ตอนที่ 176 ไม่โลภใจย่อมแกร่ง

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ที่จริงใครก็รู้ว่านี่คือแผนการของพรรคโลหิตกฎ แล้วสามารถทำอย่างไรได้?

อาวุโสของบางตระกูลโอบกอดซากร่างของศิษย์ร่ำไห้ตีอกชกหัว สหายร่วมรบรอดชีวิตไม่ถึงครึ่ง ซากร่างเศษชิ้นส่วนกระจายเต็มพื้นที่

ทุกแห่งหนมีแต่กลิ่นอายความวินาศ แม้แต่สวรรค์ยังไม่อาจทานทน สายพิรุณเย็นเยียบชะล้างคราบฝุ่นละอองจากผิวดิน

ต่อมา ตระกูลเหล่านั้นก็เริ่มอพยพออกนอกเขตเขาเหมิงซาน

ภายใต้แสงตะวัน หลงเหลือเงาร่างอยู่เพียงไม่กี่สาย ขัดแย้งกับภาพความคึกคักตอนขามาหน้ามือหลังมือ

กาลเวลาหยุดนิ่ง ผู้คนไร้ขยับ

ฉินจิ่วเกอถอนตาจากพื้น “พี่อันหยางลองจินตนาการดูว่า ใครต้องรับผิดชอบกับบาปกรรมในครั้งนี้”

อันหยางตอบอย่างไม่ลังเล “ย่อมต้องเป็นพวกปีศาจน่าตายเหล่านั้น”

“แล้วพวกปีศาจที่ท่านว่านั้นมาจากไหน? ” ฉินจิ่วเกอเงียบเสียงลงไปชั่วอึดใจ ตาเลื่อนมองไปบนฟ้าขณะถาม

อันหยางนิ่งอึ้งไปครู่ “เรื่องนี้ พวกมันมาจากผู้ฝึกตนที่เสื่อมถอย”

“แล้วพวกเสื่อมถอยที่ว่ามาจากไหน? ” ฉินจิ่วเกอถามต่อ

อันหยางครุ่นคิดใคร่ครวญ “พวกที่มีจิตไม่ปกติ หลงผิดเข้าสู่หนทางชั่วร้าย”

ฉินจิ่วเกอถอนใจยาว รู้สึกไร้รสชาติ ใจขมปร่า “ระหว่างกองกำลังต่างๆ ล้วนเกิดการแก่งแย่ง รบรา และฆ่าฟันไม่หยุดหย่อน ระหว่างเผ่าพันธุ์ ย่อมมีการขับไล่ ความอยุติธรรม พฤติการณ์ไม่เหมาะสม สวรรค์มองดูสรรพสิ่งเยี่ยงสุนัขซีดจาง สรรพสิ่งมองดูเบื้องล่างเยี่ยงมดปลวก นี่ไม่น่าเศร้าหรอกหรือ? ”

ฝนหยุดลงแล้ว ผู้คนจากไป เหลือกันเพียงไม่กี่พัน ฟ้าดินกลายเป็นอ้างว้าง

“พี่อันหยางลองคิดดูให้แน่ชัด ว่าที่แท้ผู้ฝึกวิชาปีศาจเหล่านั้นมาจากไหน”

อันหยางเม้มปาก อ้าปาก คำพูดติดอยู่ที่ลำคอ บนใบหน้าสัตย์ซื่อปรากฏความไม่จริงใจ หลงเฟิงคิดคำนึง นี่คงจะเป็นขีดจำกัดที่ว่าฟ้าดินเลือดเย็นไร้ใจกระมัง?

เขาเหมิงซานเหลือเพียงเศษซาก ตั้งตระหง่านเหนือผืนดินยามนี้คือที่ราบเรียบโล่งกว้าง ซากร่างเกลื่อนกล่น ได้ถูกเคลื่อนย้ายจากไป รอบด้านปราศจากผู้คน

ตอนที่สุสานปรากฏ ความขัดแย้งเต็มอยู่ทุกหย่อมหญ้า กลั่นดวงธาตุรบราฆ่าฟันไม่หยุดหย่อน

แต่พอทุกอย่างกลับกลายเป็นวินาศสันตะโร ทุกคนก็กระเจิดกระเจิงเหมือนสัตว์หนีภัย ไม่ยินยอมที่จะรั้งอยู่อีก

นี่เองคงจะเป็นใจความสำคัญของคำที่ว่าสรรพสิ่งก็คือสุนัขจรกระมัง? แม้แต่ตัวเองยังเป็นเช่นนี้ แล้วยังจะไปโทษว่าฟ้าดินไร้ใจได้อีกหรือ?

