จากนั้น…
ไร้การตอบกลับ
จิ่วซือชะงักงันก่อนจะหยิบกระจกเวทล้ำค่าออกมา
กระจกนี้มีชื่อว่า กระจกเวทเชื่อมใจ มันมีเลือดบางส่วนจากหัวใจของจิ่วอูอยู่ ซึ่งนางสามารถใช้มันเพื่อดูว่า จิ่วอูกำลังเห็นสิ่งใดในเวลานี้ เพียงเปิดใช้งานมันเท่านั้น
อันที่จริงมันเป็นของล้ำค่าชั้นเยี่ยมที่จำเป็นในการตรวจสอบคู่บำเพ็ญเต๋า และคอยเฝ้าระวังคนที่อาจพยายามเข้ามาพัวพันในระหว่างความสัมพันธ์คู่รักของพวกเขา
ทว่ากระจกกลับไม่ตอบสนองใดๆ แม้จิ่วซือจะกระตุ้นเตือนซ้ำหลายครั้ง
เวลานี้ จิ่วซือเริ่มตื่นตระหนกแล้ว นางรีบดึงจิ่วจิ่วมาเพื่อให้นางไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ของนาง…
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ระฆังของยอดเขาพิชิตสวรรค์ก็ดังขึ้นอย่างร้อนรน!
ทันใดนั้น ก็เกิดแรงกดดันมหาศาลขึ้นบนยอดเขาพิชิตสวรรค์ และร่างที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีเขียวครามก็พุ่งออกมาจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาและพุ่งไปทางทิศตะวันตก!
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีร่างสี่ร่างพุ่งออกมาจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาและยืนหันหน้าไปทุกทิศทาง
ในระหว่างสี่คนนี้ คนหนึ่งคือ ปรมาจารย์ผู้สูงส่งหว่างฉิงที่หลี่ฉางโซ่วคุ้นเคยด้วยมากกว่า
เวลาเดียวกันนั้น ลมปราณแห่งเซียนเทียนก็ปรากฏขึ้นบนยอดเขา และเหล่าผู้อาวุโสในสำนักต่างก็ตื่นตระหนกอย่างกะทันหัน…
และในขณะนี้ ผู้ที่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและบินตรงไปทางดินแดนเทวะมัชฌิมานั้นก็คือ…
ปรมาจารย์เจ้าสำนักตู้เซียน
เวลานี้ หลี่ฉางโซ่วยืนอยู่หน้ากระท่อมมุงจากและพยายามตรวจจับบางสิ่งอย่างระมัดระวังชั่วขณะหนึ่ง และทันใดนั้น เขาก็สามารถสัมผัสอักขระเต๋าลึกลับที่เป็นเอกลักษณ์ของเซียนจินได้
ในสำนักตู้เซียนมีเซียนจินจริงๆ!
