ตอนที่ 119 ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ฮ่องเต้ถึงกับขมวดพระขนง ครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็นึกถึงรูปร่างหน้าตาของเด็กคนนั้นไม่ออก
ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเด็กคนนั้นมาสองปีแล้ว ตอนนี้คงอายุ 6-7 ขวบแล้วกระมัง
“เสด็จพ่อ เมื่อสี่ปีก่อนเด็กคนนั้นอายุแค่สามขวบ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความฉลาดปราดเปรื่องแล้ว หากปลูกฝังเลี้ยงดูให้ดี ความสามารถย่อมไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นเลย” เย่ซิวตู๋เอ่ย เมื่อสี่ปีก่อนตอนที่เขายังไม่ออกจากเมืองหลวงก็เคยเจอเด็กคนนั้นมาก่อน
เด็กคนนั้นและรัชทายาทมีนิสัยแตกต่างจากกันอย่างสิ้นเชิง ทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นไปอย่างใจกว้าง มีมารยาทรอบด้านภายในราชวัง
ตอนนั้นเขารู้สึกได้ว่าในบรรดาพระราชนัดดาของอาณาจักรเฟิงชาง ไม่มีใครสามารถเทียบเย่หลานเฉิงได้เลย
แต่น่าเสียดายที่พระบิดาของเขาคือรัชทายาท รัชทายาทเป็นคนไร้ความสามารถจริง ๆ แม้ว่าฮองเฮาจะปูทางให้เขาแล้ว แต่ก็ถูกเขาทำจนยุ่งเหยิง
“เด็กคนนั้น…” ฮ่องเต้ชะงักไปเล็กน้อย เมื่อสี่ปีก่อน อายุสามขวบ? พูดเช่นนี้ เขาก็อายุเจ็ดขวบแล้วจริง ๆ สินะ
พระองค์ไม่ได้ไปเจอเขามานานแล้ว นับตั้งแต่แผนการสมรู้ร่วมคิดของฮองเฮาที่ใส่ร้ายเหมิงกุ้ยเฟยถูกเปิดเผย พระองค์ก็ไม่มีความรู้สึกต่อฮองเฮาและรัชทายาทที่พระนางประสูติออกมา ถึงกับมีความคิดอยากจะปลดออกจากตำแหน่ง หากมิใช่เพราะไทเฮา [1] ไม่เห็นด้วย บางทีฮองเฮาในตอนนี้อาจเป็นเหมิงกุ้ยเฟยไปแล้ว
ทว่า ฮองเฮายังคงเป็นฮองเฮาคนเดิม ตอนนี้มีแค่นามท่ามกลางนางใน ไทเฮาไม่ได้ถามถึงความจริง ด้วยเหตุนี้ตอนนี้คนที่สามารถตัดสินใจได้ก็คือเหมิงกุ้ยเฟยแล้ว
ส่วนรัชทายาทเดิมทีก็เป็นคนที่มีคุณสมบัติธรรมดาอยู่แล้ว ค่อนไปทางโง่เขลาและอ่อนแอ ฮ่องเต้จึงไม่โปรดปราน หลังจากผ่านเรื่องของฮองเฮา พระองค์ยิ่งไม่อยากเห็นหน้าเขาเข้าไปใหญ่
ส่วนเย่หลานเฉิง ฮ่องเต้ยังจำได้จาง ๆ ว่าเรียนรู้วิชาอยู่ข้างกายไทเฮา ทว่าสองปีนี้ทุกครั้งที่พระองค์ไปเข้าเฝ้าไทเฮา ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นเด็กคนนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังอยู่ข้างกายของไทเฮาหรือไม่
เย่ซิวตู๋ยิ้ม “ตอนนี้เสด็จพ่อยังกระปรี้กระเปร่ามาก รอให้เด็กคนนั้นได้รับการเลี้ยงดูให้กลายเป็นฮ่องเต้ย่อมไม่ใช่ปัญหา เหตุใดถึงต้องรีบร้อนเช่นนั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ? ไม่ว่าหลังจากนี้รัชทายาทจะกลายเป็นใหญ่ได้หรือไม่ แต่ในบรรดารุ่นหลานทั้งหมด อย่างน้อย ๆ เด็กคนนั้นของรัชทายาทก็มีความโดดเด่นจริง ๆ”
สุดท้ายแล้ว หลังจากนี้บ้านเมืองก็ต้องสืบทอดไปถึงหลานชาย หากรุ่นหลังยังโดดเด่นไม่มากพอ บ้านเมืองก็มิอาจมั่นคงได้
