บทที่ 162 อีกแล้วหรือนี่ 2 (1)

กลุ่มคนที่กรูออกมาจากประตูทางเข้าต่างหยุดชะงักก่อนจะปล่อยให้ร่างไหลไปเรื่อยๆตามแรงผลักจากคนที่อยู่ด้านหลัง อย่างไรก็ตามสายตาของพวกเขาต่างจ้องไปยังจุดเดียวกัน

หนึ่งในนักการทูตจากอาณาจักรโรมันพึมพำขึ้นมา

“น..นายน้อยคาร์ล–”

สายตาของเขาถูกตรึงไว้ที่ร่างของคาร์ล ในขณะที่เท้าก็เริ่มเดินตามแสงสีเงินที่เอ่อออกจากมือของคาร์ลไปเรื่อยๆ หัวใจของเขาเต้นรัวขึ้นเป็นเพราะเขาเคยเห็นแสงสีเงินมาก่อน

มันเป็นตอนที่เกิดเหตุก่อการณ์ร้ายขึ้นในจัตุรัสกลางเมือง เขาจำได้ว่าเคยเห็นแสงสีเงินนี้ที่นั่น ทูตผู้นี้อยู่ในที่เกิดเหตุในครั้งนั้นเพราะเขาทำงานให้กับวังหลวง

ภาพของโล่และปีกสีเงินขนาดใหญ่ที่ป้องกันเหล่าชาวเมืองแห่งอาณาจักรโรมันเอาไว้ผุดเข้ามาในหัวของเขา

สายตาของเขาเบนขึ้นไปบนท้องฟ้า

“…อ่า”

เขาเห็นแสงสีเงินรางๆอยู่เหนือศีรษะของเขา บางส่วนของปีกขนาดใหญ่กำลังอยู่เหนือศีรษะของเขา ต้นเสาขนาดใหญ่ถูกดันโดยโล่เงินเพียงอันเดียวเพื่อไม่ให้ตัวอาคารพังลงมาทับหัวของเขา

แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์เดียวของมัน เพราะมันคือการปกป้องผู้คนที่ยังติดอยู่ในตัวอาคารเพื่อไม่ให้ร่างของพวกเขาถูกฝังไว้ใต้ซากอาคารหากไม่มีโล่เงินช่วยค้ำเอาไว้

‘ข้ารอดตายแล้ว’

นี่คือสิ่งที่เขาคิดได้ในตอนนี้ก่อนที่เสียงของคนผู้หนึ่งจะดังขึ้น

“..ข้า..ไม่สามารถ..ต้านมันไว้ได้นานหรอก”

มันคือเสียงของคาร์ล เฮนิตัส

อัลเบิร์กเองก็พลันได้สติเมื่อได้ยินเสียงของคาร์ลดังขึ้น

อัลเบิร์กกวาดสายตาไปมองโล่ขนาดใหญ่ที่รองรับทั้งเสาและตัวปีกของอาคารฝั่งหนึ่งเอาไว้ ปีกอาคารที่โผล่พ้นออกมาจากโล่เงินถูกค้ำไว้ด้วยต้นเสาขนาดใหญ่และช่วยป้องกันไม่ให้มันตกลงมาใส่ร่างผู้คน

พวกเขาทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปที่โล่เงินที่ส่องแสงจ้าเพียงสิ่งเดียวจนลืมไปว่าแสงเงินนี้เกิดขึ้นโดยฝีมือของคนผู้เดียว

อัลเบิร์กหันกลับไปมองด้านหลัง

เขาเห็นองค์ชายเอดินจากระยะไกลๆ สายตาที่องค์ชายเอดินจ้องไปที่คาร์ลเป็นประกายวาววับก่อนที่มันจะเลือนหายไปเมื่อเอดินหันมาสบตาเข้ากับอัลเบิร์ก

แน่นอนว่าการแสดงออกที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเอดินไม่รอดพ้นสายตาของอัลเบิร์กไปได้

ดูเหมือนเอดินจะรู้สึกขบขำ แม้ว่าใบหน้าของเขาจะดูบึ้งตึงแต่ดวงตาของเขาแสดงออกถึงความสนุกสนานเมื่อเห็นส่วนหนึ่งของตำหนักถูกทำลายและทั้งขุนนางของจักรวรรดิรวมไปถึงคณะทูตจากต่างอาณาจักรอาจจบชีวิตลงเมื่อไหร่ก็ได้ คนอื่นๆอาจไม่ทันสังเกตแต่อัลเบิร์กสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน

สายตาที่อัลเบิร์กจ้องไปยังเอดินแข็งกร้าวขึ้นแต่เมื่อทั้งคู่กำลังสบตากันอยู่เช่นนี้ทำให้อัลเบิร์กรีบรักษาสีหน้าของตนให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็พูดขึ้นเมื่อกลุ่มของเอดินเดินมาถึงจุดที่เขาอยู่เรียบร้อยแล้ว

“เรามีเวลาไม่มากแล้ว”

“อืม..เป็นอย่างที่ท่านว่า..ดยุกฮูเต็น!”

