“ฉางโซ่ว! หากไม่ใช่เพราะโอสถพิษของผู้อาวุโสว่านหลินหยุนที่เจ้ามอบให้ ข้าก็คงตายไปแล้วจริงๆ!”
“อ่า”
เวลานี้ พวกเขาอยู่ในที่พักของจิ่วอูซึ่งอยู่บนยอดเขาพิชิตสวรรค์
สองเดือนครึ่งผ่านไปตั้งแต่เขากลับมาที่สำนักตู้เซียนอย่างปลอดภัย
หลี่ฉางโซ่วรอให้จิ่วอูรักษาอาการบาดเจ็บและคนในสำนักก็หยุดมาเยี่ยมกันอย่างกระตือรือร้นก่อนจึงจะพาหลิงเอ๋อร์มาเยี่ยมอาจารย์ลุงจิ่วอู
ส่วนอาจารย์ของเขาขณะนี้เข้าปิดด่านบำเพ็ญเพียร ดังนั้นจึงไม่ได้ถูกเหตุการณ์นี้รบกวน
ช่วงสองเดือนครึ่งที่ผ่านมานี้ หลี่ฉางโซ่วทำงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อสร้างค่ายกลทั้งภายนอกและภายในยอดเขาหยกน้อยถึงระดับประสิทธิภาพสูงสุดที่เขาสามารถทำได้ในเวลานี้โดยใช้สมบัติทั้งหมดที่เขาสะสมเอาไว้ก่อนหน้านี้จนหมด!
อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกสบายใจมากขึ้นเล็กน้อยเมื่ออยู่ที่นี่
ขณะที่จิ่วจิ่วนำเขาและศิษย์น้องหญิงของเขาเข้าสู่ที่พักของจิ่วอู ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วก็ได้ยินจิ่วอูถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายขณะนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง
และทันทีที่พบจิ่วอู หลี่ฉางโซ่วก็โค้งคำนับให้เขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิงเอ๋อร์วางโอสถสุราเสริมกำลังที่นางถือไว้ ขณะที่ถูกจิ่วจิ่วลากเข้าไปในห้องข้างๆ
หลี่ฉางโซ่วบ่มโอสถสุราเสริมกำลังนั้นให้จิ่วอูโดยเฉพาะ มันสามารถเสริมพลัง หล่อเลี้ยงพลังต้นกำเนิด ลดการสูญเสีย รักษาแก่นร่าง และเสริมสร้างกระดูก
“เฮ้อ” หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและเดินไปที่ข้างเตียง
ตามที่หลี่ฉางโซ่วเคยเตือนจิ่วจิ่วซ้ำแล้วซ้ำเล่า จิ่วจิ่วไม่ได้เปิดเผยว่า ความจริงแล้วมันเป็นความฝันของหลี่ฉางโซ่ว
ถึงกระนั้น จิ่วอูก็รู้สึกขอบคุณหลี่ฉางโซ่วเป็นอย่างมาก ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะโอสถพิษที่ช่วยชีวิตเขาได้ในยามคับขันจริงๆ
“ท่านอาจารย์ลุง อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ข้าสบายดี” จิ่วอูถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวว่า “แต่สหายศิษย์ร่วมสำนักอีกสองคนของข้าได้พบกับภัยพิบัติ วิญญาณของพวกเขากระจัดกระจายไปในดินแดนเทวะมัชฌิมาและพวกเขาก็ไม่อาจกลับมาได้”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้า ทำได้เพียงถอนหายใจถึงความไม่เที่ยงของโลกเท่านั้น
และหลังจากนั้นไม่นาน หลี่ฉางโซ่วก็พุ่งตรงไปที่เรื่องการไล่ล่า…
“ท่านอาจารย์ลุง การสอบสวนเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ข้าได้เบาะแสบางอย่าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย” แววตาของจิ่วอูฉายแววอับจนหนทาง “ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไรดี…เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน”
“มีบางคนไม่ต้องการให้การประชุมสามสำนักบำเพ็ญเต๋าเกิดขึ้นอย่างสำเร็จราบรื่น และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังแอบวางแผนลับๆ กันอยู่”
หลี่ฉางโซ่วคิดในใจ…
มันย่อมไม่ง่ายอย่างนั้นแน่นอน
แต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากถอนหายใจเพียงเท่านั้น “เรื่องนี้ร้ายแรงมากจริงๆ”
“แน่นอน” จิ่วอูส่ายศีรษะขณะที่ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก และถอนหายใจ “ฉางโซ่ว มาพูดถึงเรื่องโอสถพิษของเจ้ากันดีกว่า…”
“ท่านอาจารย์ลุง ท่านต้องการอีกสองขวดเพื่อป้องกันตัวใช่หรือไม่ขอรับ”
จิ่วอูกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ใช่ ข้าสามารถใช้สมบัติเซียน โอสถเซียน หรืออะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการเพื่อแลกกับมัน!”
อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะช้าๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง และกล่าวว่า “โอสถพิษที่ข้ามอบให้ท่านก่อนหน้านี้ ความจริงแล้ว ข้าได้รับมาจากท่านผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเพื่อให้ข้าใช้มันคิดหาวิธีปรุงยาขอรับ”
“ท่านอาจารย์ลุง เหตุใดท่านไม่ไปหาผู้อาวุโสว่านหลินหยุน…”
“ท่านอาจารย์ลุง ข้าจะใช้ข้อความเสียงคุยกับท่านนะขอรับ”
เขากระซิบ
จิ่วอูพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วขณะยังคงครุ่นคิด
‘แม้ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนจะมีชื่อเสียงร้ายกาจ แต่โอสถพิษของผู้อาวุโสนั้นทรงพลังยอดเยี่ยม หลังจากใช้มันเพียงครั้งเดียว ข้าก็ได้เรียนรู้ว่าพวกมันมีฤทธิ์มากเพียงใด…บางครั้งโอสถพิษก็สามารถช่วยชีวิตได้เช่นเดียวกับโอสถเซียน’
จิ่วอูกล่าวว่า “ตกลง ข้าจะพาจิ่วซือไปพบผู้อาวุโสว่านหลินหยุนท่านนี้ในภายหลัง”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะนึกถึงผู้อาวุโสว่านหลินหยุนที่สร้างทักษะลับของเขา
ข้าจะไปเยี่ยมท่านผู้อาวุโสในภายหลังและขอให้ท่านสอนทักษะลับฝ่ามือพิษเทียนจิ่งหลัวให้ข้า…เพื่อป้องกันตัว
หลี่ฉางโซ่วถามจิ่วอูเกี่ยวกับรายละเอียดของการโจมตีที่สำนักจินกงก่อนหน้านี้ด้วยท่าทีเป็นกังวลอย่างมาก
จิ่วอูจึงเล่าทุกอย่างที่เขารู้ออกมา
เมื่อหลี่ฉางโซ่วถามว่าเหตุใด พวกเขาทั้งห้าจึงต้องออกไปอย่างลับๆ จิ่วอูจึงกล่าวว่า “ข้าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับท่านเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโส ทางสำนักยังสั่งไม่ให้แจ้งเรื่องนี้กับคนภายนอก หากไม่ใช่เจ้า ข้าย่อมไม่พูดอย่างแน่นอน”
“เป็นผู้อาวุโส…เฮ้อ ข้าหมายถึง ผู้ดูแลระดับบริหารคนหนึ่งของสำนักอ้างว่าปรมาจารย์จากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินต้องการพบคนของสำนักตู้เซียนอย่างลับๆ เขาบอกพวกเราบางอย่างเกี่ยวกับการพบกันระหว่างสามสำนักบำเพ็ญเต๋าและล่อพวกเราสี่คนให้โดนซุ่มโจมตี”
“ในบรรดาผู้ที่ซุ่มโจมตีเรา มีเซียนเทียนสามคน และเซียนเสิ่นสิบหกคน แล้วก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มต้น ร่างของผู้บริหารคนนั้นก็ทรุดตัวลงไปทันที…”
“เมื่อมองย้อนกลับไป เราก็พบว่าปราณวิญญาณของเขาเสื่อมลง เช่นเดียวกับคนที่กำลังปิดล้อมโจมตีเรา พลังปราณและวิญญาณของเขาก็ถูกดูดออกไปจากร่างของเขาเช่นกัน ข้าเดาได้เพียงคร่าวๆ จากตัวตนของคนที่ซุ่มโจมตีข้า ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน”
หัวใจของหลี่ฉางโซ่วเต้นผิดจังหวะ ขณะที่ใบหน้าของเขาเผยความหวาดกลัวเล็กน้อย และเขาก็ถอนหายใจกับจิ่วอูอีกครั้ง
ทั้งสองคนพูดคุยกันเบาๆ เป็นเวลานาน ทำให้เกิดเสี้ยวพลังปราณสัมผัสรับรู้และสัมผัสเซียนรับรู้เล็ดลอดออกมาเล็กน้อย
และในไม่ช้า หลี่ฉางโซ่วก็ถามคำถามสุดท้ายออกมา
“ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอู ข้าพบม้วนตำราหยกในโถงชั้นในของหอพระสูตรเต๋า ดูเหมือนว่าในนั้น จะมีการกล่าวถึงบางอย่างเกี่ยวกับ…เส้นชีพจรปฐพีที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายซึ่งสามารถใช้หลบหนีในช่วงอันตราย…”
จิ่วอูยิ้มขื่นและกล่าวกับหลี่ฉางโซ่วว่า “ความจริงแล้ว เหล่าผู้อาวุโส ปรมาจารย์ผู้นำยอดเขา และเหล่าผู้บริหารรุ่นก่อนๆ ล้วนรู้เรื่องนี้ดี แต่พวกเขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร”
“หลังภัยพิบัติจากการลอบโจมตีของปีศาจซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหมื่นปีก่อน ท่านเจ้าสำนักตู้เซียนของเราก็รู้สึกว่าเขาต้องระวังเอาไว้ก่อน ดังนั้นเขาจึงสร้างทางออกให้เหล่าศิษย์ที่ไม่มีความสามารถเพียงพอ”
“เส้นชีพจรปฐพีนั้นนำไปสู่ทะเลบูรพา หากมีศัตรูที่ทรงพลังโจมตี ศิษย์ของสำนักก็สามารถมุ่งหน้าไปที่ใต้ดินของหอไป่ฝาน และใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายออกไปได้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี แต่มีทางลงแค่ในหอไป่ฝานเท่านั้น”
หลี่ฉางโซ่วรู้แจ้งในทันที แล้วยิ้มอยู่ในใจพลางคิดว่า…
ยามนี้ข้าสามารถประกาศอย่างเป็นทางการได้ว่ามีสองเส้นทางที่เชื่อมต่อกับค่ายกลเคลื่อนย้ายชีพจรปฐพี!
เขาไม่เคยเห็นม้วนตำราหยกที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางหลบหนีในเส้นชีพจรปฐพีใต้ดิน
เขาต้องขุดมันออกมาให้หมด!
กว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมา หลี่ฉางโซ่วกำลังเตรียมจะสร้างเส้นทางหลบหนีบนยอดเขาหยกน้อย เขาได้ขุดผ่านเส้นชีพจรปฐพีใต้ยอดเขาหยกน้อยจนเกือบจะทำลายค่ายกล
ที่เรียกว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายชีพจรปฐพีนั้น ไม่ได้ซับซ้อน แม้จะมีคำว่า ‘เคลื่อนย้าย’ แต่ก็ไม่ใช่ค่ายกลสำหรับการเคลื่อนย้ายใหญ่ มันเพียงใช้พลังของเส้นชีพจรปฐพีเพื่อให้คนเคลื่อนที่ผ่านเส้นชีพจรปฐพีได้โดยตรงและปรากฏกายห่างออกไปหลายพันลี้ได้ในทันที
การจัดการของสำนักเช่นนี้ ช่วยหลี่ฉางโซ่วได้มากจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย หลี่ฉางโซ่วได้ทิ้งค่ายกลเคลื่อนย้ายชีพจรปฐพีขนาดเล็กเอาไว้ในสถานที่ห่างไกลกว่า มันอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับค่ายกลเคลื่อนย้ายชีพจรปฐพีขนาดใหญ่ที่สำนักสร้างขึ้น
และด้วยเหตุนี้ เขายังใช้วัสดุล้ำค่าส่วนสุดท้ายที่เขามี
ในขณะนั้น จิ่วอูก็กล่าวเตือนว่า “เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยให้แพร่งพรายออกไปได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้บรรดาศิษย์ตื่นตระหนก”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าตกลง แล้วเปลี่ยนหัวข้อไปพูดคุยเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บแทน…
ครึ่งชั่วยามต่อมา…
จิ่วซือก็ถือชามน้ำแกงและขวดยาเดินเข้ามาจากทางด้านข้าง
นางกล่าวเบาๆ ว่า “อู๋อู๋ ได้เวลากินยาแล้ว”
หลี่ฉางโซ่วมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขา และพบว่ามันคล้ายกับภาพวาดที่มีชื่อเสียงจากชาติก่อนของเขา ซึ่งมีชื่อว่า ‘ต้าหลาง ถึงเวลากินยาแล้ว’ เขาจึงลุกขึ้นกล่าวคำอำลากับอาจารย์ลุงและอาจารย์ป้าทั้งสอง
