่งนัก..แต่อย่างไรก็ตามระเบิดพวกนั้นก็จะเริ่มทำงานในอีกไม่ช้า..มันยากที่จะเข้าไประงับไม่ให้ระเบิดหยุดทำงานได้”

อัศวินแมวสามารถทำร้ายร่างกายของหัวหน้าหอระฆังแต่ไม่สามารถปลิดชีพของเธอได้

นับเป็นระยะเวลานานที่พวกเขาสะสมความแค้นเอาไว้ อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องการแก้แค้นเพียงจักรวรรดิเท่านั้น เขารู้สึกเสียใจกับอาณาจักรโรมันมาตั้งแต่ต้นและความรู้สึกนี้ก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ

คาร์ลจ้องไปยังอัศวินแมวที่เงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง ประกายตาของคาร์ลคมกล้าขึ้นมาทันที เมื่ออัศวินแมวเห็นเช่นนั้นก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้

เสียงแข็งกร้าวของคาร์ลดังขึ้น

“เจ้าบ้าเอ้ย!..เจ้าคิดว่าคนจากอาณาจักรโรมันควรเล่นงานเจ้าอย่างไรดี?”

“..ทำตามที่พวกท่านเห็นควรเถิด”

“ให้ตายเถอะ!”

อัศวินแมวไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เขาทำได้เพียงก้มศีรษะลงเพื่อน้อมรับความผิดของเขาต่อหน้าขุนนางจากอาณาจักรโรมัน

“นั่นคือเหตุผลที่ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป”

“ไร้สาระชะมัด!”

ร่างของอัศวินแมวสะท้านขึ้นทันที

คาร์ล เฮนิตัส เป็นหนึ่งในบุคลที่จักรวรรดิให้ความสนใจเป็นพิเศษเพราะเขาเป็นที่รู้จักในฐานะขุนนางผู้เที่ยงธรรมและน่าเคารพยกย่อง อัศวินแมวรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ของขุนนางผู้ถูกยกย่อง เขาเหลือบมองคาร์ลด้วยสายตาแปลกๆหลังจากได้ยินคำสบถดังกล่าวออกจากปากของขุนนางผู้นี้แต่คาร์ลเองก็ไม่คิดที่จะมองอัศวินแมวผู้นี้อีกต่อไป ลมหมุนเริ่มวิ่งวนรอบเท้าทั้ง2ข้างของเขา

“ฮิลส์แมน”

“ขอรับ?”

“ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ชิงฆ่าตัวตายไปก่อน”

“ได้ขอรับ!”

ร่างของคาร์ลเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ในขณะที่หูของเขาก็ได้ยินเสียงพึมพำของอัศวินแมวไล่ตามหลังมา

“…มันสายไปแล้วล่ะ..ระเบิดควรจะถูกจุดชนวนแล้ว”

เสียงราอนดังเข้าในหัวของคาร์ลเช่นเดียวกัน

~ มนุษย์!.รีบไปช่วยพวกเขากันเถอะ! ~

คาร์ลเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

ยังมีอีกหลายอย่างที่คาร์ลต้องการรู้จากอัศวินแมว คาร์ลอยากรู้ว่าพวกเขาสามารถวางระเบิดรอบๆปีกฝั่งหนึ่งของตำหนักแสงตะวันได้อย่างไรโดยไม่ถูกอัศวินหรือทหารยามจับได้ ไหนจะแผนการที่พวกเขาคิดจะทำหลังจากเหตุการณ์นี้เสร็จสิ้น

อย่างไรก็ตามมีบางอย่างที่เขาต้องไปจัดการก่อนจะทำเช่นนั้นได้

ในที่สุดคาร์ลก็มองเห็นทางเข้าตำหนักแสงตะวันได้เต็มตา

“นายน้อยคาร์ล!”

‘ดัลตาโร่’หัวหน้านักการทูตโบกมือส่งสัญญาณให้คาร์ลอย่างตกใจระคนดีใจไปพร้อมๆกัน คาร์ลมองเห็นองค์ชายอัลเบิร์กยืนอยู่ข้างๆดัลตาโร่เช่นกัน

“…เอ๊ะ?”

คาร์ลเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งในขณะที่อัลเบิร์กก็จับตามองดูการเคลื่อนไหวของคาร์ลไปด้วย ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น

ทางเข้าตำหนักแสงตะวันที่คร่าคร่ำไปด้วยผู้คนและความวุ่นวายอยู่ในระยะสายตาของอัลเบิร์ก มีสมาชิกจากคณะทูตของฝั่งอาณาจักรโรมันจับกลุ่มพูดคุยกับตัวแทนจักรวรรดิอย่างเคร่งเครียด บ้างก็กำลังตรวจสอบผู้คนที่กรูกันออกมาจากห้องจัดเลี้ยงซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นขุนนางระดับต่ำเพราะเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางระดับสูงหนีออกมาก่อนหน้านั้นแล้ว

สายตาของอัลเบิร์กพุ่งตรงไปที่ปีกฝั่งหนึ่งของตำหนักแสงตะวัน

“นั่นอะไร?—-”

มีร่างของข้ารับใช้ผู้หนึ่งยืนอยู่บนปีกฝั่งนั้น

ฟรู่!!!ฟรู่!!!ฟรู่!!!