“พะย่ะค่ะองค์ชาย!”

ดยุกฮูเต็นเตรียมพร้อมรับคำสั่งของเอดินทันที

“สั่งการให้นักเวทย์และนักเล่นแร่แปรธาตุมาที่นี่โดยเร็วที่สุด!”

“พะย่ะค่ะ!”

อัศวินทั้งหมดก็รีบเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน

อัลเบิร์กเองก็หันไปสั่งผู้บังคับบัญชาของตน

“รีบไปช่วยคนอื่นๆออกมาจากด้านในโดยด่วน!..ไม่ว่าจะเป็นขุนนางของเราเองหรือขุนนางของจักรวรรดิและแม้แต่เหล่าข้ารับใช้..ก็จงช่วยพวกเขาออกมา!”

มีทั้งเหล่านางกำนัล ข้ารับใช้ นักดนตรีและเหล่าพ่อครัวที่ยังติดอยู่ภายในอาคารส่วนที่กำลังจะถล่มลงมา จำนวนของพวกเขามีมากกว่าเหล่าขุนนางที่พากันหนีตายออกมาก่อนหน้านั้นแล้ว อัลเบิร์กเลือกที่จะมุ่งเน้นไปยังพลเมืองมากกว่าขุนนางแบบที่เอดินทำ

จากนั้นเขาก็หันไปสั่งการอัศวินจำนวนหนึ่ง

“รีบไปช่วยนายน้อยคาร์ล!”

“พะย่ะค่ะ!”

อัศวินกลุ่มนั้นรีบวิ่งไปหาคาร์ลอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับคำสั่งจากองค์ชายรัชทายาท อัลเบิร์กแอบหันไปสั่งการเบ็นกับโคราอย่างลับๆ

“เบ็น..เจ้าจงไปสั่งเกตการณ์ข้ารับใช้ที่เป็นผู้จุดชนวนระเบิดนั่นพร้อมกับสังเกตองค์ชายเอดินไปด้วย”

“พะยะค่ะองค์ชาย!”

“ส่วนเจ้า..โครา!..รีบกลับไปที่ห้องพักของนายน้อยคาร์ลและเจ้งให้พวกเขาทราบว่าเกิดอะไรขึ้น”

อัลเบิร์กไม่เห็นอัศวินประจำตัวอยู่อารักขาคาร์ลที่นี่ นั่นอาจเป็นเพราะคาร์ลสั่งการให้พวกเขาไปทำบางอย่างอยู่ เขานึกถึงเชวฮันนักดาบผู้นั้นขึ้นมาแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถประเมินองค์ชายเอดินต่ำไปเช่นกัน จึงเป็นเหตุผลที่เขาตอบคำถามที่โคราเอ่ยถามออกมา

“เราต้องพาเชวฮันมาที่นี่หรือไม่พะย่ะค่ะ?”

“ไม่ต้อง..แค่บอกให้เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็พอ”

“พะย่ะค่ะ”

ลูกน้องคนสนิทของอัลเบิร์กรีบไปดำเนินการตามที่อัลเบิร์กสั่งอย่างรวดเร็ว

อัลเบิร์กรีบสาวเท้าไปยังจุดที่คาร์ลอยู่ทันที ส่งผลให้ดัลตาโร่รีบเอ่ยเตือนอัลเบิร์กอย่างระมัดระวังเมื่อเข้าใจในสิ่งที่อัลเบิร์กคิด

“องค์ชายพะย่ะค่ะ..รีบไปยังจุดที่ปลอดภัยก่อน—”

“ข้าไม่เป็นไร”

“เอ่อ..พะย่ะค่ะ”

เมื่อเอ่ยท้วงให้อัลเบิร์กไปประทับยังจุดที่ปลอดภัยไม่ได้ ดัลตาโร่จึงสั่งให้อัศวินลูกน้องของตนคอยอารักขาอัลเบิร์กทันที

อัลเบิร์ลย้ายสายตาไปมองคาร์ล

เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหน้าของคาร์ลซีดเผือดแค่ไหน

‘ช่างโง่จริงๆ’

อัลเบิร์กเริ่มพูดกับชายที่แสนฉลาดแต่ในขณะเดียวกันก็ชอบทำตัวโง่เง่า

“รออีกหน่อย..นักเวทย์ของจักรวรรดิกำลังเดินทางมาที่นี่..คนที่ติดอยู่ข้างในก็กำลังรีบออกมาเช่นกัน”

ฮึบ!