ในบรรดาโอรสจำนวนมากของฮ่องเต้ ล้วนเป็นผู้มีความสามารถไม่ธรรมดา แต่ละคนมีคุณสมบัติที่จะนั่งอยู่บนตำแหน่งบัลลังก์ได้มากกว่ารัชทายาท เพียงแต่ บางทีอาจเป็นเพราะคำนึงถึงตำแหน่งนั้นมากเกินไป จึงทำให้เพิกเฉยที่จะเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนคนรุ่นหลัง คอยประคบประหงมจนทำให้กลายเป็นเด็กอันธพาลเหมือนกับเย่หลานผิงไปแล้ว
“เราไม่ได้นึกถึงเด็กคนนั้นเลยจริง ๆ” ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลง ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ จึงเงยพระพักตร์ตรัสเคล้ารอยยิ้ม “ซิวเอ๋อร์ เด็กคนนั้นของเจ้า ดูเหมือนว่าจะฉลาดปราดเปรื่องเช่นเดียวกัน เราคิดว่า บางทีเขาอาจเหมาะกับตำแหน่งนี้มากกว่า”
เย่ซิวตู๋มุมปากกระตุกวูบ เกือบจะสำลักน้ำชาที่อยู่ในปาก เสด็จพ่อโยนความคิดเห็นมาที่หนานหนานแล้ว…
“ซิวเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าเองก็มีลูกชายแล้ว ก็ควรจะพาเข้าวังให้เราได้เห็นหน้าเห็นตาหน่อยมิใช่หรือ เขาเองก็เป็นหลานของเรา เป็นซื่อจื่อน้อย ถึงอย่างไรก็มิอาจปล่อยให้อยู่ในตำหนักอ๋องกับเจ้าโดยที่ไม่เข้าใจอะไรได้”
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ตัวตนมารดาของเขายังไม่ปรากฏ เหตุใดถึงรีบร้อนพิสูจน์ตัวตนของเขาล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้หรี่พระเนตรทันใด “ซิวเอ๋อร์ นี่เจ้าคิดจะให้เรายอมรับสตรีผู้นั้นเป็นพระสุณิสาของราชวงศ์ จัดงานแต่งงานให้พวกเจ้างั้นหรือ?”
“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ” เย่ซิวตู๋ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ เขาเสียเวลาอยู่ที่นี่มานานเกินพอแล้ว วันนี้เป้าหมายหลักคือตามหาหนานหนาน ไม่สามารถอยู่คุยเรื่องสัพเพเหระต่อไปได้ “เสด็จพ่อ เรื่องนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน สตรีผู้นั้นไม่ใช่คนที่จะยอมให้คนอื่นมาจัดการ ต่อให้เสด็จพ่อจัดงานแต่งงานให้พวกเรา บางทีนางอาจไม่ได้ชื่นชมก็ได้”
จากนิสัยของอวี้ชิงลั่ว มีความเป็นไปได้สูงมากที่วินาทีที่นางเห็นราชโองการ อาจจะพาหนานหนานหนีไปไกลสุดขอบฟ้า
อย่างน้อย ๆ ตอนนี้ก็มิอาจจัดงานแต่งได้ ห้ามบังคับนาง ต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป
รูม่านพระเนตรของฮ่องเต้หดลงอย่างหนัก ทั้งยังฉายแววโกรธกริ้ว “หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าคำพูดของเรานางก็ยังกล้าคัดค้าน?”
ซิวเอ๋อร์แต่งงานกับนาง ต่อให้เป็นแค่อนุภรรยาคนหนึ่ง เช่นนั้นก็เพียงพอให้นางรู้ซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณแล้ว
อีกอย่างนางยังให้กำเนิดบุตรชายให้กับพระโอรสของพระองค์ นี่มิเท่ากับว่า นางและซิวเอ๋อร์สาบานต่อทะเลและภูเขาว่าจะรักกันชั่วฟ้าดินสลายแม้แต่ยาพิษก็ป้อนแล้วมิใช่หรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่คิดจะแต่งงานกับซิวเอ๋อร์อย่างสง่าผ่าเผย?
