บทที่ 162 อีกแล้วหรือนี่ 2 (2)

นักเวทย์ราวๆยี่สิบคนสร้างโล่ป้องกันไว้บนโล่เงินของคาร์ล ในเวลาเดียวกันพื้นดินที่ถูกปีกของอาคารทับอยู่ก็ค่อยๆยกสูงขึ้น

นักเล่นแร่แปรธาตุและนักเวทย์ร่วมมือกันสร้างเสาดินขนาดใหญ่ขึ้นมา

เสาดินยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆก่อนจะหยุดลงเมื่อรองรับโล่เงินของคาร์ลได้สำเร็จ

หัวหน้านักเล่นแร่รีบตะโกนขึ้นทันที

“เริ่มขั้นตอนต่อไปได้!”

นักเล่นแร่แปรธาตุใช้เชือกสีดำแปลกตามัดรอบเสาดินเอาไว้ เสาดินที่ดูไม่แข็งแรงนักเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเมื่อได้เชือกสีดำมัดพวกมันเอาไว้

นักเวทย์และดยุกฮูเต็นตะโกนไปยังคาร์ลซึ่งกำลังเฝ้าดูสิ่งที่พวกเขาทำอยู่

“เตรียมพร้อม!”

“นายน้อยคาร์ล!..ท่านสามารถหยุดได้!”

เสียงดังก้องของฮูเต็นทำให้ทุกๆคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างได้ยินชื่อของบุคคลผู้นี้กันอย่างพร้อมเพรียง ดวงตาของพวกเขาทั้งหมดต่างหันไปมองที่คาร์ลทันที

ว๊าบบบบบ!!!

แสงสีเงินที่สว่างจ้ากว่าแสงอาทิตย์พลันหายไป

บู้มมมม!

ตัวปีกอาคารกระแทกเข้ากับโล่ป้องกันและเสาดินที่เตรียมรองรับเอาไว้

“อึ่กกก”

“ฮึก!”

นักเวทย์ที่รับหน้าที่สร้างโล่ป้องกันต่างส่งเสียงครวญครางออกมา มีเพียงนักเวทย์ระดับสูงเท่านั้นที่ส่งเสียงครางออกมาเบาๆ

การได้ยินเสียงตัวเองครวญครางออกมาทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น นายน้อยคาร์ลผู้นี้สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงโดยไม่ส่งเสียงครวญครางใดๆออกมา พวกเขาไม่สามารถรั้งสายตาที่หันไปมองคาร์ลโดยอัตโนมัติได้

“แค่กๆๆๆ!’

คาร์ลยกมือขึ้นปิดปากเมื่อเขาเริ่มไอ อาการไอเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆจนร่างเขาเซไปข้างหน้า

“นายน้อยคาร์ล!”

ดารัลโตร้องเรียกคาร์ลด้วยความตกใจ

เขามองเห็นหยดเลือดอยู่บนมือคาร์ล

ถึงร่างจะโอนเอนเพียงใดแต่คาร์ลก็ยังไม่ล้มลง

“คาร์ล..เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

อัลเบิร์กวิ่งเข้ามาประคองร่างของคาร์ลไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้น สายตาของเขาจ้องไปที่คาร์ลเมื่อคาร์ลยังคงทิ้งศีรษะลงมองพื้น

คาร์ลเริ่มพึมพำบางอย่างในใจ

‘อ่า..สดชื่น’

ฝ่ามือของเขาทั้งสั่นและเจ็บแปลบกว่าคราวที่แล้วเนื่องจากระยะเวลาที่ใช้นานกว่าเดิม แต่เขากลับรู้สึกดีขึ้นหลังจากระอักเลือดออกมาเพียงครั้งเดียว

‘พละกำลังแห่งดวงใจ..ช่างสุดยอดจริงๆ’

คาร์ลคิดว่าในบรรดาพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณที่เขาได้ครอบครองนั้น พละกำลังแห่งดวงใจคือพลังที่ยอดเยี่ยมที่สุด ตอนนั้นเองที่มีเสียงบางอย่างก้องเข้ามาในหัวของเขา