คาร์ลสูดหายใจเข้าปอดลึก

อัศวินของอาณาจักรโรมันต่างสะดุ้งกันสุดแรงหลังจากได้ยินเสียงสูดหายใจลึกของคาร์ล

เหล่าอัศวินมองเห็นใบหน้าอันซีดเผือดและมือที่ไร้สีเลือดของคาร์ลดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มไม่ไหวแล้ว ก่อนที่ภาพเมื่อครั้งที่เกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายในจัตุรัสกลางเมืองจะไหลเข้ามาในหัวของพวกเขา

อัศวินนายหนึ่งกำดาบของตนแน่นขึ้น

‘นายน้อยคาร์ลกระอักเป็นเลือด..จากนั้นเขาก็ล้มลง’

ร่างของเขาเซไปมาและกระอักออกมาเป็นเลือดจากนั้นเขาก็ใช้เวลาพักฟื้นร่างกายเป็นเวลานาน

ทุกคนที่อยู่รอบๆตัวคาร์ลเริ่มเป็นกังวล

อย่างไรก็ตามมีเสียงหนึ่งดังก้องเข้ามาในหัวคาร์ล

~ มนุษย์!…เจ้าไหวหรือเปล่า?..แต่อย่างน้อยเจ้าก็ไม่กระอักออกมาเป็นเลือด~

~มนุษย์!หัวใจของข้าลุกเป็นไฟแล้ว!..เรากำลังจะได้ช่วยคนอื่นอีกครั้ง! มนุษย์ถึงเจ้าจะอ่อนแอแต่เจ้าก็เป็นคนดี!~

‘น่ารำคาญชะมัด’

บางครั้งอาจมีผลกระทบหลายๆอย่างตามมาเมื่อเขาคิดที่จะยื่นมือไปช่วยเหลือใครสักคนแต่การได้ยินราอนพูดไปเรื่อยโดยไม่มีแก่นสารแบบนี้ก็เพิ่มความเหนื่อยใจให้เขาได้ไม่น้อย

~ มนุษย์!..ถ้าเจ้าเหนื่อยก็หยุดได้เลย!อย่าไปหักโหมมากนัก! เดี๋ยวข้าจะจัดการทุกอย่างเอง!~

‘ให้ตายเถอะ!..นี่ไม่คิดว่าคนอื่นจะสงสัยหรือไงถ้านายคิดจะจัดการทุกอย่างเอง?’

ปรมาจารย์ดาบฮูเต็นและองค์ชายเอดินอาจมีข้อสงสัยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นหากอาคารฝั่งนี้ไม่ถล่มลงมาโดยไร้โล่และปีกรองรับพวกมันเอาไว้

‘ฮูเต็นอาจคิดว่าพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณของฉันแข็งแกร่ง’

พลังที่ไร้รูปร่างของราอนและพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณของคาร์ลแตกต่างจากพลังเวทย์ทั่วๆไปเพราะพลังของพวกเขาทั้งคู่อาศัยการขับเคลื่อนจากพลังธรรมชาติ ดยุกฮูเต็นอาจใช้เวลานานพอสมควรที่จะหาคำตอบนี้เจอ

‘แต่มันก็จะเป็นปัญหาใหญ่ถ้าเขาคิดว่าพลังของฉันแข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดเอาไว้’

คาร์ลกังวลว่าดยุกฮูเต็นจะรู้ว่าเขาครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณมากกว่าหนึ่งอย่างและประเมินความแข็งแกร่งของพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณที่เขามีสูงเกินไป

นั่นคือสาเหตุที่คาร์ลเลือกใช้โล่นิรันดร์กาลในระดับสูงสุดส่งผลให้แสงสีเงินสว่างจ้ากว่าที่เคยมีมา

แต่มันก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะควบคุมพลังนี้ได้นาน เขาต้องการใช้พละกำลังแห่งดวงใจเข้ามาช่วยในครั้งนี้

มันต่างจากตอนที่เขาใช้มันเพียงระยะสั้นๆเมื่อครั้งที่ใช้ป้องกันเหตุระเบิดในจัตุรัสกลางเมือง

“…นายน้อยคาร์ล”

ดัลตาโร่เห็นเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของคาร์ล เขาจึงตระหนักได้ว่าจำนวนผู้รอดชีวิตเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมานั้นล้วนมาจากความอดทนของนายน้อยคาร์ลผู้นี้

ตอนนั้นเองที่มีเสียงรบกวนบางอย่างดังแว่วเข้ามาทำให้ดัลตาโร่รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

“พวกนักเวทย์และนักเล่นแร่แปรธาตุเดินทางมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ”

เขาเอ่ยรายงานกับองค์ชายอัลเบิร์กที่หันสายตาไปมองประตูทางเข้าเพื่อมองตามร่างดยุกฮูเต็นและหนึ่งในอัศวินที่กำลังส่งสัญญาณแจ้งเตือน

นักเวทย์ครึ่งหนึ่งประจำอยู่บนพื้นดินและเริ่มร่ายพลังเวทย์ยกตัวอาคารขึ้น

ครืนนนนนนนนนนน!!!!!

นักเล่นแร่แปรธาตุโยนของเหลวที่ไม่สามารถระบุได้ว่าคืออะไรลงบนพื้นดิน ในขณะที่นักเวทย์อีกครึ่งหนึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศเพื่อสร้างโล่ป้องกัน

เคร้งงงงงงง!!!!!