“พี่ฉินช่างลึกซึ้ง อันหยางมิอาจทัดเทียบ ไม่ทราบพี่ฉินมาจากพรรคสำนักใด”

“ก็แค่พรรคเล็กๆ พรรคหนึ่ง ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง”

“ขอบังอาจถาม พี่ฉินท่านมีปณิธานใด? ” อันหยางรู้สึกว่าฉินจิ่วเกอผู้นี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา ความรู้ความอดทนอยู่ในระดับสูง คู่ควรให้ผูกมิตร

ฉินจิ่วเกอประคองมือ รอบด้านไร้ผู้คน จึงส่งเสียงดังฟังชัด “โลกในปัจจุบัน ธรรมอธรรมมิอาจแบ่งแยก มรรคาวิถีล่มสลาย ข้าในฐานะชนรุ่นนี้ ย่อมยืนด้วยลำแข้งตัวเอง ผดุงคุณธรรม ปฏิบัติบำเพ็ญตน ผสานหกทิศสร้างสี่ทะเล ต้านพายุสร้างความสงบแก่แผ่นดิน”

“พี่ฉินช่างลึกล้ำจริงๆ! ” อันหยางชูนิ้วโป้งให้ เปี่ยมอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ปานนี้กลับไม่ถูกหิงสาพยาบาทจนมอดม้วย ช่างเป็นยอดคนโดยแท้

ใครจะคาดฉินจิ่วเกอกลับพลิกลิ้น “แน่นอน นี่ไม่ใช่ปลายทางที่ข้าขวนขวาย ดั่งที่ว่านักบุญไร้ตัวตน เทพเซียนไร้ความชอบ ผู้วิเศษไร้เกียรติภูมิ แต่ข้าผู้เป็นสุภาพบุรุษทรงสง่า ย่อมไม่สนใจเดินสู่เส้นทางแห่งบรรพชน”

“อ้อ? ” นี่ยังนับว่าสูงส่งไม่พอ? อันหยางและหลงเฟิงต่างใคร่รู้

เสียงของฉินจิ่วเกอยิ่งไล่ขึ้นสูง “โลกสงบสุขได้ด้วยปลายพู่กัน การยุทธ์กำหนดจักรวาล”

“วะว้าว! ” อันหยางและหลงเฟิงปากอ้าค้าง พวกมันในฐานมหายุทธ์กลั่นดวงธาตุ ถึงกับไม่อาจเทียบรัศมีความจ๊าบของพิสุทธิ์ไพศาลผู้หนึ่งได้ ฉับพลันคนทั้งสองก็ต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเองอย่างลึกซึ้ง

“อย่าเพิ่งขัด” ฉินจิ่วเกอไม่พอใจที่คนทั้งสองขัดความสำราญของมัน “ประเด็นสำคัญคือ ขึ้นเตียงทักทายสะใภ้ ลงเตียงทักทายรองเท้า ออกบ้านรวบรวมเงินทอง กลับบ้านจึงแยกแยะญาติพี่น้อง”

อันหยางและหลงเฟิงรับฟังจนหน้าเหยเกเหมือนคนท้องผูก สีหน้าแววตาแข็งค้างไปพักใหญ่

สีหน้าคิดใคร่หัวร่อไม่คล้ายหัวร่อ ใบหน้าสั่นกระตุกยึกยัก ยกนิ้วขึ้นมาหัวร่อ: “ฮ่าฮ่า”

แล้วฉินจิ่วเกอก็เผ่นแน่บไปจากตรงนั้น

รอจนไม่มีใครอยู่ อาวุโสใหญ่ค่อยลดตัวลงจากฟ้า เหนือศีรษะเมฆาขาวปกคลุมท้องนภา ใต้ฝ่าเท้าพสุธาชุ่มโชกเปื้อนโลหิต (อธิบายถึงความยิ่งใหญ่ของผานกู่ยามเบิกโลกค้ำฟ้าดิน)

อันหยางปรี่เข้ามาอย่างตื่นเต้น ได้รู้จักกับอาวุโสที่ร้ายกาจปานนี้ ที่จริงนับเป็นวาสนาและความภาคภูมิของเผ่ามนุษย์

“พี่ฉิน ข้าจะต้องแนะนำให้ท่านรู้จักผู้วิเศษเหนือโลกาท่านนี้ให้ได้” อันหยางปรี่เข้ามาอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ แต่ก่อนที่จะได้เข้าใกล้อาวุโสใหญ่ มันรู้สึกว่ามีภาพติดตาเคลื่อนผ่านไป