เย่ซิวตู๋ยิ้ม ภายในใจแอบรู้สึกพึงพอใจ ดูเหมือนว่าเสด็จพ่อคงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับตัวตนของอวี้ชิงลั่ว แต่กลับกริ้วที่นางไม่ยอมแต่งงานกับเขา
“เสด็จพ่อ ลูกยังต้องไปคารวะหมู่เฟย เช่นนั้นลูกขอตัวลาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นกล่าวจบ ไม่รอให้ฮ่องเต้ที่อยากจะพูดคุยมากกว่านี้ได้ตรัสสิ่งใด เขาก็เดินออกจากห้องตำราหลวงอย่างเป็นธรรมชาติ
จนกระทั่งเขาไปแล้ว เหมียวเชียนชิวจึงเดินเข้ามาด้านในห้องอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท เหมิงกุ้ยเฟยสั่งให้คนเรียกตัวหมอปีศาจเสิ่นไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“หืม? นางได้พูดอะไรหรือไม่?” ฮ่องเต้เก็บอารมณ์ความรู้สึก แตกต่างจากท่าทางทำตัวไม่ถูกตอนที่อยู่ต่อหน้าเย่ซิวตู๋อย่างสิ้นเชิง ตอนนี้พระองค์กลับมาเป็นฮ่องเต้ผู้เย็นชาไร้ความรู้สึกที่แสนสูงส่งอีกครั้ง
“เห็นบอกว่าจะสอบถามหมอปีศาจให้แน่ชัด ว่าพิษของท่านอ๋องซิวไม่สามารถถอนพิษได้จริงหรือไม่ ยังพอจะมีวิธีอื่นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เหมียวเชียนชิวมองพระพักตร์ฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง
ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้จะแค่นเสียงเย็น “หากเหมิงกุ้ยเฟิยเป็นห่วงซิวเอ๋อร์ก็ดี ตั้งแต่เล็กจนโตที่ซิวเอ๋อร์อยู่ข้างกายของนางมีครั้งใดบ้างที่จะพูดคุยกันดี ๆ? เราไม่เข้าใจเลย เป็นลูกของตัวเองเหมือนกันแท้ ๆ แต่ทัศนคติที่กุ้ยเฟยมีต่อองค์ชายฮ่าวถิงกลับแตกต่างจากซิวเอ๋อร์อย่างสิ้นเชิง”
เหมียวเชียนชิวไม่กล้าตอบ แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกสงสัยอย่างมากเช่นเดียวกัน ตรรกะของเหมิงกุ้ยเฟยช่างแปลกประหลาดนัก แม้อ้างตามคำพูดของนางว่าเป็นเพราะนางตั้งความหวังไว้ที่ท่านอ๋องซิวสูง จึงทำให้เข้มงวดกับเขาเช่นนี้ก็ตาม
ทว่าการแสดงออกของเหมิงกุ้ยเฟยที่แสดงออกมาให้เห็นนั้นไม่มีมีแค่ท่าทีที่เข้มงวด
“ฝ่าบาท ท่านอ๋องซิวมีฝ่าบาทปกป้องอยู่ ก็นับว่าเป็นความโชคดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อย่างน้อย ๆ ในบรรดาองค์ชายทั้งหมด นอกจากท่านอ๋องซิวแล้ว ก็ยังไม่มีองค์ชายคนใดที่ได้รับความใส่พระทัยจากฮ่องเต้เช่นนี้
“เราปกป้องเขาเช่นนี้ มิเท่ากับเป็นการทำร้ายเขาอย่างหนึ่งหรอกหรือ? องค์ชายจำนวนมากต่างก็จ้องมองมาที่เขา เส้นทางของซิวเอ๋อร์ก็ยิ่งยากลำบาก ยิ่งไปกว่านั้น เหมิงกุ้ยเฟยไม่ชอบเขา ไทเฮาก็ไม่ชอบ…”
ทันใดนั้นเสียงของฮ่องเต้ก็ชะงักไป จู่ ๆ พระองค์ก็นึกถึงเด็กคนนั้นที่เย่ซิวตู๋พูดถึง
เย่หลานเฉิง? บางที พระองค์ก็ควรจะไปเจอเขาสักหน่อย
“เชียนชิว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“บุตรคนนั้นของรัชทายาท ตอนนี้ยังอยู่ข้างกายไทเฮาหรือไม่?”
เหมียวเชียนชิวชะงัก คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะถามถึงบุตรชายของรัชทายาท หลังจากลังเลครู่หนึ่ง จึงพูดความจริงออกมา “กราบทูลฝ่าบาท หลายปีมานี้ไทเฮาไม่ได้สอบถามข้อเท็จจริง กอปรกับพระวรกายที่แย่ลงทุกวัน มีบางอย่างที่อาจจะลืมไป…เด็กคนนั้น ตอนนี้พักอยู่ที่ห้องมุมตะวันตกเฉียงเหนือของตำหนักไทเฮา นานมากแล้วที่ไทเฮาไม่ได้เรียกให้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ชะงัก พูดเช่นนี้ บุตรชายคนนั้นของรัชทายาทก็ถูกทุกคนลืมเลือนไปแล้วงั้นหรือ?
“เชียนชิว เราจะไปดูเด็กคนนั้นสักหน่อย”
ตอนนี้ฮ่องเต้เริ่มเป็นกังวลแล้ว เด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
………………………………………………………………………………………………………………………..
[1] ไทเฮา (太后) ตำแหน่งพระมารดาของฮ่องเต้
สารจากผู้แปล
ชิงลั่วจะปวดหัวไหมเนี่ย เกิดวันใดวันหนึ่งมีพระราชสาส์นมอบสมรสพระราชทานมาถึงตัว
เย่หลานเฉิงควรมีชีวิตที่ดี น้องเป็นเหยื่อของการแย่งชิงบัลลังก์แท้ๆ
ไหหม่า(海馬)