ตอนที่ 120 คุยกับใครอยู่?
เหมียวเชียนชิวแอบประหลาดใจ ทว่าเขาก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว รีบคุกเข่าขานตอบและถอยออกไป
เพียงแต่ตอนที่เขาเดินไปถึงประตูห้องตำราหลวง จู่ ๆ ก็ถูกฮ่องเต้เรียกเอาไว้อีกหน
“ช่างเถอะ ไม่ต้องทำให้คนอื่น ๆ ตื่นตระหนก พวกเราไปกันแค่สองคนก็พอ”
เหมียวเชียนชิวรีบเข้ามาประคองฮ่องเต้ ขานตอบหนึ่งเสียง “พ่ะย่ะค่ะ”
จะว่าไปแล้วเด็กคนนั้นก็น่าสงสารมาก ตั้งแต่ฮองเฮาหมดความโปรดปราน ดูเหมือนว่าสองปีมานี้จะไม่ได้ก้าวเท้าเดินออกจากตำหนักตนเองเลยด้วยซ้ำ รัชทายาทก็ไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ สองปีมานี้จำนวนที่ถูกเรียกเข้าเฝ้านับครั้งด้วยนิ้วมือได้แล้ว
ตอนนี้เหมิงกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานภายในวังมากที่สุด เหล่าบ่าวรับใช้เหล่านั้นย่อมปรับตัวไปตามสถานการณ์ พระราชนัดดาของฮองเฮาจึงถูกเบียดออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ได้เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย ทั้งยังแอบปฏิบัติกับเขาอย่างรุนแรงด้วย
เหมียวเชียนชิวลอบถอนหายใจ น่าเสียดายที่คำพูดของคนต่ำต้อยย่อมไม่มีน้ำหนัก แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจเด็กคนนั้นมาก แต่ก็ไม่กล้ากระตุ้นให้เหมิงกุ้ยเฟยขุ่นเคืองเช่นกัน สามารถทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีอย่างปลอดภัยภายในวังแห่งนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
โชคดีที่ตอนนี้ฮ่องเต้นึกถึงเด็กคนนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าตอนที่พูดคุยกับท่านอ๋องซิวเมื่อครู่ ท่านอ๋องซิวคงเอ่ยถึงกระมัง
เหมียวเชียนชิวแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ภายในใจ ประคองฮ่องเต้ให้เสด็จอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น
ตอนที่เข้าใกล้ตำหนักเสียงเหอของไทเฮา พระบาทของฮ่องเต้พลันชะงักเล็กน้อย พระองค์หมุนพระวรกาย ดูเหมือนไม่คิดจะเข้าไป แต่กลับเสด็จไปที่ห้องตรงมุมทางตะวันตกเฉียงเหนือทันที
เหมียวเชียนชิวก็ไม่กล้าพูดอะไร เพียงแต่เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
“เหตุใดที่นี่ไม่มีแม้แต่คนยืนเฝ้าระวัง?” ตอนที่เดินมาถึงด้านหน้าประตูเรือนของเย่หลานเฉิง ฮ่องเต้พลันขมวดพระขนง สีพระพักตร์ดูเหมือนจะดูไม่ดีอย่างมาก
“ฝ่าบาท ท่านซื่อจื่อน้อยรักความสงบพ่ะย่ะค่ะ” เหมียวเชียนชิวไม่กล้าพูดอะไรเท่าไรนัก ถึงอย่างไรก็ไม่ควรพูดว่าร้ายเหมิงกุ้ยเฟย
ฮ่องเต้เหลือบพระเนตรมองเขา พลางแค่นเสียงเย็น “เจ้าอย่าหาข้ออ้าง เรื่องลับ ๆ เหล่านี้ภายในวังแห่งนี้ เราย่อมรู้ดี”
ระหว่างที่ตรัสก็ก้าวพระบาทเข้ามาด้านในลาน ใครจะไปคิดว่ายิ่งเดินเข้ามาด้านใน ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงบรรยากาศหดหู่ซึมเซาที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ภายในลานมีหญ้าขึ้นสูงจนรกเรื้อ ที่มุมมีหยักไย่ก่อตัวจนกลายเป็นชั้นแล้วชั้นเล่า ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาเหล่านั้นปูลงบนทางเดินจนหนาเป็นชั้น แม้แต่สถานที่ไว้ให้วางเท้าก็ยังไม่มี
เหมียวเชียนชิวประคองฮ่องเต้เสด็จเข้ามาอย่างระมัดระวัง มองดูฉากนี้ก็ได้แต่เศร้าโศกอยู่ภายในใจ
คิดไม่ถึงเลย สภาพแววล้อมของที่นี่จะเปล่าเปลี่ยวกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก
เสียง “แกรก” ดังขึ้น ในเวลานี้เอง ห้องเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านข้างก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นเบา ๆ ตามมาติด ๆ ด้วยร่างผอมแห้งที่เดินถือน้ำออกมา
ใครจะไปคิดว่าตอนที่หมุนกายกลับมา จะเห็นคนสองคนยืนอยู่ด้านในลาน
เขาชะงัก เพ่งสายตามองเล็กน้อย ก่อนจะสูดลมเย็นเข้าไปอย่างหนัก ถังน้ำที่ถืออยู่ในมือหล่นลงพื้นจนเกิดเสียง ‘ตึง’ รีบกุลีกุจอเข้ามา
“กระหม่อมคารวะฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ร่างของเคอกงกงถึงกับสั่นอย่างหนักอย่างห้ามไม่อยู่ คุกเข่าลงตรงหน้าฮ่องเต้ด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทิ้ม
ฮ่องเต้ก้มมองเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคือคนที่อยู่ปรนนิบัติหลานเฉิง?”