จากนั้นด้านหลังก็เกิดเสียงร้องโหยหวน เหมือนเสียงน้ำหลากไหลพุ่ง ไม่ก็เสียงกระดาษชำระสภาพยับเยินที่ถูกขยำแล้วบดขยี้กับพื้นอีกที

อาจารย์เป็นเสมือนบุพการี หรือก็คือบิดา

ในทางทฤษฎีหากบิดาทุบตีบุตร นั่นย่อมเป็นเรื่องถูกต้องสมควร เป็นความถูกต้องที่ไม่อาจหาเหตุผลมาหักล้าง

ว่ากันจริงๆ อาวุโสใหญ่เพียงต้องการเป็นชายชราผู้สงบสุขไร้พิษภัย ไม่คิดที่จะลงไม้ลงมือ

แต่เป็นเพราะศิษย์ของมันไร้หัวนอนปลายเท้าจนเกินไป สาบสูญไปนานสองปียังไม่พอ กลับไม่มีแม้แต่ข่าวคราวส่งกลับมา

เพราะการสูญหายของฉินจิ่วเกอ อาวุโสหลายท่านภายในพรรคหลิงเซียวจึงพลอยได้รับอานิสงส์แห่งความทุกข์ยากไปด้วย เป็นความผิดบาปที่แม้ตายก็ไม่อาจชดใช้

เหนือบ่าของชายชาติบุรุษ จำต้องมีความรับผิดชอบ ในใจจำต้องมีจิตคิดพิทักษ์

พูดแบบง่ายๆ ก็คือห่วงหาอาทรต่อครอบครัว ฉินจิ่วเกอแม้แต่ครอบครัวยังไม่เหลือบแล อาวุโสใหญ่เลยจัดการมันแทนในนามแห่งวิถีทางอันถูกต้อง หรือก็คือกำจัดภัยพาลอภิบาลคนดี

มองดูทางหลงเฟิงและอันหยาง นัยน์ตาหลั่งน้ำตาแห่งความปลื้มปีติเป็นเส้นสาย หากคนเช่นอาวุโสใหญ่มีมากขึ้นสักสองสามคน ชะตากรรมของเผ่ามนุษย์คงไม่ต้องถูกกดข่มโดยสองเผ่ามารอสูร แต่หากคนอย่างฉินจิ่วเกอขอเพียงมากขึ้นอีกสักคนเดียว มันทั้งสองล้วนไม่กล้าคาดคิดว่าชะตากรรมของโลกนี้จะมีจุดจบเยี่ยงไร

หลังจากสั่งสอนอบรมศิษย์รักของตนไปรอบใหญ่ อาวุโสใหญ่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ในที่สุดก็หยุดอารมณ์ไว้ กลับคืนสู่สภาพของยอดคนเหนือโลกีย์ยืนสง่าสุดยอดเขา

ฉินจิ่วเกอใบหน้าบวมปูดตะปุ่มตะป่ำดั่งหัวสุกร บนศีรษะผสมปนเปทั้งสีเขียวแดงม่วงเหลืองเขียว เหมือนจานเปลใส่ผลไม้หลากสี อาวุโสใหญ่สั่งสอนศิษย์รักด้วยกระบวนท่ามุ่งทักทายแต่ใบหน้า ประโยชน์เท่าเทียมกับการถอดรองเท้าตบตีศัตรู

ผ่านไปเนิ่นนาน หลงเฟิงและอันหยางค่อยเข้าใจกระจ่าง อาวุโสใหญ่ที่แท้คืออาจารย์ของฉินจิ่วเกอ!

ที่เค้าว่าอาจารย์เรืองนามศิษย์สูงส่ง ไฉนกลายเป็นแตกต่างราวฟ้าดินเช่นนี้?

เหตุเปลี่ยนแปลงเมืองเทียนเอินรอบนี้ อันหยางเร่งเดินทางกลับหุบเขาเพลิงราชันเพื่อรายงาน

สี่กองกำลังตัั้งรกรากเมืองเทียนเอินมานานนับหมื่นปี ถักสานเป็นเครือข่ายความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อน ต่อให้หุบเขาเพลิงราชันคิดแทรกแซง ยังยากเย็นยิ่ง

จวบกระทั่งอันหยางควงทวนทองเหินจากไปพร้อมตะวันแดงฉาน มันยังไม่รู้ว่า คุณชายฉินที่เบื้องหน้า ก็คือศัตรูที่มันมาตามหานั่นเอง

ยังดีที่ก่อนมันจากไป ยังมีแก่ใจเชื้อเชิญอาวุโสใหญ่และฉินจิ่วเกอไปเยี่ยมเยียนหุบเขาเพลิงราชันเพื่อสนทนาพาที