-ทำไมเจ้าไม่เสียสละตนเอง?-

คาร์ลสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของพลังศิลา จากนั้นร่างของเขาก็สะท้านแรงขึ้นเมื่อได้ยินประโยคต่อไป

~ ..ข้าต้องการทำลายจักรวรรดิ!~

มันเป็นเสียงของมังกรน้อยราอน

~ แต่ข้าจะเก็บมันไว้ก่อนเพราะสภาพของเจ้ายังดูดีกว่าตอนที่ใช้พลังสายฟ้านั่น~

‘..สงสัยต้องทำให้ราอนมั่นใจว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรเมื่อกลับไปถึงห้องพักแล้ว’

คาร์ลมั่นใจว่าราอนรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมากแม้ว่าจะกระอักออกมาเป็นเลือดก็ตาม อย่างไรก็ตามเขายังคงรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาอันโหดร้ายของราอนในทุกๆครั้งที่เขาได้รับบาดเจ็บ

‘หมอนี่เป็นแบบนี้เพราะเห็นเลือดหรือเปล่านะ?’

คาร์ลไม่สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่อยู่ในใจของมังกรน้อยวัยห้าขวบได้ก่อนที่เสียงของอัลเบิร์กจะดังเข้ามาในหูของเขา

“เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

อัลเบิร์กไม่สามารถซ่อนความกังวลของตนไว้ได้เมื่อเห็นว่าไหล่ของคาร์ลยังคงสั่นสะท้าน ท่าทางของคาร์ลแบบนี้มันยากที่จะให้เขาสบายใจได้

แน่นอนว่าที่ร่างของคาร์ลสั่นเป็นเพราะคำพูดของพลังศิลาและราอนแต่คนอื่นๆกลับคิดว่ามันคืออาการข้างเคียงจากแรงหดกลับของโล่

อัลเบิร์กขมวดคิ้วมุ่นเมื่อยังไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆจากคาร์ลก่อนที่เสียงแผ่วเบาของคาร์ลจะดังขึ้น

“คณะทูต..แค่กกกกๆๆ.อะแฮ่มม”

เสียงของคาร์ลยังไม่ปกติเพราะผ่านการไอมาอย่างหนักหน่วงแต่ใช้เวลาไม่นานเขาก็เริ่มหาเสียงตัวเองเจอ

“เหล่าคณะทูตเป็นอย่างไรบ้างพะย่ะค่ะ?”

คาร์ลค่อยๆยกศีรษะขึ้น แน่นอนว่าสุขภาพของเขายังเป็นปกติดีเพียงแค่หิวเล็กน้อยเท่านั้น เขาหันไปมององค์ชายรัชทายาทที่แสดงสีหน้าบึ้งตึงส่งผลทำให้คาร์ลอดขนลุกขึ้นมาไม่ได้

“…พวกเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่พะย่ะค่ะ?”

อัลเบิร์กคลายปมที่คิ้วของตนออกเล็กน้อยก่อนตอบคำถามของคาร์ล

“เจ้าบ้—เฮ้อออ!!!!”

‘เขากำลังจะพูดอะไร?’

คาร์ลรู้สึกว่าอัลเบิร์กกำลังจะด่าเขาว่าเจ้าบ้าก่อนที่จะหยุดเสียงลงเมื่อเห็นสายตาหลายคู่จ้องมาที่พวกเขา อัลเบิร์กช่วยประคองร่างคาร์ลให้นั่งลงกับพื้นและยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งให้

“เช็ดเลือดออกจากปากเจ้าซะ”

“อ่า”

คาร์ลรีบเช็ดเลือดออกจากปากของตนอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเขาไม่รู้สึกเจ็บทำให้ลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท

เมื่อเห็นท่าทางของคาร์ลเป็นแบบนี้ทำให้อัลเบิร์กกลับมาขมวดคิ้วอีกครั้งและพูดขึ้น

“มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับบาดเจ็บ..แต่พวกเราทั้งหมดต่างปลอดภัยกันดี”