“กราบทูลฝ่าบาท บ่าวเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ภายในเรือนแห่งนี้ นอกจากเจ้าแล้ว นางข้าหลวงและขันทีคนอื่น ๆ เล่า?”
แม้เคอกงกงจะสงสัยอยู่ภายในใจว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนท่านซื่อจื่อน้อย แต่ก็ตอบกลับไปว่า “ฝ่าบาท ภายในเรือนแห่งนี้ คนที่อยู่ถวายการดูแลท่านซื่อจื่อน้อย มีแค่กระหม่อมเพียงคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถึงกับขมวดพระขนง คนเดียว? ไม่ว่าหลานเฉิงจะเป็นอย่างไร เขาก็เป็นบุตรชายของรัชทายาท พักอาศัยอยู่ในเรือนทรุดโทรมเช่นนี้ยังพอทน แต่ข้างกายของเขากลับไม่มีนางข้าหลวงที่คอยดูแลเรื่องการเป็นอยู่และที่พักอาศัยให้เขาแม้แต่คนเดียว นี่มันอะไรกัน?
“เหมียวกงกง”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“กลับไปเรียกนางข้าหลวงและขันทีมาอยู่ดูแลทางนี้ หลานเฉิงเป็นบุตรของรัชทายาท เป็นหลานชายของเรา เหตุใดถึงได้ดูแคลนเช่นนี้?”
เหมียวเชียนชิวแอบดีใจ ก้มหน้าถอนหายใจอย่างโล่งอก น้ำเสียงก็กระฉับกระเฉงขึ้นมา “บ่าวน้อมรับพระบัญชา”
เคอกงกงประหลาดใจ เหตุใดวันนี้ฮ่องเต้ถึงได้ฉุกคิดมาได้อย่างฉับพลัน ไม่เพียงแต่เสด็จมาเยี่ยมเยียนท่านซื่อจื่อน้อย แต่ยังดูแลจัดการชีวิตของท่านซื่อจื่อน้อยด้วย หรือว่า รัชทายาทจะได้รับความโปรดปรานอีกครั้งแล้ว?
เคอกงกงไม่กล้าคิดอะไรมากมาย รีบค้อมกายโขกศีรษะลงบนพื้น “กระหม่อมขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทแทนท่านซื่อจื่อน้อยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ท่านซื่อจื่อน้อยกำลังอ่านตำราอยู่ในห้อง กระหม่อมจะเข้าไปรายงานให้พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง เจ้ากับเชียนชิวเตรียมให้คนมาจัดการทำความสะอาดเรือนแห่งนี้ให้เรียบร้อย เราจะเข้าไปเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เหมียวเชียนชิวและเคอกงกงพยักหน้า ฮ่องเต้จึงสาวพระบาทค่อย ๆ เข้าไปด้านในห้องที่อยู่ตรงกลาง
ทางเดินภายในรกร้างอย่างมาก เย็นเยียบหนาวเหน็บราวกับไม่มีใครพักอาศัยอยู่
ฮ่องเต้ลอบถอนพระทัย หากมิใช่เพราะซิวเอ๋อร์พูดถึงเด็กคนนี้ในวันนี้ บางทีพระองค์อาจลืมเด็กคนนี้ที่อยู่อย่างไม่เห็นเดือนเห็นตะวันภายในเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ไปแล้ว
พระองค์ปัดฝุ่นที่อยู่เบื้องพระพักตร์ ก่อนจะผลักประตูห้องที่ด้านหน้าอย่างช้า ๆ
ครั้นประตูถูกเปิดออก แสงสว่างจากด้านนอกก็สาดเข้ามาด้านในห้อง เย่หลานเฉิงที่กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะอ่านตำราอยู่เงยหน้าขึ้น มองคนที่ยืนย้อนแสงอยู่ด้วยความประหลาดใจ
เขามองเห็นอีกฝ่ายไม่ชัดเจน เพียงแต่แอบรู้สึกได้ว่าเงาสูงใหญ่ ไม่คล้ายกับเคอกงกง
“ใคร?” เสียงอ่อนเยาว์ของเย่หลานเฉิงแฝงด้วยความเป็นผู้ใหญ่เล็ก ๆ
ฮ่องเต้แอบถอนหายพระทัยอย่างห้ามไม่ได้ ขณะสาวพระบาทเข้ามาด้านในสองสามก้าว