ส่วนหลิงเอ๋อร์ก็ลอยออกจากบ้านและโค้งคารวะคำนับให้กับจิ่วอูและจิ่วซือ
เดิมที จิ่วจิ่วก็อยากไปเล่นที่ยอดเขาหยกน้อยกับพวกเขา แต่ก็คิดว่านางไม่อาจใจร้ายเกินไป ด้วยเหตุนี้ นางจึงออกไปพร้อมกับจิ่วซือเพื่อส่งหลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ ก่อนจะโบกมือลาทั้งสองคนและยังคงอยู่ข้างๆ ศิษย์พี่ห้าของนาง จิ่วอู…
แม้นางจะอยากเล่น แต่มันก็ไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะเล่นเช่นนั้น
หลี่ฉางโซ่วพาศิษย์น้องหญิงของเขาไปที่หอไป่ฝาน และทำการสักการะบูชารูปเหมือนของบรรพชนไท่ชิง ด้วยกันก่อนจะกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อย…
บนเส้นทางเมฆ หลิงเอ๋อร์สังเกตเห็นสีหน้ามืดหม่นของหลี่ฉางโซ่วจึงเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ มีปัญหาร้ายแรงหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าไม่แน่ใจ เวลานี้ ข้อมูลที่ข้ารู้ยังน้อยเกินกว่าจะตัดสินได้” หลี่ฉางโซ่วส่งข้อความเสียงไปหานางแล้วกล่าวต่อว่า “ข้าจะเข้าปิดด่านในหอโอสถสักสองสามวันเพื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากมีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นในสำนัก ให้ทำลายยันต์สื่อสารที่ข้าให้ไว้ทันที”
“อย่ากลัวว่าจะเสียมันไป ข้ายังหลอมและผลิตออกมาได้อีกมาก”
“โอ เจ้าค่ะ”
หลิงเอ๋อร์พยักหน้ารับอย่างเฉลียวฉลาดและเฝ้ามองดูหลี่ฉางโซ่วเข้าไปในหอโอสถขณะที่นางยืนอยู่บนก้อนเมฆและถอนหายใจเบาๆ
แม้นางอยากจะทำตัวเองเคร่งเครียดให้เหมือนศิษย์พี่ของนาง แต่…
เขามองไปยังสถานที่ต่างๆ ทุกหนแห่งภายในสำนักที่เมฆม้วนตัวขึ้น และเห็นกระเรียนเซียนเฉิงเซียงนัยน์ตาเป็นมงคลที่ยังคงสงบเหมือนเมื่อก่อน…
ศิษย์พี่…รู้สึกไวเกินไป?
หลิงเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ และขับเคลื่อนเมฆร่อนลงไปที่กระท่อมมุงจากของนาง
ค่ายกลรอบๆ ของหอโอสถถูกเปิดใช้งาน ในขณะนั้นมันค่อนข้างสงบและไม่มีพลังวิญญาณในป่าอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากเป็นผู้ที่มีพลังปราณสัมผัสรับรู้เฉียบแหลม ยืนอยู่นอกป่าทึบนี้แล้วมองเข้าไปข้างใน พวกเขาย่อมต้องรู้สึกหนาวเหน็บจนขนลุกไปทั่วทั้งกายด้วยความหวาดกลัว…
…
หลังจากเข้าไปในหอโอสถแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ทิ้งตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์และกลายร่างเป็นควันสีเขียวกลับไปที่ห้องลับใต้ดิน
เขาหยิบม้วนกระดาษเปล่าออกมาแล้วเกลี่ยลงบนพื้นทีละม้วน จากนั้นก็ถอดรองเท้าและเดินลงไปบนนั้น
ไม่ใช่เพราะเขาต้องการ ‘ที่ตั้ง’ พิเศษเพื่อสงบสติอารมณ์และคิดเงียบๆ…
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่ฉางโซ่วก็หยิบดินสอถ่านที่เขาทำขึ้นมาเอง แล้วนั่งขัดสมาธิขณะเขียนเส้นแนวตั้งเล็กๆ ที่ด้านซ้ายสุดของม้วนกระดาษภาพวาด
“หากข้าเป็นผู้วางแผนอยู่เบื้องหลัง”