“อ่า..หม่อมฉันโล่งใจยิ่งนัก”

อัลเบิร์กยกมือขึ้นตบศีรษะของตนเบาๆเมื่อมองคาร์ลเช็ดเลือดออกจากมุมปาก

คาร์ลไม่สนใจท่าทางของอัลเบิร์กเมื่อหันไปมองรอบๆ มีเพียงเฉพาะอัศวินประจำพระองค์และดัลตาโร่เท่านั้นที่อยู่ใกล้จุดที่พวกเขานั่งอยู่

คาร์ลเริ่มพูด

“องค์ชายพะย่ะค่ะ..พระองค์คิดว่าขุนนางระดับกลางและระดับล่างจะรู้สึกอย่างไรหากพระองค์เข้าไปซักถามอาการของพวกเขาในตอนนี้?”

อัลเบิร์กได้สั่งการให้คนของตนเข้าช่วยเหลือและตรวจสอบอาการบาดเจ็บของขุนนางระดับกลางและระดับล่างซึ่งเป็นคนขององค์ชายพระองค์อื่นที่เดินทางมากับคณะทูตในครั้งนี้ แต่มันจะเป็นการดีกว่าหากอัลเบิร์กเป็นคนทำสิ่งนี้ด้วยตัวเอง มีโอกาสสูงที่ความจงรักภักดีของพวกเขาจะเริ่มสั่นคลอน ขุนนางเหล่านั้นจะหันมาสวามิภักดิ์ต่อองค์ชายรัชทายาทและหันหลังให้กลับองค์ชายพระองค์อื่น

อัลเบิร์กสูญเสียคำพูดของตนไปชั่วขณะเมื่อได้ยินสิ่งที่คาร์ลเอ่ยขึ้น เขาตะโกนใส่หน้าคาร์ลทันที

“หัดดูสภาพของเจ้าเสียก่อนแล้วค่อยพูดอะไรแบบนั้น! เจ้านี่มันโ–เฮ้อ!”

‘อ่า..ดูเหมือนครั้งนี้เขาจะด่าฉันว่าโง่สินะ?’

คาร์ลยังคงปักหลักนั่งอยู่บนพื้นในขณะที่มือก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือกออกจากปากไปเรื่อยๆ เขาเงยหน้ามองอัลเบิร์กก่อนจะได้ยินเสียงของดัลตาโร่ดังแทรกเข้ามา

เสียงของดัลตาโร่ดูจริงจังมาก

“องค์ชายพะย่ะค่ะ..นายน้อยคาร์ลของเราพูดถูกแล้ว..ดังนั้นให้เราเป็นคนดูแลนายน้อยคาร์ลต่อเถิดพะย่ะค่ะ..ตอนนี้พระองค์ต้องไปประทับยังจุดที่ปลอดภัยก่อน..หม่อมฉันจะรับหน้าที่ไปส่งนายน้อยคาร์ลถึงห้องพักโดยปลอดภัยเองพะย่ะค่ะ”

คาร์ลรู้สึกแปลกๆเมื่อได้ยินสิ่งที่ดัลตาโร่เอ่ยแต่เลือกที่จะเงียบไว้เมื่อเห็นอัลเบิร์กถอนหายใจและพยักหน้ารับ

“…ได้..ข้าจะทำตามอย่างที่เจ้าบอก”

อัลเบิร์กเห็นด้วยและตั้งท่าจะเดินไปยังจุดที่ขุนนางคนอื่นๆอยู่ อย่างไรก็ตามอัลเบิร์กไม่ได้ทำแบบนั้นทันทีและส่งมือมาหาคาร์ลแทน

“เจ้าลุกไหวมั้ย?”