จนหลังมันจากไป ฉินจิ่วเกอรายงานเรื่องราวหลังจากที่ตนเองร่วงหล่นลงบึงมารมรณาต่ออาวุโสใหญ่อย่างซื่อตรงไม่มีเก็บซ่อน

ด้วยความเชื่อใจอย่างไร้ข้อกังขา อาวุโสใหญ่สงบระงับโทสะอัดอก มิได้ออกปากประณามศิษย์รักอีกต่อไป หากแต่นิ่งเงียบงันฟังมันเล่าจนจบความ

“เทียนหมิงเสียผู้นั้น สมควรเป็นผู้มีความเป็นมาอันใด อาจารย์และพรรคโลหิตนภาเคยประมือกันมาหลายรอบ เพียงชนชั้นกลั่นดวงธาตุ ไม่สามารถล่วงรู้ความลับภายในศูนย์กลางของพวกมันได้ แต่ฟังจากปากคำเจ้าแล้ว คนผู้นี้คล้ายมีความแค้นต่อเจ้าเป็นการเฉพาะ”

อาวุโสใหญ่กดเสียงลง ใบหน้าเจืออารมณ์คุกรุ่น คิดขึ้นมาได้ว่าหลายปีที่มันปิดด่านฝึกฝีมือ ศิษย์รักของตนกลับถูกคนลอบทำร้าย ยังกลบเกลื่อนร่องรอยเป็นอุบัติเหตุ

และก็เพราะเรื่องนี้ วิญญาณของฉินจิ่วเกอจึงได้มาอาศัยอยู่ในร่างโชคร้ายร่างนี้

“ศิษย์รัก เจ้าถือเป็นคนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าตอนนั้นเจ้าตายอย่างไร?” อาวุโสใหญ่เสียงแผ่วกระซิบ ใบหน้าแข็งทื่อไร้อารมณ์

ฉินจิ่วเกอขบคิดใคร่ครวญ มันแน่นอนย่อมรู้ว่าร่างก่อนของตนเองตายอย่างผิดธรรมชาติ มิเช่นนั้นคนไม่ถึงรอบของมันมายึดครอง

ด้วยความรู้สึกผิด ใบหน้าของฉินจิ่วเกอทอประกายหวั่นกลัว เอ่ยเสียงสะท้าน “ศิษย์จำได้ว่า สมควรเป็นธาตุไฟเข้าแทรกระหว่างฝึกฝีมือ ส่งผลให้ชีพจรทั่วร่างระเบิดออก เลือดลมตีกลับสู่หัวใจ ทว่าจิตมารที่ที่เข้าแทรกวันนั้น ที่จริงประหลาดอยู่บ้าง”

“อืม” อาวุโสใหญ่ลูบเคราขาวยาวจรดอก มือท้าวเข็มขัด “ปีนั้นอาจารย์ปิดด่านทะลวงกฎสรรพสิ่ง หากไม่อาจบรรลุผ่าน ส่วนศิษย์น้องคนอื่นๆ เองก็เข้าช่วยเหลือ ดังนั้นการป้องกันของพรรคนับว่าไม่เพียงพอจริงๆ”

อาวุโสใหญ่ปิดด่านกักตนอย่างลำบากยาวนาน ไม่อาจหยั่งรู้พลังกฎเกณฑ์ได้

มาคิดดูมันสมควรหยุดยั้งที่กลั่นดวงธาตุสูงสุดมาหลายร้อยปีแล้ว ผู้เฒ่ามากพรสวรรค์ชั้นเลิศเช่นมันยังต้องติดค้างพันธนาการอยู่เช่นนี้ ควรคาดคิดได้ว่ากฎสรรพสิ่งเป็นขอบเขตขั้นอันลึกล้ำเพียงไหน

” แต่ว่าก่อนที่ข้าจะปิดด่านกักตน ได้ขีดวาดวงสัมผัสเทวะเอาไว้ บุคคลทั่วไปไม่อาจฝ่าทลายค่ายกลเข้ามาในพรรคได้ จากที่เจ้าเล่า เจ้าผู้นั้นแม้บาดเจ็บสาหัส ยังรักษาระดับพลังชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งไว้ ข้าคาดว่าพลังแท้จริงของมัน ย่อมไม่มีทางต่ำกว่าเจ็ดดวงธาตุ”

ฉินจิ่วเกอหน้าผากปูดเส้นเลือดเขียว ความแค้นคุคั่งในอก ที่จริงเป็นแค้นเก่าของร่างก่อน มีเพียงต้องสะสางความปรารถนาของมันจนสุดทาง ความเคียดแค้นในอกจึงบรรเทาเบาบางลงได้