ร่างของข้ารับใช้ผู้นั้นลุกท่วมไปด้วยไฟ

“เฮ้ย!!!”

“อึ่ก..นั่น..อะไรกัน?!”

เสียงกรีดร้องดังไปทั่วบริเวณอีกครั้ง

ข้ารับใช้ที่มีไฟลุกท่วม ไม่ใช่สิ! ต้องบอกว่าคนที่ปลอมตัวเป็นข้ารับใช้ต่างหาก เขายืนอยู่บนปีกฝั่งหนึ่งของตำหนักแสงตะวันโดยถือระเบิดลูกหนึ่งไว้ในมือ ระเบิดลูกนั้นค่อยๆร่วงลงจากมือของเขาก่อนจะตกกระทบพื้น

ประโยคที่อัศวินแมวพูดเอาไว้พุ่งเข้ามาในหัวของคาร์ลทันที

‘..มันสายไปแล้วล่ะ..ระเบิดควรจะถูกจุดชนวนแล้ว’

ถูกอย่างที่หมอนั่นพูด ระเบิดถูกจุดชนวนแล้วจริงๆ

~ มนุษย์!.มันไม่สายไปหรอกรึ!? ~

คำพูดของราอนก็ถูกต้องเช่นกัน

คาร์ลยื่นมือออกไปด้านหน้าทันที ลมหมุนขนาดใหญ่พุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนู พลังเวทย์ของราอนก็เสริมเข้าไปให้กับลมหมุนเช่นเดียวกัน นี่เป็นวิธีเดียวที่จะซ่อนตัวตนของราอนไม่ให้ปรมาจารย์ดาบและหัวหน้าหอระฆังสัมผัสได้

“อึ่ก!!”

ร่างของข้ารับใช้ผู้นั้นล้มลงเพราะลมหมุนของคาร์ล

บู้ม!

เสียงระเบิดดังก้องขึ้นพร้อมกับพื้นดินที่เริ่มสั่นสะเทือน ตัวปีกของตำหนักแสงตะวันที่ข้ารับใช้ผู้นี้ต้องการทำลายมีโครงสร้างเชื่อมไปยังใต้ดินส่งผลให้พื้นดินบริเวณนั้นสั่นสะเทือนไม่หยุด

ระเบิดได้เริ่มขึ้นแล้ว

~ มนุษย์!.ตอนนี้ข้าสามารถใช้พลังเวทย์ได้หรือไม่?..แต่พวกเขาจะรู้ในทันทีว่ามีใครอยู่ข้างเจ้าหากข้าทำเช่นนั้น!..ปรมาจารย์ดาบจะสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์อันยิ่งใหญ่ของข้า!~

คาร์ลมองเห็นองค์ชายเอดิน ปรมาจารย์ดาบฮูเต็นยืนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขาอยู่นัก ด้านหลังของพวกเขาคือองค์ชายรัชทายาทอัลเบิร์กและดัลตาโร่ ซึ่งทั้งคู่กำลังมุ่งหน้ามาหาคาร์ลอย่างเร่งรีบ

คาร์ลหันไปมองอัลเบิร์ก ดัลตาโร่และสมาชิกทูตคนอื่นๆทันที

มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัวของเขา

-เจ้ากำลังจะเสียสละตัวเองใช่หรือไม่?-

‘เสียสละตัวเอง?..นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน?’

บู้มมมม!!บู้มมมม!!

เสียงระเบิดอีกจำนวนหนึ่งดังขึ้นและเขย่าฐานรากของปีกตำหนักจนสั่นสะเทือน

สายตาของผู้คนที่ยังไม่สามารถหนีออกจากตำหนักแสงตะวันได้มองไปยังจุดที่ได้ยินเสียงระบิดราวกับเห็นภาพในนรก

คาร์ลเริ่มพูดขึ้น

“ช่วยข้าที”

คาร์ลยื่นมือออกมา ร่างของเขาเริ่มสั่นน้อยๆ โล่เงินเริ่มทำงานเป็นครั้งแรกหลังจากทิ้งห่างมาเป็นเวลานาน

โครม!!!

ตรงกลางปีกตำหนักเริ่มโค่นลง ส่งผลให้ส่วนที่เหลือของปีกตำหนักเริ่มเอียงลงอย่างช้าๆ

คาร์ลพูดขึ้นอีกครั้ง

“เราจะดันมันไว้ไม่ให้มันโค่นลงมา”

~ ตกลง! ~

ช่วงจังหวะที่อัลเบิร์กกำลังสาวเท้ามาหาคาร์ลอย่างเร่งรีบนั้น เขากลับต้องหยุดการเคลื่อนไหวของตนลง ชื่อของคาร์ลค่อยๆออกจากปากของเขาอย่างแผ่วเบา

“…คาร์ล…เฮนิตัส”

ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแต่กลับมีแสงสีเงินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด

แสงสีเงินนั่นเกิดจาก ‘คาร์ล เฮนิตัส’