เซียนจินเป็นเซียนผู้เป็นอมตะและเต๋าของพวกเขาได้รับการยอมรับจากเต๋าสวรรค์แล้ว ซึ่งหากไม่มีภัยพิบัติใด พวกเขาก็จะสามารถดำเนินชีวิตไปตามวิถีแห่งเต๋าของพวกเขาและคงชีพอยู่ตลอดไป
แต่เซียนจินเป็นขอบเขตที่คลุมเครืออย่างยิ่ง มีความแตกต่างชัดเจนระหว่างบรรดาเซียนจิน และความสามารถของพวกเขา บางครั้งพวกเขาก็อาจแตกต่างกันมากอย่างสุดขั้ว
ขอบเขตเต๋าเป็นเพียงรากฐานที่คล้ายกับใบเบิกทางเพื่อที่จะเป็นปรมาจารย์
พลังศักดิ์สิทธิ์และสมบัติล้ำค่าเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งของเซียนจิน
ปรมาจารย์เจ้าสำนักตู้เซียนซึ่งเป็นผู้อยู่ในขอบเขตเซียนจินเช่นกัน แต่เขาก็ยังห่างไกลเมื่อเปรียบเทียบกับสิบสองเซียนจินผู้เกรียงไกรแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน
ยิ่งไปกว่านั้น สิบสองเซียนจินแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานยังได้ ‘เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในยุคบรรพกาล’ เมื่อหนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อยปีก่อน และในเวลานั้น พวกเขาก็เป็นที่รู้จักกันเพียงในนามสิบสองเซียนจิน
สำหรับคนอย่างกวงเฉิงจื่อ และฉื้อจิ้งจื่อที่เข้ามาอยู่ในการปกครองของปราชญ์เทพก่อนหน้านี้ พวกเขาน่าจะไปถึงขอบเขตเซียนต้าหลัวจินมานานแล้ว
เซียนต้าหลัวจินถูกมองว่าเป็นเซียนจินที่มีความตั้งใจจะบรรลุความสมบูรณ์แบบในเต๋าของพวกเขาเอง หากพวกเขาไม่อาจรอดพ้นภัยพิบัติเล็กๆ ได้ พวกเขาก็ย่อมไม่อาจรอดพ้นภัยพิบัติครั้งใหญ่ได้
ส่วนศิษย์ชั้นนอกทั้งแปดส่วนใหญ่และเจ็ดเซียนผู้รับใช้ของสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานน่าจะอยู่ในขอบเขตเซียนจิน
และในทันทีที่ความคิดเหล่านั้นแวบเข้ามาในหัวของเขา หลี่ฉางโซ่วก็เริ่มคิดถึงอาจารย์ลุงจิ่วอูของเขาเช่นกัน…
อาจารย์ลุงจิ่วอูเพียงอยู่ในขอบเขตเซียนเทียนเท่านั้น ในโลกบรรพกาล เขาย่อมไม่อาจแม้แต่จะมีคุณสมบัติที่จะเป็นซากที่ถูกสังเวยทิ้งในสงครามได้ด้วยซ้ำ
หากเขาประสบอุบัติเหตุร้ายแรงหรือโชคร้าย ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกเลยจริงๆ…
นั่นคือ โลกบรรพกาลนั้นช่างอันตรายร้ายกาจอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูตกอยู่ในอันตรายจริงๆ หรือเจ้าคะ” หลิงเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ใช่” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบ “เจ้าไม่ต้องห่วง หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสามสำนักบำเพ็ญเต๋า สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินก็จะส่งปรมาจารย์มาปกป้องสำนักตู้เซียน…”
ทันทีที่เขากล่าวจบ จิ่วจิ่วก็รีบออกมาจากยอดเขาพิชิตสวรรค์
และก่อนที่ร่างของจิ่วจิ่วจะถึงพื้น เขาก็รีบตะโกน “ผู้อาวุโส”
ในเวลานี้ จิ่วจิ่วยังไม่ทันได้ร่อนลงถึงพื้น แต่นางก็รีบตะโกนบอกหลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ที่กำลังยืนอยู่หน้ากระท่อมมุงจาก
“ฉางโซ่ว หลิงเอ๋อร์! มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น!”
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วแล้วรีบถามอย่างรวดเร็วว่า “เกิดอะไรขึ้น อาจารย์อา ท่านโปรดค่อยๆ พูดเถิด”
ทว่าในเวลานี้ จิ่วจิ่วจะค่อยๆ พูดได้อย่างไร
นางกล่าวอย่างกังวลใจว่า “เวลานี้ ข้าไม่อาจใช้ยันต์สื่อสารติดต่อกับศิษย์พี่ห้าได้ และติดต่อได้เพียงหนึ่งในผู้อาวุโสอีกสองคนและผู้บริหารสองคนเท่านั้น! และพวกเขาบอกว่า ได้ยินเสียงการต่อสู้!”