การเคลื่อนไหวของพระองค์ทำให้เย่หลานเฉิงถึงกับรูม่านตาเบิกกว้างยามเห็นบุรุษตรงหน้าที่ไม่ได้เจอหน้ามาสองปีจนภาพความทรงจำได้ค่อย ๆ เลือนรางไป ทว่าเมื่อเห็นฉลองพระองค์มังกรสีเหลืองที่เป็นสัญลักษณ์อันสูงส่งของฮ่องเต้ เย่หลานเฉิงก็เข้าใจได้ในทันทีว่าคนที่เดินเข้ามาเป็นใครกันแน่
ร่างเล็ก ๆ กระโดดขึ้นจากเก้าอี้ในทันที ก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้น “หลานคารวะเสด็จปู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้น ๆ” ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์ดึงแขนของเขา ครั้นได้สัมผัสจึงค้นพบว่าเด็กคนนี้ผอมมากจริง ๆ สัมผัสไปแล้วคล้ายกับกำลังจับกระดูกอย่างไรอย่างนั้น
“เสด็จปู่ เสด็จปู่มาที่นี่ได้อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เย่หลานผิงแอบตกใจ มองบุรุษที่อยู่ตรงหน้าราวกับเทพยดาที่จุติลงมาราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ไม่เข้าใจเลยว่าเขาที่ถูกลืมอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งมานาน เหตุใดจู่ ๆ พระองค์ถึงได้เสด็จมาถึงที่นี่
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรภายในห้อง สถานที่แห่งนี้ทรุดโทรมมากจริง ๆ แต่กลับปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่เพียงลำพังมานานขนาดนี้
“ปู่มาเยี่ยมเยียนหลานเฉิง หลานเฉิงกำลังอ่านตำราอยู่หรือ? กำลังอ่านอะไรเล่า?” ฮ่องเต้ปล่อยมือของเขา ก่อนจะเดินไปที่ข้างโต๊ะ มองดูตำราที่ถูกกางไว้อยู่เบื้องพระพักตร์ ก่อนจะทอดมองไปยังความรู้สึกหลังได้อ่านที่เย่หลานเฉิงเขียนไว้วางอยู่ข้าง ๆ จึงทรงแย้มสรวลออกมาอย่างไม่ได้ตั้งพระทัย
“หลานเฉิง เจ้าเป็นคนเขียนสิ่งเหล่านี้หรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ” เย่หลานเฉิงใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ถึงอย่างไรการเสด็จมาเยือนของฮ่องเต้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์อย่างพึงพอพระทัย ตรัสเคล้ารอยยิ้มว่า “ไม่เลวเลย ตัวอักษรมีพลัง มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร”
เย่หลานเฉิงได้รับคำชมจากฮ่องเต้ ภายในใจจึงรู้สึกมีความสุข เพียงแต่ยังข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ก้มหน้าอย่างนิ่งสงบ “ขอบพระทัยเสด็จปู่ที่ชื่นชมพ่ะย่ะค่ะ”
ได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ฮ่องเต้ก็ยิ่งโปรดปราน ซิวเอ๋อร์ตาถึงจริง ๆ เด็กคนนี้ดูมีอนาคตยิ่งกว่ารัชทายาทเสียอีก
“เสี่ยวเฉิงเฉิง เจ้ากำลังคุยกับใครเสียงดังขนาดนั้นเนี่ย รบกวนจนข้าตื่นแล้ว ง่วงชะมัดเลย”
ในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงนุ่มนิ่มดังขึ้นจากด้านในห้อง ทั้งยังแฝงด้วยความรู้สึกไม่พอใจเล็ก ๆ ขณะเดินออกมา
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เห็นสภาพเรือนที่น้องหลานเฉิงอยู่แล้วก็หดหู่เลยค่ะ การถูกลืมในวังหลวงมันน่าเศร้าอย่างนี้เอง
พี่เขาคุยกับเสด็จปู่ไงหนานหนาน นั่นเสด็จปู่ของหนูเอง
ไหหม่า(海馬)