“อาจารย์ ท่านหมายความว่า เทียนหมิงเสียนั่น ที่จริงก็คือคนที่ลอบเข้ามาในพรรคหลิงเซียวเพื่อสังหารข้าก่อนหน้านี้?” ฉินจิ่วเกอทบทวนหวนนึก คนต้องรู้สึกขวัญผวา ทั่วร่างเย็นวาบ

ตนเองรวมทั้งเจ้าของร่างคนก่อนอยู่แต่ในพรรค ไม่ว่าอย่างไรล้วนไม่มีทางไปตอแยหาเรื่องถึงขั้นมีคนตามสังหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งแค้นล่าสังหารที่มาจากกลั่นดวงธาตุเช่นนี้ นี่มิอาจไม่สร้างความสงสัยใจแก่ผู้คนจริงๆ

“คิดว่าเป็นเช่นนั้น ทว่าอีกฝ่ายเป็นถึงกลั่นดวงธาตุ ทั้งยังเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ ตามหลักการแล้วไม่สมควรมาสังเกตสนใจอันใดเจ้า ดูท่าในเรื่องราวนี้มีความลับที่พวกเรายังไม่รู้ นับแต่เจ้าถูกลอบทำร้าย ข้าก็หวาดระแวงมาตลอดว่าพรรคหลิงเซียวมีไส้ศึก”

สุดยอดปราการป้องกัน ไม่ว่าแข็งแกร่งปานไหน ที่ยากระวังที่สุดคือโจรภายใน อาวุโสใหญ่คาดว่าที่เทียนหมิงเสียสามารถเข้าออกพรรคหลิงเซียวตามอำเภอใจ นั่นก็หมายความว่าในพรรคอย่างน้อยต้องมีคนนำทาง มิเช่นนั้นศิษย์น้องของมันย่อมมีคนสัมผัสได้

ผู้ฝึกตนและผู้ฝึกวิชาปีศาจ ล้วนมีปฏิกิริยาต่อกัน

“แต่ตอนนี้ศิษย์เองก็ไม่รู้ว่าเทียนหมิงเสียซ่อนตัวอยู่ที่ใด เกรงว่าคงไม่อาจหาพบได้” เมื่อมาท่องโลกกว้าง ฉินจิ่วเกอจึงเพิ่งรู้ว่าเมืองซวนอู่ที่จริงเล็กจ้อยเพียงไหน

แต่ต่อให้เป็นกลั่นดวงธาตุที่เผชิญเหตุมานับไม่ถ้วน ทั้งเป็นกลั่นดวงธาตุสูงสุด แต่เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองเทียนเอินรอบนี้ ยังนับว่าแตกตื่นสะท้านโลก

ยิ่งเมื่อมีเรื่องของเทียนหมิงเสีย ในสายตาของฉินจิ่วเกอ ยิ่งกลายเป็นไม่สลักสำคัญอันใด

ทว่าความคิดอ่านของอาวุโสใหญ่ลึกซึ้งกว่าฉินจิ่วเกอ เช่นเรื่องในวันนี้ ประมุขพรรคหลิงเซียวเองก็หายตัวไปนับร้อยปีไม่โผล่ ตนเองคือคนที่รู้ความลับที่สุดของพรรคหลิงเซียว หากมีผู้ฝึกวิชาปีศาจใดเกิดสังหารศิษย์เอกของสำนัก อาวุโสใหญ่ไม่กล้าคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเด็ดขาด

“ช่างเถอะ เรื่องนี้เก็บไว้ก่อน แสดงวิชาปีศาจที่เจ้าฝึกออกมาให้อาจารย์ดู” อาวุโสใหญ่คว้าข้อมือศิษย์รัก นัยน์ตาเรียบสงบดุจน้ำนิ่ง หากทอแววอบอุ่นทะนุถนอมแจ่มชัด

แสงอาทิตย์สาดทอลอดมาจากแผ่นหลังของอาวุโสใหญ่ ประดุจดั่งเทพเซียนโปรดสรรพชีวิต แข็งแกร่งทรหด

ฉินจิ่วเกอคลายมือออกอย่างปลอดโปร่งใจ ยื่นมือออกไป โคจรพลังวิชาปีศาจ ส่วนเคล็ดวิชาเทวะลี้ลับอีกเล่มนั้น ฉินจิ่วเกอเองก็บอกต่ออาวุโสใหญ่ไปแล้ว แต่ด้วยพลังฝีมือของอาวุโสใหญ่ กลับยังไม่อาจจับสัมผัสได้