“เรื่องนี้ทำให้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสหลายคนล้วนตื่นตระหนกกันแล้ว เจ้าสำนักได้ออกมาจากการปิดด่านและมุ่งหน้าไปที่ดินแดนเทวะมัชฌิมา เราได้ติดต่อกับสำนักจินกงและสำนักจินกงยังรับปากว่าจะส่งเหล่าปรมาจารย์จำนวนมากออกไปค้นหา…”
หลี่ฉางโซ่วจึงรีบกล่าวว่า “เช่นนั้น ก็ไม่ต้องเป็นห่วง…ท่านอาจารย์อา โปรดเข้าไปข้างในเพื่อพักผ่อนก่อนเถิด พวกเราอยู่ไกลเกินกว่าจะช่วยอะไรได้มากขอรับ”
“จะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไร ข้ากำลังจะตายด้วยความเป็นห่วงอยู่แล้ว”
จากนั้น จิ่วจิ่วก็กระทืบเท้าเดินไปมารอบๆ สองสามครั้งก่อนจะมองหลี่ฉางโซ่วด้วยสายตาขอโทษและกล่าวเบาๆ ว่า “อันที่จริง ข้าก็ไม่ควรตะโกนใส่เจ้า ข้ายังต้องขอบใจเจ้า ฉางโซ่ว หากไม่เป็นเพราะเจ้าฝันถึงเรื่องนี้ เกรงว่าทุกอย่างจะยิ่งเลวร้ายย่ำแย่ลงไปอีก”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจ และกล่าวว่า “อาจารย์ลุงจิ่วอูและข้าต่างมีมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อกัน ท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าในเรื่องนี้ขอรับ แต่ท่านอาจารย์อาโปรดอย่าลืมว่า ท่านคือผู้ที่ฝันถึงมันนะขอรับ”
“ได้ ข้ารู้แล้ว…”
จิ่วจิ่วมองหลี่ฉางโซ่วอย่างลังเลใจแล้วกล่าวว่า “ความจริงแล้ว ข้ายังมีบางเรื่องที่อยากรบกวนเจ้า”
“อันใดกัน”
จิ่วจิ่วขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เจ้าไปนอนอีกครั้งได้หรือไม่ มาดูกันว่าเจ้าจะฝันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นได้หรือไม่”
“ข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้า ความฝันขึ้นอยู่กับความรู้สึกและโชคของเจ้า…แต่…”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าและตอบตกลงทันที “ได้ขอรับ ข้าจะลองฝันถึงมันดู”
“หลิงเอ๋อร์ เจ้าไปกับอาจารย์อาก่อน แล้วอย่าปล่อยให้นางวิตกกังวลจนเกินไป”
“ขอบใจเจ้า เสี่ยวฉางโซ่ว…”
จิ่วจิ่วที่มีสีหน้าซีดเผือดด้วยความวิตกกังวลกล่าวเสียงเบา
หลี่ฉางโซ่วตอบรับก่อนจะก้มศีรษะลงแล้วเดินไปที่กระท่อมมุงจากของเขา ในขณะที่หลิงเอ๋อร์จับแขนของจิ่วจิ่วและปลอบโยนนางอย่างนุ่มนวล
แต่แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วไม่อาจฝันถึงสิ่งใดได้เลย เขาเพียงกลับเข้าไปในห้องและนอนลงบนเตียงของเขาเท่านั้น จากนั้นก็วิเคราะห์ถึงปัญหาที่สำนักตู้เซียนอาจต้องเผชิญอย่างสงบ รวมไปถึงความเป็นไปได้ที่เรื่องนี้จะบานปลายออกไปในอนาคต
สำหรับหลี่ฉางโซ่วแล้ว ความกังวลเป็นอารมณ์ที่ไร้ประโยชน์ที่สุด
เขารู้สึกว่ามันเลวร้ายยิ่งกว่าโทสะและโมหะที่เกิดจากความอับจนหนทาง
แต่ครั้งนี้ หลี่ฉางโซ่วไม่คิดว่าเขาจะแอบช่วยจิ่วอูและผู้อาวุโสทั้งสองคนในสำนักอย่างลับๆ ได้…