คาร์ลหยัดกายลุกขึ้นแทนที่จะตอบคำถามของอัลเบิร์ก อัศวินที่เฝ้าอารักพวกเขากำดาบในมือของตนแน่นขึ้นเมื่อเห็นคาร์ลพยายามลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง คาร์ลยื่นมือไปจับกับอัลเบิร์กเมื่อลุกขึ้นยืนสำเร็จแล้วจากนั้นอัลเบิร์กก็โผเข้ากอดคาร์ลทันทีราวกับเป็นเรื่องปกติที่เขามักทำ

ภาพที่ปรากฏขึ้นในตอนนี้ทำให้คนจากอาณาจักรโรมันนึกถึงภาพที่คาร์ลและองค์ชายรัชทายาทอัลเบิร์กสวมกอดกันหลังจากเหตุการณ์ก่อการร้ายผ่านพ้นไป อัศวินและดัลตาโร่ถอยหลังกลับก่อนจะพยายามระงับความรู้สึกของตนเอาไว้

พวกเขาไม่ต้องการให้ความรู้สึกโล่งใจหรือความตื้นตันปรากฏให้คนจากอาณาจักรอื่นได้เห็น แต่พวกเขาสามารถยอมรับได้อย่างบริสุทธิ์ใจว่าการได้เห็นภาพสวดกอดขององค์ชายอัลเบิร์กและคาร์ลนั้นทำให้พวกเขารู้สึกดีและลดความตึงเครียดลงได้

คาร์ลกระซิบเสียงแผ่วเพื่อให้อัลเบิร์กได้ยินเพียงคนเดียวเท่านั้น

“องค์ชายพะย่ะค่ะ..เราจะขอรางวัลจากจักรวรรดิดีหรือไม่?..เราลองมาเรียกร้องเอาทุกอย่างตามที่เราสมควรได้กันเถอะพะย่ะค่ะ..อ้อ!..หม่อมฉันดีใจยิ่งนักที่พระองค์ไม่เป็นอะไร”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

อัลเบิร์กหัวเราะออกมาเบาๆ

‘เขาไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ’

ดีใจที่พระองค์ไม่เป็นอะไร

คาร์ลอาจหมายความตามที่พูดจริงๆ นั่นคือเหตุผลที่อัลเบิร์กไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะเชื่อใจคาร์ล เขาเอนตัวลงเล็กน้อยเพื่อกระซิบกับคาร์ลเบาๆ

“เจ้าเองก็ไม่ต้องถามอะไรชัดเจนขนาดนี้ก็ได้”

คาร์ลปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเป็นเพราะอารมณ์ในคำตอบของอัลเบิร์กนั้นคล้ายจะบอกกลายๆว่าเขาก็จะทำทุกอย่างและเรียกร้องเอาทุกสิ่งอยู่แล้ว

เสียงหัวเราะของเขาช่วยบรรเทาความรู้สึกของเหล่าคณะทูตและขุนนางจากอาณาจักรโรมันให้ดีขึ้นพวกเขาทั้งโกรธและรู้สึกแย่ที่ต้องมาเจอประสบการณ์เลวร้ายเช่นนี้แต่ความรู้สึกเหล่านี้เริ่มลดน้อยลงเมื่อพวกเขาทั้งหมดต่างปลอดภัยและได้ยินเสียงหัวเราะของนายน้อยคาร์ลผู้นี้

แน่นอนว่าทุกความคิดและการกระทำของอัลเบิร์กทำให้คาร์ลอดรู้สึกฮึกเหิมไม่ได้ เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันให้อัลเบิร์กขึ้นครองบัลลังก์และเป็นพระราชาของอาณาจักรโรมันองค์ต่อไปให้ได้

ยิ่งไปกว่านั้นภาพที่องค์ชายรัชทายาทและบุตรชายของขุนนางเล็กๆของอาณาจักรโรมันสวมกอดกันและพากันหัวเราะด้วยความโล่งอกต่างดึงดูความสนใจของทุกคนได้เป็นอย่างดี

“นายน้อยคาร์ล..เป็นอย่างไรบ้าง?”

อย่างไรก็ตามสายตาที่คาร์ลและอัลเบิร์กจ้องไปที่องค์ชายเอดินเป็นกระกายกล้าขึ้น

คาร์ลเองก็เตรียมพร้อมอีกครั้งเพื่อแสร้งเป็นขุนนางผู้ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำที่เสียสละเพื่อปกป้องผู้อื่น