หลังจากที่เขารู้ว่าโอสถพิษนั้นถูกใช้ หลี่ฉางโซ่วก็รีบแจ้งจิ่วจิ่วอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ทั้งจิ่วจิ่วและจิ่วซือก็ล้วนรู้สึกว่าอาจมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับจิ่วอู และรีบแจ้งสำนักทันที
บัดนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าทุกคนในสำนักที่เดินทางไปกับจิ่วอูล้วนไม่อาจติดต่อกับจิ่วอูได้ จึงรายงานเรื่องนี้ให้เจ้าสำนัก…
และในเวลานั้น เจ้าสำนักตู้เซียนได้ออกจากการปิดด่านและรีบไปที่ดินแดนเทวะมัชฌิมาอย่างรวดเร็ว เหล่าผู้อาวุโสใหญ่ก็ได้ติดต่อสหายเต๋าที่พวกเขาคุ้นเคยจากสำนักจินกง…
สำนักจินกงรีบส่งเหล่าปรมาจารย์ออกไป แต่เพียงชั่วเวลาอันสั้นหลังจากนั้น พวกเขาก็พบค่ายกลขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่โดยรอบ ซึ่งอยู่ห่างจากสำนักจินกงนับพันลี้ และจากนั้นพวกเขาก็พบคนของสำนักตู้เซียนที่ถูกล้อมรอบอยู่ในค่ายกลนั้น
เหล่าปรมาจารย์สองสามคนรีบรุดไปข้างหน้าและจับผู้ที่กำลังปิดล้อมพวกเขาทันทีโดยจงใจปล่อยให้บางคนมีชีวิตรอดเพื่อสอบถาม ทว่าทันทีที่คนเหล่านั้นถูกจับ ปราณวิญญาณของพวกเขาก็เสื่อมสลายลงไปอย่างน่าประหลาด…
ผู้คนจากสำนักตู้เซียนไม่รู้สาเหตุถึงการปรากฏตัวที่นี่ของกลุ่มห้าคนขณะนี้ ผู้อาวุโสเซียนเทียนสองคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บ ในขณะที่จิ่วอูก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ส่วนผู้บริหารเซียนเสิ่นอีกสองคน…ล้วนเสียชีวิต
บัดนี้ ทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าล้วนเดือดดาล!
มันไม่สำคัญว่าเป็นผู้ใดตาย แต่สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาถูกดูเหยียดหยามอย่างรุนแรง!
ปรมาจารย์จากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินลุกขึ้นทันที ปกป้องจิ่วอูและคนอื่นๆ เอาไว้ จากนั้นให้คำมั่นว่าพวกเขาจะสอบสวนเหตุการณ์การที่สำนักเซียนถูกโจมตีในครั้งนี้ อย่างเข้มงวด
หลังจากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ได้รับข่าวจากจิ่วจิ่วว่า จิ่วอูและผู้อาวุโสทั้งสองได้ถูกท่านเจ้าสำนักและปรมาจารย์คนอื่นๆ พากลับมาที่สำนักตู้เซียนแล้ว
พวกเขายังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุร้าย
ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วยืนอยู่หน้าประตูหอโอสถและถอนหายใจด้วยความโล่งอก…
เขาไม่คิดว่าสิ่งของเล็กๆ เหล่านั้นที่เขาสร้างขึ้นเมื่อเขามีความคิดแปลกๆ ในบางคราว จะมีประโยชน์ในช่วงเวลาวิกฤติได้จริง เขาจึงตัดสินใจว่าจะสร้างมันเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้…
บัดนี้ ค่ายกลหลบหนีชีพจรปฐพีด้านล่างของยอดเขาหยกน้อยรวมถึงห้องนิรภัยควรถูกจัดให้เป็นวาระด่วนที่สุดในทันที